นางพยายามแล้วจริงๆ แอบดูบรรดาศิษย์จัดการกับมนุษย์ที่จับมาเป็นอาหาร แต่เสียงร้องโหยหวนนั้นทำให้นางหวาดกลัวจนต้องปิดตาทุกครั้งไป ก็มันน่ากลัวจริงๆนี่ ให้มนุษย์ผู้ชายมานอนทับบนร่างแบบนั้น ไหนจะเสียงครวญครางเจ็บปวดนั้นอีก แค่คิดนางก็ยกมือปิดหูแล้ว
“แต่ข้าก็พยายามแล้วนะ” นางยังอดเถียงไม่ได้ แม้น้ำเสียงแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงยุง
“พยายามแล้ว? เจ้าช่างกล้าพูดคำนี้”
หญิงสาวหน้าหงายเพราะถูกนิ้วเรียวจิ้มหน้าผากอย่างแรง นางเสียหลักถอยหลังแล้วล้มลงก้นกระแทกพื้น ดวงหน้าเล็กทำหน้าเศร้าพลางลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ แต่กระนั้นก็ไม่กล้าสบตากับศิษย์พี่ที่ยืนจ้องมองนางเหมือนนางเป็นยิ่งกว่าหนูสกปรกเสียอีก
“ขืนเจ้าทำตัวเช่นนี้ต้องอดตายแน่”
“ไม่หรอก ถ้าพวกศิษย์แบ่งเศษพลังชีวิตของมนุษย์ให้ข้ากินบ้าง” นางฉีกยิ้มกว้าง “อีกอย่าง...ข้ากินไม่จุหรอก”
“ไม่ได้!!” เหล่าปีศาจจิ้งจอกแดงประสานเสียงโดยมิได้นัดหมาย ซ้ำยังถลึงตาใส่อย่างไร้เมตตา
ถูกตวาดเสียงดังหลิวเข่อซิงได้แต่หดคอเหมือนเต่า แต่นางไม่มีกระดองให้หลบ
“แล้ว...แล้วข้าต้องทำอย่างไร”
บรรดาศิษย์พี่ต่างมองหน้ากันแล้วหันมาปรึกษา หลิวเข่อซิงได้ยินเพียงเสียงงึมงำ นางลุกขึ้นแล้วปัดฝุ่นดินออกจากประโปรงผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ พลันสายตาของนางก็เห็น 'ท่านแม่' ก้าวเดินอย่างงามสง่าจนนางเผลอจ้องมองอ้าปากค้าง กว่าจะรู้ตัวก็ถูกศิษย์พี่ตบคางที่ค้างอยู่ให้หุบปากสนิทแล้วก้มหน้าหลบสายตาที่นางไม่อาจบรรยายถึงความงามและน่าสะพรึงกลัวในคราวเดียวกันได้
“ถ้าเช่นนั้นก็ส่งนางไปอยู่หอชมบุหลัน ไปอยู่รับใช้หลิวชิงเซียง และคอยเรียนรู้งานก็แล้วกัน”
“หอชมบุหลัน หอนางโลมอันดับหนึ่งของผิงเหยาใช่ไหมเจ้าคะ” หลิวเข่อซิงเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น ตั้งแต่นางจำความได้ก็อยู่แค่ในหุบเขาแห่งนี้มาตลอด
“ให้ชิงเซียงช่วยอบรมน่าจะดี” เสียงสนับสนุนดังขึ้นหลายเสียงทำให้หลิวเข่อซิงไม่อาจเก็บอาการดีใจราวกับได้ออกไปท่องเที่ยวได้เลย
“เอาตามนี้ เจ้าก็เตรียมตัวเสีย อีกสองวันเดินทางออกจากหุบเขาเข้าเมืองผิงเหยา ครั้งนี้เจ้าต้องเดินทางเพียงลำพัง ไม่มีใครช่วยดูแลเจ้าอีกแล้ว”
“ข้าทราบแล้วท่านแม่” นางพยักหน้ารับ “ข้าจะเรียนรู้จากพี่ชิงเซียงและจะเป็นปีศาจจิ้งจอกแดงที่เก่งกาจน่าเกรงขามเช่นเดียวศิษย์พี่”
คำพูดของนางทำเอาบรรดาศิษย์พี่ที่ได้ยินถึงกับหัวเราะตัวงอ ‘ท่านแม่’ ได้แต่ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อยก่อนหมุนตัวจากไปพร้อมเรียกปีศาจตนอื่นให้ไปรับใช้นาง
เพราะเป็นเพียงปีศาจชั้นต่ำสุด และถูกละเลยมาโดยตลอด แต่ก่อนออกเดินทางนางยังได้รับห่อผ้าใส่ของสำคัญและอาภรณ์ชุดงาม นางไม่เคยออกจากหุบเขา แต่เส้นทางไปเมืองผิงเหยาไม่ยากเย็น เพียงแต่เดินตามเส้นทางที่มนุษย์ใช้กันประจำ นางใช้เวลาค่อนวันมาถึงเมืองผิงเหยาได้สำเร็จ
ปีศาจจิ้งจอกแดงในร่างของหญิงสาวสอบถามกับชาวบ้านถึงเส้นทางไปหอชมบุหลันว่าไม่ไกลนัก เพราะนางกินเพียงแค่เศษพลังชีวิต การเดินทางเพียงแค่นี้จึงอ่อนแรง ยามนี้ท้องฟ้าเริ่มอ่อนแสงเต็มที นางมองเห็นสะพานข้ามคลองเบื้องหน้า แม้ไม่ไกลนัก แต่ร่างกายที่แทบไร้แรงเดินทำให้ทุกข์ท้อในใจ
“แค่ข้ามสะพานนี้ไปเดินต่อไปอีกนิดก็จะถึงหอชมบุหลันแล้ว”
หลิวเข่อซิงบอกตัวเอง รวบรวมเรี่ยวแรงอันน้อยนิดเพื่อก้าวเดินต่อไป เคยได้ยินเหล่าศิษย์พี่มักพูดถึงหลิวชิงเซียงในความเก่งกาจมากด้วยพลังในการควบคุมผู้อื่น หอชมบุหลันเป็นหอนางโลมเลื่องชื่อ มีปีศาจหลายตนอาศัยสถานที่แห่งนี้เสพพลังวิญญาณของเหล่ามนุษย์
เพราะไม่เคยพบหลิวชิงเซียงมาก่อน นางได้แต่หวังว่าหลิวชิงเซียงจะเมตตาแบ่งปันพลังชีวิตมนุษย์ให้นางบ้าง จนกว่านางจะเก่งกล้าในการกินพลังชีวิตจากมนุษย์ได้ด้วยตนเอง ปีศาจจิ้งจอกแดงก้าวเดินอย่างยากลำบาก มือข้างหนึ่งยังกระชับห่อผ้าแน่น อีกข้างจับบนราวสะพานเพื่อทรงตัวมิให้ล้มลงไป แล้วดวงตาของนางก็เบิกตากว้างเมื่อเห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่บนสะพาน ดวงตามองเหม่อไปที่ผืนน้ำเบื้องหน้า
แววตาแบบนี้ นางเคยเห็น แววตาที่ไร้อาลัยอาวรณ์ต่อการมีชีวิตอยู่
สวรรค์! คนผู้นั้นกำลังจะฆ่าตัวตาย!
หลิวเข่อซิงเห็นเขาเอนตัวไปด้านหน้านอกราวสะพาน นางรวบรวมเรี่ยวแรงพุ่งเข้าใส่กอดรั้งร่างใหญ่ไว้ไม่ให้เขากระโดดลงแม่น้ำไป
ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ แต่หานหรงเหยาหาได้ใส่ใจไม่ จนกระทั้งจู่ๆ ก็มีมือเล็กสอดเข้ามากอดเอวเขาแน่น เขาเอี้ยวตัวหันไปมองก็เห็นหญิงสาวร่างเล็กในชุดผ้าต่วนสีครามเงยหน้าขึ้นมาพอดี
“เจ้าจะฆ่าตัวตายหรือ?”
แม้รู้ตัวว่ามีคนโผเข้า แต่หานหรงเหยาไม่คิดว่าจะถูกกอดจากด้านหลังเช่นนี้ เมื่อเอี้ยวตัวหันกลับไปมองจึงเห็นเพียงหญิงสาวท่าทางไร้เดียงสา เขาถูกเข้าใจผิดจนชาชิน กำลังจะอ้าปากปฏิเสธแต่อีกฝ่ายกลับแสดงท่าทียินดีเสียเต็มประดา
“เช่นนั้นเจ้าจงรีบฆ่าตัวตายเสียเถิด แต่ดวงจิตของเจ้า ข้าขอเถอะนะ ข้าหิวมาก”
ดวงตาที่เคยสงบนิ่งของหานหรงเหยามีแววไหวระริก ร้อยทั้งร้อยมีแต่คนห้ามมิให้คนฆ่าตัวตาย มีนางเป็นคนแรกที่มีสีหน้าดีอกดีใจซ้ำอยากกินดวงจิตบ้าบออะไรอีก
“แม่นาง...เจ้า...”
ยังไม่ทันทีเขาจะเอ่ยอะไรได้จบประโยค ร่างของหญิงสาวก็อ่อนยวบทรุดลงไป เขารีบประคองนางไว้ แต่ดวงตาของนางก็ปิดสนิทลง เหลือเพียงรอยยิ้มดีใจไว้บนใบหน้า
“แม่นาง” หานหรงเหยาเรียกหญิงสาวแปลกหน้าอีกหลายครั้ง ไม่วี่แววว่านางจะฟื้นได้สติ เขาจึงช้อนตัวนางอุ้มขึ้นอย่างไม่มีหนทางอื่น ในเสี้ยววินาทีนั้นเขาเห็นละอองสีขาวโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
หิมะแรกแห่งปีมาแล้ว
เขาก้มมองร่างเล็กในวงแขน ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วง ไม่อาจทิ้งนางไว้ที่นี่ได้ และไม่รู้นางเป็นใครจึงไม่อาจพานางไปส่งได้ จำเป็นต้องอุ้มนางขึ้นหลังม้ากลับมาจวนแม่ทัพซุน หวังเพียงให้นางตื่นฟื้นแล้วส่งตัวนางไปในที่ของนาง
ทว่าแววตาดีอกดีใจที่เห็นเข้าใจผิดคิดว่าเขาจะฆ่าตัวตายนั้น ทำให้บุรุษน้ำแข็งพันปีอย่างเขาเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว.