ผลั่กก!
ตัวผมถูกใครบางคนที่เดินสวนมาชน และไม่มีแม้แต่คำขอโทษจากอีกฝ่ายที่เป็นคนผิด ผมหันหลังกลับไปมองคนที่เพิ่งจะเดินสวนผมไป ปรากฎว่าอีกฝ่ายเองก็ยืนมองผมอยู่ไม่ต่างกัน ‘พีม’ คือคนคนนั้น เด็กผู้ชายที่ตัวเท่าผมในแปลงเกษตรวันนั้น สายตาที่เขาใช้มองผมในตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากตอนนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว และผมเองก็มองเขากลับด้วยสายตาแบบเดียวกัน
พีมกดสายตาไล่มองผมตั้งหัวจรดเท้า ก่อนที่ริมฝีปากบางจะเหยียดยิ้มมุมปากแล้วหันหลังเดินเข้าลิฟท์ไป
ผมเกือบจะเลิกให้ความสนใจเด็กของพี่โชว์แล้ว ถ้าหากว่าตรงหน้าห้องผมมันไม่มีอะไรที่ผิดปกติติดอยู่ที่ประตูหน้าห้อง
ซองจดหมายสีแดงถูกแปะไว้ที่ประตูห้องผม และคนที่กำลังทำตัวเป็นศัตรูกับผมก็เพิ่งจะเดินออกมาจากทางที่ต้องผ่านห้องของผมเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว
“เชี่ย!” ผมถึงกับต้องอุทานคำหยาบออกมาเมื่อเห็นของที่อยู่ในนั้น
กระดาษสีขาวหนึ่งแผ่นที่ถูกป้ายไปด้วยรอยเลือดที่แห้งติดกระดาษจนน่าเกลียดน่ากลัว นอกจากคราบเลือดที่ดูสกปรกก็ยังมีข้อความระบุมาสั้นๆ ‘เลิกยุ่งกับผู้ชายของกูซะ ครั้งนี้กูแค่เตือนนะ”
“บ้ารึเปล่าวะ” ผมพับเก็บกระดาษนั่นใส่กลับไปในซองเหมือนเดิม แล้วโยนทิ้งไว้ในถังขยะใกล้ประตูห้อง โดยที่ยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพี่โชว์
ข้อความเข้า >>ออกไปกินบะหมี่เกี๊ยวกัน พี่หิว<<
“ผมกินข้าวแล้วพี่โชว์” พอได้อ่านข้อความผมก็ต่อสายหาพี่โชว์ทันที
(พี่เหงาไปนั่งเป็นเพื่อนพี่ก็ได้)
“พี่ก็ชวนพีมเด็กพี่ไปดิ ผมจะอาบน้ำ”
(พีมเกี่ยวอะไรด้วย?) เสียงพี่โชว์ตอบผมมาอย่างงงๆ
“ก็เขาเพิ่งมาหาพี่ไม่ใช่รึไง ผมยังเดินสวนอยู่เลย”
(พี่ไม่เคยพาใครหรือให้ใครมาห้องพี่นะ)
ติ๊ด!
ผมกดวางสายพี่โชว์ไปในทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ภาพจดหมายที่เปื้อนเลือดวกกลับเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง คนที่ดูสะอาดหยิ่งยโสแบบพีมจะทำเรื่องสกปรกๆได้จริงหรอ? แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าห้องนี้เป็นห้องผม หลายๆเหตุผลตีวนอยู่ในหัวสมองผมจนกระทั่งเสียงเคาะประตูที่หน้าห้องดังขึ้น
ก๊อกกๆ!
“พี่เองนะดรีม เป็นอะไรรึเปล่าวางสายไป เปิดประตูให้พี่หน่อย” ผมเลิกคิดเรื่องจดหมายนั่นแล้วเดินไปเปิดประตูให้พี่โชว์
“สงสัยมือไปโดนมั้ง” ผมโผล่หน้าออกไปตอบคำถามพี่โชว์
“หน้าซีดๆนะ ดรีมไม่สบายรึเปล่า”
“เปล่า ปกติดี จะไปกินไหมเนี่ยจะได้ไปเป็นเพื่อน”
เราเดินคู่กันออกมาจากลิฟท์ที่ลงมาถึงชั้นล่าง จากนั้นท่าทีของพี่โชว์ก็เปลี่ยนไปในทันที ท่อนแขนแกร่งรีบตวัดมาคล้องต้นคอผมไว้ ดึงเข้ามาให้ร่างกายแนบชิดกันจนแทบจะหลอมกลายเป็นร่างเดียว
“พี่โชว์ เอาแขนออกผมหายใจไม่ออกนะ”
“หวัดดีครับน้องดรีม” เสียงของคนที่เดินเข้ามาร่วมสถานการณ์ทำให้ผมเข้าใจในความเปลี่ยนไปของพี่โชว์ทันที
“มึงมาทำอะไรที่นี้”
“น้องดรีมอยู่หอนี้หรอ?” เดย์เมินคำถามของพี่โชว์ เขาเลือกที่จะหันมาสนใจผม
“กะ..อื้อ!” ผมยังไม่ทันจะได้ตอบออกไปด้วยซ้ำ ฝ่ามือหนาก็รีบยกขึ้นมาปิดปากให้ผมส่งเสียงได้แค่ในลำคอ
“ดรีมไม่จำเป็นต้องตอบ”
“งั้นหรอ” น้ำเสียงที่เดย์ตอบพี่โชว์ไปฟังแล้วหาความเกรงใจหรือกลัวไม่เจอเลยสักนิด “ถ้าอย่างนั้นก็เฝ้าไว้ดีๆล่ะ เพราะถ้าเผลอ ผมกลัวดรีมจะไม่ได้แค่ตอบกลัวจะร้องเสียงอื่นด้วยน่ะสิ”
“อย่า มา ยุ่ง กับ ดรีม”
“ทีพี่ยังยุ่งกับพี่ชายผมได้เลย” เหตุการณ์มันเริ่มจะแย่ขึ้นทุกที ไม่ว่าจะพี่โชว์หรือเดย์ก็ไม่มีใครยอมใครสักคน คนหนึ่งเตรียมที่จะพุ่งชน อีกคนยืนแสยะยิ้มท้าทาย
ผมลากแขนที่โชว์ให้แยกออกมาจากตรงนั้น ก่อนที่มันจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ผมไม่รู้หรอกว่าระหว่างพวกเขามันมีเรื่องอะไร ทำไมทุกคนถึงได้ปิดปากเงียบไม่มีใครบอกผมสักคำ เท่าที่ผมรู้สึกได้คือมันต้องร้ายแรงพอตัวไม่งั้นพวกเขาจะพร้อมมีเรื่องกันทุกครั้งที่เจอหน้าแบบนี้หรอ
“พี่รู้มาก่อนรึเปล่าว่าเดย์พักอยู่ที่นี้”
“ไม่รู้ว่าเดย์มันมาด้วย รู้แค่ว่าเวย์ย้ายมาเมื่อเดือนก่อน” เมื่อพูดถึงพี่เวย์น้ำเสียงของพี่โชว์ก็หม่นลงในทันที เสียงถอนใจดังขึ้นมาเบาๆ
“พี่โชว์…ผม..ยอมแล้วนะ”
กึก!
พี่โชว์หยุดฝีเท้าลงทันที ใบหน้าหล่อหันมามองผมอย่างไม่เชื่อ
“ยอม?”
“ก็ที่คุยกันไง ถ้ายอมให้หอมแล้วพี่จะเล่าให้ผมฟัง” พูดแล้วก็อายตัวเอง ทำไมความอยากรู้เรื่องของคนอื่นมันถึงได้กระตุ้นให้ผมเอาตัวเองเข้าแรกกับผู้ชายหื่นกรามแบบพี่โชว์ด้วย ความร้อนแผ่กระจายไปทั่วใบหน้ากับคำพูดถัดมาของตัวผมเอง “จะ..จะ..หอมไหมเนี่ย”
“งั้นหอมก่อนถึงจะตอบ”
“ก็…หอมดิ” ทำไมเสียงกูแผ่วจังว่ะ!
เสียงหัวเราะทุ้มดังขึ้นในลำคอของพี่โชว์ ใบหน้าหล่อเอียงก้มลงมาหาผมอย่างช้าๆ สัมผัสอุ่นเริ่มร้อนขึ้นตามระยะห่างของเราทั้งคู่ กลิ่นลมหายใจที่หอมฟุ้งไปด้วยมิ้นต์ของพี่โชว์ขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นทุกวินาที ในอีกไม่ช้าปลายจมูกโด่งนั่นก็จะสัมผัสไปกับแก้มนิ่มของผม
เสียงหัวใจผมเต้นถี่ระรัวเมื่อจินตนาการถึงเหตุการณ์ข้างหน้า เหงื่อผุดพรายตามฝ่ามือซะจนเย็นเฉียบ พี่โชว์เข้ามาใกล้ผมแล้วก่อนที่เขาจะหอมแก้มผมอย่างที่ตั้งใจไว้ ทุกสิ่งตรงหน้าผมก็…
พรึ่บ!
“หลับตาปี๋ขนาดนี้พี่หอมไม่ได้หรอก เหมือนกำลังบังคับใจเราอยู่ก็ไม่ผิด” เสียงทุ้มดังชิดหู ก่อนที่ผมจะลืมตามอง
“ก็ผม..ผมอยากรู้เรื่องพี่กับพี่เวย์”
“ทำไมถึงอยากรู้มากขนาดนี้ละ?”
“ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้อยากสอดเรื่องพี่ขนาดนี้ และผมก็อดสงสัยต่อไปไม่ได้ด้วย พี่บอกผมเถอะนะ”
“เรื่องแบบนี้จะให้มาบอกกันง่ายๆได้ไง เนอะ” พี่โชว์ไม่ยอมปริปากบอกผมเหมือนเคย ร่างสูงเดินล้วงกระเป๋านำหน้าผมไปยังร้านบะหมี่ใกล้หอแบบที่เขาตั้งใจไว้
บรรยากาศคลาสเรียนรวมวันนี้ค่อนข้างอึดอัดเป็นพิเศษสำหรับผม แต่เป็นอะไรที่สาวๆและชายเทียมในห้องฟินและสุขสุดชีวิต เพราะมีหนุ่มคณะเกษตรของม.Sอย่างพี่โชว์มานั่งเรียนด้วยไงล่ะ เล่นเอานักศึกษาสนใจคนฮอตมากกว่าหน้าอาจารย์ ส่วนเดย์ที่เคยนั่งตื้อผมอยู่ข้างๆ ตอนนี้ก็ต้องย้ายที่นั่งไปอีกฝั่ง เพราะพี่โชว์มานั่งที่ตรงนั้นแทนเดย์ไปแล้ว แถมยังส่งสายตาสู้กันตั้งแต่เริ่มคลาส
“พี่โชว์ มองขนาดนั้นลุกออกไปต่อยกันเหอะ” ผมกระซิบคุยกับพี่โชว์ ไม่ว่าผมจะหันกลับมามองเมื่อไรทั้งพี่โชว์และเดย์ยังนั่งจ้องตากันไม่ลดละ
“ได้หรอ พี่ได้ลากมันออกไป”
“เชิญเลย” ผมผายมือออกไปทางที่เดย์นั่ง “ถ้าโดนต่อยแสกหน้าหมดหล่อผมไม่รู้ด้วยนะ”
“ใครสนเรื่องหน้าตาล่ะ” คนโดนประชดนั่งกอดอกอยู่ที่เดิม พร้อมกับการก้มหน้าลงมากระซิบคุยกับผมแค่สองคน “ถึงหน้าพี่จะเสียโฉม แต่เรื่องการเล้าโลมและลีลายังเหมือนเดิมนะ”
“โอ๊ย” คนที่เพิ่งถูกผมตีขาร้องออกมาเบาๆ
พี่โชว์เลิกให้ความสนใจกับเดย์เพราะเขาเจอสิ่งที่มันน่าสนใจมากกว่า นั่นก็คือตัวผมเองนี่แหล่ะ
“พี่นั่งเฉยๆได้ไหม ผมรำคาญนะ” ผมหันไปดุพี่โชว์ที่นั่งเอานิ้วม้วนผมผมเล่น พอโดนว่าตรงนี้ก็หยุด แล้วก็ไปเล่นตรงอื่นแทน ผมดุเขาจนผมเองก็เบื่อที่จะพูดจะดุ เลยปล่อยให้เขาทำมันต่อไป จนอีกฝ่ายหมอบหน้าหลับไปกับโต๊ะเรียน
“พี่โชว์ทำไงดี” ผมหันไปสะกิดที่โชว์ที่นอนหลับอยู่ข้างๆ
“หื๊อ? ใครทำอะไรดรีม”
“เปล่า ไม่มีใครทำผมหรอก แต่เขาให้ทำรายงานกลุ่มอ่ะดิพี่โชว์” ผมรนรานนั่งกระซิบคุยกับพี่โชว์สองคน
“ก็ทำดิ” พี่โชว์ก็ยังไม่เข้าใจปัญหาการทำรายงานกลุ่มของผมอยู่ดี จนผมต้องถอนหายใจทิ้งตั้งสติอธิบายให้พี่โชว์เข้าใจ
“ก็อยากทำ แต่ผมไม่มีเพื่อนไงพี่โชว์ จะอยู่กลุ่มใครละ?” ก็ทั้งคลาสผมเล่นรู้จักเดย์อยู่คนเดียว แล้วตอนนี้ทั้งห้องก็กำลังวุ่นวายกับการจับกลุ่มกันอยู่ คงมีผมคนเดียวที่ยังนั่งอยู่กับที่ไม่ไปรวมกลุ่มกับคนอื่น
“อ๋อ…เดี๋ยวพี่หาให้”
พี่โชว์บอกให้ผมนั่งรออยู่ตรงนี้เฉยๆ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดข้อความหาใครสักคนอยู่ไม่กี่ประโยคเขาก็เก็บมันลงกระเป๋าเหมือนเดิม พร้อมกับหันมาบอกให้ผมรอ โดยที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ากำลังรออะไร
“พี่โชว์เพื่อนพี่แทนใช่ไหมครับ?” นักศึกษาร่วมคลาสกับผมคนหนึ่งเข้ามาถามพี่โชว์ เสียงนิ่มนวลที่เปล่งออกมาสมกับบุคคลิกเรียบร้อยและใบหน้าหวานของผมเขามาก
“เด็กไอ้แทนใช่ไหมเราอะ?”
“ไม่ใช่พี่ แค่น้องข้างบ้านเฉยๆ” คนตรงหน้ารีบส่ายหัวปฏิเสธ
“เออเอาน่า ตอนนี้อ่ะน้องข้างบ้าน อีกหน่อยก็น้องขึ้นเตียง โอ๊ะ!” คำพูดจากำกวมของพี่โชว์อาจจะไม่จบเพียงเท่านี้ ถ้าผมไม่ใช้ศอกกระทุ้งเข้าไปที่ข้างลำตัวหนา เรียกสติให้กลับมาอยู่กับพี่โชว์
“แล้วนี้…ใช่คนที่พี่โชว์จะฝากไหมครับ?” เขาคนนั้นชี้นิ้วมาที่ผม
“ใช่ คนนี้แหล่ะ”
“เราชื่อปลายนะ เรียนแพทย์” อีกฝ่ายรีบแนะนำตัวกับผม
“อะ..เราชื่อดรีม เกษตรนะ” ปลายฉีกยิ้มกว้างส่งมาให้หลังจากที่เราทำความรู้จักกัน อีกไม่กี่วิต่อมาเพื่อนของปลายอีก3คนก็เดินเข้ามาสมทบ
ปลายอธิบายกับเพื่อนเขาไม่กี่ประโยคก็เป็นอันรับรู้ว่าผมจะเข้ามาอยู่กลุ่มรายงานเดียวกับพวกเขา เพื่อนๆของปลายก็ดูไม่ได้ติดขัดอะไรกับเรื่องนี้ เด็กผู้ชายตัวบางในกลุ่มที่ผมรู้ชื่อมาว่าเขาชื่อ มีรัก ยื่นกระดาษจดรายชื่อกลุ่มมาให้ พร้อมกับการขอแอดไลน์ของผมไว้คุยงานกันทั้งกลุ่ม
“ครั้งหน้าดรีมไปนั่งกับพวกเราก็ได้นะ เรานั่งอยู่แถวหน้าสุดอ่ะ” ปลายอยู่คุยกับผมเป็นคนสุดท้ายและได้ชวนผมไปนั่งเรียนกับพวกเขา ก่อนที่จะขอตัวกลับไปรวมตัวกับเด็กเรียนแพทย์คนอื่นๆ
“พี่โชว์ พี่ไปรู้จักปลายได้ไงะ?”
“เด็กข้างบ้านไอ้แทนไง บังเอิญเรียนอยู่ห้องนี้เหมือนกัน โชคดีนะเนี่ย..มีเพื่อนสักทีดรีมน้อยของพี่” ฝ่ามือหนายกขึ้นลูบเส้นผมนิ่มผมอย่างเอ็นดู ดวงตาคู่สวยตรงหน้ามองมาที่ผมอย่างอ่อนโยน ความอบอุ่นจากการกระทำของพี่โชว์นั้นทำให้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก อยู่ๆใจมันก็ฟูจนเต็มอกข้างซ้าย
“อย่าเพิ่งไป” กระเป๋าหลังผมถูกดึงไว้โดยพี่โชว์ เมื่อผมกำลังจะเดินออกไปจากห้องเหมือนกับคนอื่นๆ
“อะไรอีกละพี่โชว์” พี่โชว์ไม่ได้ตอบคำถามผม เขามองไปยังเดย์ที่กำลังลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ ปลายตาคมของเดย์เหล่มองมาที่เราสองคน ปลายลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจพี่โชว์ในลำคอ ก่อนที่เดย์จะเดินไปรวมกับเพื่อนของเขาที่มารออยู่หน้าห้อง
หลังจากที่เดย์เดินออกจากห้องไปได้พักหนึ่งพี่โชว์ก็พาผมเดินออกมา ร่างสูงข้างกายรีบก้าวขายาวติดๆกันเพื่อเร่งตามแผ่นหลังบางของคนๆหนึ่ง จนผมต้องรีบเดินตาม กระทั่งแผ่นหลังนั้นหายไปกับบันไดทางลงของตึก
“ปลายรอพี่ก่อน!” พี่โชว์เรียกคนที่กำลังเดินลงบรรไดเอาไว้
ใบหน้าหวานของปลายโผล่พ้นมาเหนือขั้นบันไดหลังจากที่ถูกเรียก เรียวขาก้าวเดินกลับขึ้นมาหาผมและพี่โชว์ที่ยืนรอ แทนที่จะยืนรออยู่ที่เดิม เพราะยังไงซะผมก็ต้องเดินลงบันไดไปทางนั้นอยู่แล้ว
“ครับพี่โชว์”
“เดี๋ยวคลาสหน้าพี่อาจจะไม่ได้มานั่งกับดรีม พี่ฝากปลายดูแลดรีมด้วยนะ ดูแลให้ห่างไกลจากพวกใส่ช็อปห้อยเกียร์” เสียงหนักแน่นย้ำคำว่าใส่เกียร์ห้อยช็อปเสียงดังฟังชัด
“ผมว่า..ผมพอจะเข้าใจนะครับ” ปลายตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูใสซื่อ
“บ้าบอ ผมโตแล้วน่า ดูแลตัวเองได้”
“ไม่เชื่อครับ”
“ผะ-“
“ยังไม่พี่ก็ไม่เชื่อ” พี่โชว์ไม่ปล่อยให้ผมต่อปากต่อคำ ร่างสูงรีบพูดแทรกกลางประโยคของผม
ท่อนแขนใหญ่วางคล้องที่ลำคอผ่องของผม ออกแรงเพียงเล็กน้อยเพื่อพาตัวผมให้เดินตีคู่เคียงข้างลงบันไดไปกับเขา แล้วทำเป็นลืมประโยคก่อนหน้านี้ที่เราเถียงกัน
“วันศุกร์นี้พี่ไปบ้านไอ้แทนนะ ดรีมอยู่ห้องคนเดียวได้ใช่ไหม?”
“ถ้าตอบว่าไม่พี่จะพาผมไปด้วยเปล่า” ตาคมหรี่มองมาที่ผมเล็กน้อย
“ไม่ครับ พี่ไม่พาดรีมไปด้วยแน่ๆ” พี่โชว์ยืนยันเสียงหนักแน่น “พี่เป็นห่วงดรีมนะ ถ้าเกิดมีอะไรไม่โอเคโทรหาพี่ทันทีเลยนะ พี่จะรีบมาแล้วก็สัญญาด้วยว่าพี่จะไม่เมา”
“ได้หรอ? อย่างพี่โชว์มีด้วยหรอที่จะไม่เมา”
“ทำเป็นรู้ดีนะครับ นี่น้องหรือเมียในห้องกันแน่”
“อะ..ไอ้พี่-“
“เขินก็บอกเถอะครับน้องดรีม” เสียงทุ้มพูดกระเซ้าเย้าแหย่ “หูน้อยๆแดงหมดแล้ว”
“ไอ้พี่บ้า!”
“ระวังจะหลงรักพี่บ้าๆคนนี้นะครับน้องดรีม”
“ผะ..ผม..” เชี่ย! จะมาพูดติดอ่างอะไรเอาตอนนี้!?
ผมไม่ใช่คนที่จะมาเสียอาการง่ายๆกับอะไรแบบนี้ แต่ทำไมกับพี่โชว์ผมถึงได้เสียหลักล้มหงายหลังทรงตัวไม่อยู่ถึงขนาดนี้? ยิ่งเฉพาะตอนนี้ผมยิ่งเซหนักกว่าเก่า เมื่อสบกับดวงตาสีเข้มกับรอยยิ้มกว้างที่มองมายังผม คนอะไรมันจะมีเสน่ห์ได้ทุกการขยับตัว
“ผะ..ผม..กลับห้องดีกว่า”
เชี่ย! ใจอย่าสั่น!