ซุนเจ้าเฟิงเป่าลมออกทางปากทำหน้าบูดบึงแล้วเอ่ยขึ้น
“เพราะเหตุนี้เจ้าจึงเป็นห่วงนางใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ย “เจ้าคงนึกหัวเราะเยาะข้าอยู่ในใจสินะ พบกันเพียงครู่เดียวกลับเป็นกังวลเช่นนี้”
“ไม่ๆ เหตุใดข้าต้องหัวเราะเจ้าด้วย” ซุนเจ้าเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พบกันล้วนเกิดจากวาสนา เจ้าเป็นห่วงนางก็เป็นเรื่องดี เอาอย่างนี้ ลองแวะไปเยี่ยมนางดูสักครา หากนางต้องการให้ช่วยเหลือก็ทำตามสมควรเถิด”
“ถ้าเช่นนั้น...”
“ไป ไปกัน”
“ไปไหน?”
“ไปหอชมบุหลันอย่างไรเล่า”
“ไปกลางวันแสกๆ อย่างนี้รึ”
“วันนี้ไม่มีงานอะไรแล้วนี่” เขาเองก็กลับมาที่จวนเพราะสั่งงานที่ค่ายทหารเรียบร้อยดีแล้ว “ยาเจ้าก็กินแล้วไปกันตอนนี้เลย”
หานหรงเหยากระดากใจเล็กน้อย มิใช่ว่าไม่เคยย่างเท้าเข้าหอนางโลม แต่ทุกครั้งที่ไปก็พาเหล่าทหารไปผ่อนหลังทำภารกิจสำคัญลุล่วง แต่ครั้งนี้....
ซุนเจ้าเฟิงไม่รอให้หานหรงเหยาคิดนาน คว้าข้อมือของสหายได้ก็แทบลากตัวปลิวมุ่งหน้าไปหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองทันที
ปลายนิ้วเรียวงามกำลังดีดกู่ฉินหรือพิณเจ็ดสายชะงักไปทันทีที่บ่าวรับใช้มารายงานว่ามีบุรุษต้องการพบ ‘หลิวเข่อซิง’
หลิวชิงเซียงเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เข่อซิงเพิ่งมาอยู่ได้แค่สัปดาห์เดียว นางทำให้บรรดาเหล่าพี่น้องปวดหัวมิใช่น้อย เคี่ยวเข็นอย่างไรก็เอาดีไม่ได้สักทาง จำใจจับนางให้เป็นทำงานขั้นต่ำเป็นสาวใช้ทั่วไป แม้ถูกผู้อื่นกระแหนะกระแหนหรือจิกหัวใช้งานอย่างไร นางไม่เคยปริปากบน ยังคงใบหน้าเปื้อนยิ้มโง่งมอยู่เรื่อยไป
“เจาะจงเรียกเข่อซิงรึ?”
“เจ้าค่ะ”
“ข้าจะออกไปดูเอง” หลิวชิงเซียงวางพิณเจ็ดสายลงแล้วลุกขึ้นเดินไปยังบุรุษสองคนที่เข้ามาขอพบเข่อซิง ไม่รู้ว่าเข่อซิงไปทำเรื่องอันใดไว้ หรือเปิดเผยร่องรอยจนมีนักล่าปีศาจมาเยือน ทว่าเมื่อนางเดินไปถึงที่หมายกลับพบแม่ทัพซุนเจ้าเฟิงที่แต่งกายเรียบง่ายแต่ตัดเย็บประณีตบ่งบอกสถานะองค์ชายสามได้ดีเยี่ยม ส่วนบุรุษอีกคน หากนางจำไม่ผิด จากที่เคยได้ยินมาบุรุษที่รูปร่างแบบบางแต่สูงโปร่ง แลดูสุภาพราวเทพเซียนคือที่ปรึกษาหานหรงเหยา
“ผู้น้อยหลิวชิงเซียงคารวะท่านแม่ทัพซุนและที่ปรึกษาหานเจ้าค่ะ”
ซุนเจ้าเฟิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มุมปากกระตุกยิ้ม นับว่าสายตาหญิงงามอันดับหนึ่งแหลมคมที่มองเขาสองคนปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้ใด
“แม่นางคือหลิวชิงเซียงเองหรือ? สมแล้วที่ผู้อื่นล่ำลือกัน”
“เรียกข้าว่าผู้ดูแลหลิวก็ได้เจ้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มให้ “เสียงเล่าลือเป็นเพียงลมปาก เกรงว่าจะทำให้แม่ทัพซุนผิดหวังแล้ว”
แม่ทัพหนุ่มกวาดตามองหญิงงามตรงหน้าอย่างเปิดเผย เรือนร่างอรชรเย้ายวน ดวงหน้างดงามไร้ที่ติ ยามชม้ายตามองราวกับสะกดผู้คนให้หลงใหลในดวงตาคู่งาม ริมฝีปากสีชาดยกยิ้มจางๆ ประหนึ่งลมวสันต์มาเยือน แต่เขากลับรู้สึกว่าความงามนี้งดงามเกินกว่าจะเป็นจริง ทำให้รู้สึกระแวงอยู่บ้าง
“ผู้ดูแลหลิว ข้ามารบกวนเพื่อขอพบหลิวเข่อซิง” หานหรงเหยาเอ่ยวาจาเข้าประเด็น ใจหนึ่งไม่อยากรั้งอยู่ในหอนางโลมนานนัก และที่สำคัญ เขาเป็นห่วงเจ้าจิ้งจอกแดงโง่งมตัวน้อย สถานที่ที่เต็มไปด้วยจริตเล่ห์กลเช่นนี้ นางจะอยู่อย่างไร
“เข่อซิงเป็นเด็กใหม่ของที่นี่ ไม่ทราบว่าคุณชายรู้จักนางได้อย่างไรกัน”
“แล้วแม่นางน้อยผู้นั้นไม่เล่าให้เจ้าฟังหรือว่า สหายของข้าเป็นผู้นางไว้”
“ช่วยชีวิต?” หลิวชิงเซียงไม่อาจเก็บซ่อนความฉงนไว้ในแววตาได้
“ถูกต้อง นับได้ว่า สหายของข้าเป็นผู้มีพระคุณของนาง” ซุนเจ้าเฟิงยอมรับว่าสตรีนางนี้งดงามนัก แต่ก็ไม่รู้สึกว่าความงามนี้น่าหลงใหลสยบแทบเท้านางได้
“เข่อซิงเป็นเด็กกำพร้าที่ท่านแม่เมตตาเลี้ยงดู หากนางทำเรื่องใดล่วงเกินท่านทั้งสอง ข้าในฐานะผู้ดูแลหอชมบุหลันต้องขออภัยแทนนางด้วย”
“แม่นางหลิวเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่เป็นห่วงนาง หากนางสบายดี ข้าก็จะไม่รบกวน”
ท่าทีสุภาพและติดร้อนใจนิดๆ ทำให้หลิวชิงเซียงแอบชื่นชมอยู่ในใจ นางเดินนวยนาดไปใกล้ ยื่นมือออกไปแต่ยังไม่ทันแตะแขนของหานหรงเหยาก็ถูกพัดอันหนึ่งยื่นมาตีมือนางไว้ก่อน นางถึงกับชักมือกลับตวัดสายตาจ้องมองอย่างขุ่นเคือง ด้วยไม่เคยถูกใครเสียมารยาทเช่นนี้ แม่ทัพหนุ่มสะบัดข้อมือกลับแล้วคลี่พัดโบกเบาๆ ท่าทางราวหนุ่มเจ้าสำราญทั้งที่เป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่กำยำยิ่ง
“สหายข้าเพียงต้องการพบคน เจ้าก็พามาเถิด”
หากไม่เพราะได้กลิ่นพลังชีวิตเข้มข้นมากกว่าคนทั่วไป นางคงไม่ปรายตาสนใจเป็นแน่ ยิ่งคุณชายหานที่ดูเปราะบางผู้นี้ยิ่งมีพลังหยางบริสุทธิ์ นางสูดลมหายใจลึกข่มโทสะไว้ในอกแล้วระบายยิ้มอ่อนหวาน
“ได้ เชิญตามข้ามาทางนี้” นางหมุนตัวแล้วเดินนำไปที่ห้องด้านใน จำได้ว่านางสั่งให้หลิวเข่อซิงศึกษาหนังสือภาพวังวสันต์ “อีกไม่กี่วันเราจะจัดงานชิมชาชมบุปผา ข้าหวังจะให้นางออกรับแขกครั้งแรก จึงให้นางศึกษาเรื่องที่ควรศึกษาที่เรือนด้านหลังนี้”
“รับแขก...” สองคำนี้ทำเอาฝีเท้าของหานหรงเหยาไม่มั่นคง เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้เป็นห่วงนางถึงเพียงนี้
ห่วงจนรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ หรือโรคของเขาจะกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว.
ณ เรือนด้านหลัง
“เจ้านี่มัน...”
“พี่สาวทั้งสอง เมตตาข้าด้วย” เสียงอ่อนระโหยนั้นน่าสงสารยิ่ง แต่หญิงงามสองคนยืนมองด้วยความโมโห
“เรื่องง่ายๆ แค่นี้เจ้ายังทำไม่ได้ แล้วจะไปทำอะไรได้อีก!”
“ได้ๆ ข้าสัญญา ข้าจะพยายามให้มากกว่านี้ แต่ตอนนี้...ข้าขอ..ขอกินพลังชีวิตนิดหนึ่งได้ไหม”
“ไม่ได้!” สาวงามทั้งสองตวาดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เสียงตวาดนั้นทำให้เข่อซิงถึงกับยกมือขึ้นปิดหู แล้วนางก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าหูของตนเปลี่ยนเป็นหูจิ้งจอกแล้ว
“หูของข้า!” หลิวเข่อซิงร้องอย่างลนลาน “หางก็โผล่!”
“ดี! กลายเป็นจิ้งจอกแดงแล้วกลับหุบเขาไปเลย! ทำตัวน่ารำคาญจริง!”
ไม่ได้นะ! นางจะกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงไม่ได้ พลังนางเหลือน้อยเต็มที หากกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงแล้ว ไม่รู้ว่านานเพียงใดกว่าจะได้กลายร่างเป็นมนุษย์อีกครั้ง
หรือไม่ก็...อยู่ในร่างจิ้งจอกแดงตลอดไป