ตอนที่ 3 ผู้เล่นกับคุณย่า

2319 Words
"เออ…" ต้นหอมหรือตอนนี้ก็คือฟางหงอ้ายถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่ผู้เป็นย่าพูดออกมา หมายความว่าอะไรที่ว่าพูดได้ หรือว่าร่างนี้จะเป็นใบ้ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะในความทรงจำอีกฝ่ายได้ยินที่คนอื่นพูดทั้งหมด คนที่เป็นใบ้ส่วนใหญ่จะไม่ได้ยินเสียงด้วยนี่นา "มัวตกใจอะไรอยู่ มากินข้าว จะได้กินยา" นางหวังซื่อเห็นหลานสาวตกใจจนปากอ้าค้างก็รู้สึกขบขัน ปกติหลานสาวคนนี้ชอบทำหน้าตาเฉื่อยชา ไม่ค่อยแสดงอารมณ์หรือมีท่าทางอะไรสักเท่าไร แต่วันนี้ถึงกับทำหน้าตาเหลอหลาแบบนี้ออกมาได้ หงอ้ายรับชามข้าวต้มมาจากหญิงชราหรือตอนนี้ก็คือย่าของเธอ ในชามยังคงเป็นน้ำต้มข้าวเหมือนเมื่อวาน แต่ด้วยความหิวเธอทำการเป่าเล็กน้อยจากนั้นก็ค่อยๆ ยกขึ้นดื่ม ใช่แล้ว มันใสจนใช้คำว่าดื่มได้ เพราะมีเมล็ดข้าวให้เคี้ยวอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น จากนั้นก็เป็นยาต้มที่แสนขม ซึ่งเธอไม่อยากทรมานจึงทำการยกขึ้นดื่มรวดเดียว และก็มีอาการไม่ต่างจากเมื่อวานแต่ก็ข่มกลั้นเอาไว้ "ขอบคุณค่ะ" เมื่อจัดการกินข้าวกินยาเรียบร้อยก็ส่งชามคืนให้แก่ผู้เป็นย่า อีกฝ่ายรับชามมาแล้วก็เดินกลับออกไป ซึ่งหงอ้ายก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงออกไปทำงานในบ้านต่อ หลังนางหวังซื่อออกมาจากห้องของบ้านรองก็มาดูแลแปลงผักและเล้าไก่ของครอบครัว ด้วยยุคนี้รัฐบาลมีการควบคุมอย่างเข้มงวดครอบครัวเธอที่มีสมาชิกในบ้านถึง 16 คน กลับเลี้ยงไก่ได้เพียงแค่ 8 ตัวเท่านั้น จากนั้นนางก็ไปดูหลานชายที่ยังเล็กทั้ง 2 คน แล้วก็กลับมาทำความสะอาดบ้านและห้องครัวต่อ ส่วนคนอื่นๆ ในบ้านต่างออกไปทำงานเก็บแต้มที่แปลงนากันหมด หลานชายที่อายุเกิน 10 ปีก็ไปเก็บผักป่าเอาไปแลกคะแนนเช่นกัน ในขณะที่นางหวังซื่อกำลังจัดการงานในบ้านอยู่นั้น หงอ้ายก็ลงมือจัดการกับระบบเกมของตัวเองอยู่เช่นกัน โดยการเก็บไข่ไก่ เก็บเนื้อหมู รีดนม ปลูกผัก เก็บผลไม้ เพราะเธอคิดไว้แล้วว่า ถ้าให้กินแต่น้ำข้าวต้มแบบนี้ต่อไป เธอคงได้ตายตามเจ้าของร่างไปอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะไม่ทำให้อิ่มท้องแล้ว ยังมีสารอาหารไม่เพียงพออีกด้วย เมื่อคิดได้ดังนั้นก็เงี่ยหูฟังเสียงที่ด้านนอก ดูเหมือนย่าฟางจะไปทำงานที่อื่นแล้ว หงอ้ายจึงหยิบเอานมสดกับขนมปังออกมากิน จากนั้นก็ทำการปลูกข้าวเพื่อเอาไว้ผลิตขนมปังเก็บไว้ ในตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะไม่เปิดเผยความสามารถนี้ออกไป แต่พอได้เห็นอาหารในแต่ละมื้อแล้วจะทำไม่รู้ไม่ชี้คงไม่ได้ และจะให้ตัวเองกินอิ่มอยู่คนเดียวแล้วคนอื่นในครอบครัวต่างก็อยู่อย่างหิวโหยก็ทำใจไม่ได้เช่นกัน เพราะในความทรงจำทุกคนในครอบครัวนี้ดีต่อเจ้าของร่างมาก ไม่ว่าจะมีของดีอะไรก็มักเก็บให้ลูกสาว หลานสาว น้องสาวเพียงคนเดียวคนนี้ได้กินก่อน ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้กินมันเลยก็ตาม 'ถึงแม้คนที่มีอำนาจในการตัดสินใจมากที่สุดของครอบครัวคือปู่ฟางไห่ แต่เรื่องทุกอย่างภายในบ้านจะอยู่ในการตัดสินใจของย่าฟาง ถ้าอย่างนั้นคนที่ฉันควรขอให้มาร่วมมือเพื่อทำให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้นก็คงต้องเป็นคุณย่าผู้นี้แล้ว อีกอย่างย่าฟางเป็นคนเดียวที่จะเดินทางเข้าไปในอำเภอหรือในจังหวัดได้สะดวกที่สุด' หงอ้ายนั่งคิดทบทวนจนได้ข้อสรุปมา แต่ตอนนี้ร่างกายนี้ยังอ่อนแอเกินกว่าจะทำอะไรได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอขอนอนต่อก่อนแล้วกัน ในระหว่างที่เด็กหญิงตัวน้อยกำลังหลับเพราะฤทธิ์ยา พอถึงตอนเที่ยงย่าฟางก็นำอาหารกับยาเข้ามาให้ เห็นหลานสาวยังหลับสบายอยู่ก็ไม่ได้ปลุก แต่กลับออกไปดูหลานชายอีกสองคนที่นอนอยู่อีกห้องแทน และพอหงอ้ายตื่นขึ้นมาอีกครั้งแสงแดดก็บ่งบอกถึงเวลาบ่ายของวันแล้ว ซึ่งพอดีกับที่ย่าฟางถือถาดใส่ถ้วยข้าวกับถ้วยยาเข้ามาในห้องอีกครั้ง "หงอ้ายตื่นแล้วรึ ย่ากำลังคิดว่าจะปลุกหลานอยู่พอดี ตอนนี้บ่ายแล้วนอนมากเดี๋ยวกลางคืนจะนอนไม่หลับเอา" นางหวังซื่อเดินถือถาดใส่ถ้วยข้าวต้มกับถ้วยยามาที่ห้องของบ้านรอง เพื่อจะปลุกหลานสาวให้ตื่นขึ้นมากินข้าวกินยา แต่เปิดประตูเข้ามาก็เห็นหลานสาวตื่นขึ้นมาพอดี "ย่าคะ ที่บ้านมีแต่ข้าวต้มนี่เหรอคะ" หงอ้ายรับถ้วยข้าวต้มที่ใสเหมือนกับทุกๆ ครั้งมากิน ก็อดเอ่ยถามออกไปไม่ได้ ถึงแม้จะรู้ว่าข้าวที่เธอกินนี่ดีกว่าที่คนในบ้านกินกันมาก แต่มันก็อดถามออกไปไม่ได้จริงๆ "หลานป่วยอยู่ก็กินได้แต่ข้าวต้มนี่แหละ ข้าวขาวนี่ชั่งหนึ่งตั้งหลายเหมา ถ้าไม่ใช่เพราะอาเล็กส่งคูปองมาให้หลานก็คงไม่ได้กินหรอกนะ…เอ้านี่ ยาถ้วยสุดท้ายแล้ว" หวังซื่อเอ่ยตอบกลับไป พร้อมกับเอามือลูบหัวหลานสาวเบาๆ แล้วส่งถ้วยยาให้ การที่บ้านมีข้าวขาวนี้ได้ก็เป็นเพราะลูกชายคนเล็กที่ยอมไปเป็นทหารแทนพี่ชายทั้งสองคน ทำให้ครอบครัวฟางไม่ได้ลำบากมากนัก เพราะเงินกับคูปองที่อีกฝ่ายส่งมาให้ทุกเดือน แต่ก็แลกมากับการที่บ้านสามตอนนี้มีหลานชายอยู่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น หงอ้ายรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากมือของย่าฟาง น้ำตาก็พานจะไหล เพราะเป็นเด็กกำพร้าจึงไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากคนที่เรียกว่าครอบครัว แต่พอดื่มยาลงไปน้ำตาก็ไหลออกมาจริงๆ เพราะความขมของยาที่ดื่ม แล้วพอได้ยินว่านี่เป็นยาถ้วยสุดท้ายแล้วก็อดยิ้มออกมาด้วยความดีใจไม่ได้ ที่ต่อไปไม่ต้องทนทรมานกับกินยาอีกแล้ว "ดูทำหน้าตาประหลาดอะไรแบบนี้ ว่าแต่เบื่อหรือเปล่าอยากออกไปนั่งเล่นข้างนอกไหม" นางหวังซื่อเห็นหน้าตาแปลกประหลาดของหลานสาวที่ทั้งยิ้มและร้องไห้ไปพร้อมกันก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ "ไปค่ะ" หงอ้ายไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะได้ออกไปสำรวจด้านนอกอยู่แล้ว หลังเช็ดหน้าเช็ดตาและสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วก็เดินตามการพยุงของย่าฟางออกจากประตูห้องไป และเมื่อออกมาด้านนอกก็เจอเข้ากับแสงแดดที่ส่องลงมา พร้อมกับความร้อนที่ระเหยขึ้นมาจากพื้นดิน บ้านตระกูลฟางสร้างจากดินมีทั้งหมด 5 ห้อง โดยมีสองห้องอยู่ทางฝั่งซ้ายของลานบ้านติดรั้วฝั่งหนึ่ง ครอบครัวเธออยู่ห้องริมที่ใกล้กับรั้วหน้าบ้าน ประตูหน้าห้องหันเข้าหาลานกลางบ้าน และมีอีกสามห้องที่ขยับเข้าไปด้านในที่หันหน้าออกไปทางหน้าบ้าน ถ้ามองจากมุมด้านหน้าของสามห้องนี้ ห้องของครอบครัวเธอกับอีกห้องก็จะอยู่ฝั่งขวามือ หรือเป็นรูปตัวแอลนั่นเอง ซึ่งทุกห้องมีขนาดเท่ากันสร้างจากดินโคลนสีเหลืองมีเสาทำจากไม้และหลังคาสานจากฟางแห้ง มีลานดินหน้าบ้านและตรงหน้าห้องจะเป็นพื้นระเบียงยกสูงที่มีหลังคาซึ่งน่าจะเป็นที่สำหรับใช้นั่งกินข้าว เพราะมีโต๊ะยาวแบบนั่งพื้นตั้งซ้อนวางไว้ฝั่งหนึ่ง บนพื้นระเบียงมีเสื่อปูเอาไว้ยังมีตะกร้าผ้าที่ถูกวางเอาไว้ข้างกันน่าจะเป็นงานที่ย่าฟางทำค้างอยู่ เมื่อเดินมาทางด้านหลังบ้านจะเห็นห้องครัวที่สร้างจากไม้ไผ่มีเตาก่อด้วยดินอยู่ 2 เตา และมีโอ่งน้ำตั้งไว้อยู่สองใบ ข้าวของเครื่องใช้ในครัวถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ถัดไปมีห้องน้ำสองห้องที่ตั้งอยู่ข้างแปลงผัก และพืชผักที่ยืนต้นดูแห้งเหี่ยวอยู่ในแปลง "อยากเข้าห้องน้ำเหรอเปล่า ถ้าอย่างนั้นอย่ามายืนตากแดดแบบนี้เดี๋ยวก็ป่วยอีกหรอก" นางหวังซื่อที่พาหลานสาวออกมาด้านนอกก็ปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งเล่นที่ระเบียงยกพื้นหน้าบ้าน แล้วเดินไปดูหลานชายอีกสองคนที่เธอปล่อยให้นอนกลางวันกันอยู่ในห้อง แต่พอออกมาก็ไม่เห็นหลานสาวนั่งอยู่ จึงเดินตามหาก็เห็นอีกฝ่ายยืนอยู่กลางแดดข้างแปลงผัก ก็รีบไปพาตัวเข้ามาอยู่ในร่ม "น้องๆ ละคะ" หงอ้ายมานั่งลงบนระเบียงพื้นยกสูงหน้าบ้านข้างย่าฟาง พร้อมกับมองหาน้องชายอีกสองคนที่ย่าฟางต้องเป็นคนดูแลตอนที่คนอื่นๆ ออกไปทำงานกัน "น้องยังนอนหลับอยู่ หลานนั่งรอไปก่อน อีกเดี๋ยวก็ตื่นกันแล้วล่ะ" หวังซื่อเอ่ยตอบกลับหลานสาว ในใจก็ยินดีที่หลังจากที่หลานสาวหายป่วยครั้งนี้ดูรู้ความขึ้นมาก ทั้งกินอาหารกินยาไม่ดื้อเหมือนแต่ก่อนที่กว่าจะกินข้าวได้คนทั้งบ้านต่างพากันเหนื่อยไปหมด และตอนนี้ยังรู้จักชวนพูดคุยอีกด้วย หงอ้ายนั่งมองไปรอบๆ บ้านซึ่งก็ไม่มีอะไรมากนัก ในลานบ้านมีต้นไม้ใหญ่ที่ไม่มีใบเหลือแล้วอยู่ 3 ต้น ซึ่งเธอไม่รู้ว่ามันเป็นต้นอะไร และแต่ละต้นก็มีสภาพเปลือกแห้งแตกล่อนสีลำต้นด้านในดำคล้ำ คาดว่าอีกไม่นานก็คงยืนต้นตาย ซึ่งเรื่องพวกนี้ที่เธอรู้ก็ต้องขอบคุณงานรับพิมพ์เอกสารที่เคยทำ เพราะนอกจากพิมพ์ตามเอกสารต้นฉบับแล้ว เธอยังต้องอ่านทวนเพื่อตรวจสอบความถูกต้องด้วย "ย่าเคยไปตลาดมืดไหมคะ" หงอ้ายที่คิดถึงเรื่องภารกิจเลี้ยงดูคนในบ้านขึ้นมา ก็เอ่ยถามย่าฟางออกไป "ฮึ่ม หลานรู้จักตลาดมืดด้วยอย่างงั้นเหรอ" นางหวังซื่อได้ยินที่หลานสาวถามก็รู้สึกสงสัย เด็กน้อยที่อยู่แต่แค่ในหมู่บ้านจะไปรู้จักตลาดมืดได้ยังไง ขนาดนางเองก็ยังเคยเข้าไปที่นั่นแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น เพราะกลัวพวกทหารแดงจะลงตรวจ "หนูได้ยินย่าหลินพูดเรื่องที่จะไปตลาดมืดเพื่อซื้อผ้ามาตัดชุดใหม่ให้พี่เว่ยเว่ยค่ะ" หงอ้ายตอบกลับไป ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเช่นกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนิสัยเจ้าของร่างคนเก่าไม่ชอบพูดหรือไม่ค่อยสนใจคนอื่น เวลาที่คนพวกนั้นพูดคุยกันก็มักจะไม่ค่อยระมัดระวังว่าเจ้าของร่างจะได้ยินหรือเปล่า "ดูท่าบ้านนั้นคงอยากให้หลานสาวได้แต่งงานกับยุวชนเจียงมากสินะ" ย่าฟางพูดออกมาไม่ดังมาก และน่าจะเป็นการพูดกับตัวเองมากกว่าพูดให้เธอฟัง แต่เธอดันได้ยินชัดเจนเลย และเรื่องที่ย่าฟางพูดก็น่าจะจริง เพราะพี่เว่ยเว่ยมักจะชอบเข้าไปพูดคุยกับพี่ชายเจียงที่เป็นยุวปัญญาชนมาจากเมืองหลวงอยู่บ่อยๆ แถมอีกฝ่ายยังมีหน้าตาหล่อเหลาอีกด้วย และอายุก็เพิ่งจะ 20 ปีเท่านั้น "ตกลงว่าย่าเคยไปตลาดมืดไหมคะ" หงอ้ายเอ่ยถามอีกครั้ง เพราะดูเหมือนย่ากำลังคิดอะไรบางอย่างจึงลืมคำถามของเธอไปแล้ว "ทำไมหลานถึงอยากรู้เกี่ยวกับตลาดมืดล่ะ" นางหวังซื่อได้ยินที่หลานสาวถามก็เอ่ยถามกลับไป เพราะอยู่ๆ อีกฝ่ายก็อยากรู้อยากเห็นในเรื่องนี้ขึ้นมา "หนูมีของที่อยากให้ย่าเอาไปขายค่ะ" หงอ้ายก็ไม่คิดปิดบังเจตนาของตนเอง "ในตลาดมืดไม่มีใครเขาซื้อผักป่าที่หลานเก็บมาหรอกนะ" นางหวังซื่อพอได้ยินคำพูดของหลานสาวก็รู้สึกขบขัน อีกฝ่ายอยากให้นางเอาของไปขายในตลาดมืด แต่ของที่หลานสาวหามาได้ก็มีแต่ผักที่ใช้เลี้ยงไก่เลี้ยงหมูแค่นั้น "ไม่ใช่ผักป่าหรอกค่ะ แต่เป็นพวกไข่ไก่ เนื้อหมู พวกนั้นน่ะค่ะ" หงอ้ายได้ฟังที่ย่าฟางพูดก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูกไปอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงได้เอ่ยตอบกลับไป "หลานไปเอาไข่ไก่ กับเนื้อหมูมาจากที่ไหนกัน" นางหวังซื่อได้ฟังที่หลานสาวพูดก็ให้สงสัย ถึงแม้ที่บ้านจะเลี้ยงไก่ แต่ไข่ที่เก็บได้ก็ยังไม่พอให้คนในบ้านกิน แล้วหลานสาวจะไปเอาไข่ไก่มาจากที่ไหน ยิ่งเนื้อหมูยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะที่บ้านไม่ได้เลี้ยงหมู หรือถึงเลี้ยงก็ไม่สามารถเชือดได้เอง ต้องส่งเข้าไปที่โรงเชือดของฝ่ายผลิต "ย่ามากับหนูค่ะ" หงอ้ายไม่อยากพูดที่ด้านนอกจึงพาย่าฟางกลับเข้าไปในห้องของครอบครัวแล้วปิดประตูลง ***********
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD