ตึ๊งง!! ผมละสายตาจากอาจารย์หน้าห้องมาเปิดดูข้อความที่พี่โชว์ส่งมา
(เย็นนี้ไปดื่มกัน เดี๋ยวพี่ไปรับที่ห้อง)
‘ผมยังอายุไม่ถึง’ ผมรีบตอบกลับไปและเก็บโทรศัพท์เข้าที่ แม้ว่ามันจะสั่นอีกกี่ครั้งผมก็ไม่หยิบขึ้นมาอ่าน จนอาจารย์ออกปากว่าเลิกคลาสนั้นแหล่ะ ผมถึงหยิบมันมาเปิดดูข้อความที่พี่โชว์ส่งมา ผมยังไม่ทันจะเปิดอ่านเสียงพี่โชว์ก็ดังขึ้นตั้งแต่เจ้าตัวยังไม่เดินมาถึงตัวผมด้วยซ้ำ
“ดรีม” หน้าหล่อๆของพี่โชว์เดินเข้ามาหาผมที่โต๊ะ
“ผมบอกแล้วไงว่าอายุผมยังไม่ถึง พี่ไปกับเพื่อนๆพี่เหอะ”
“เอาเถอะน่าพี่จัดการได้ เข้ามหาลัยก็ต้องหัดดื่มบ้างดิ” พี่โชว์ยังไม่หยุดคะยั้นคะยอให้ผมไปกับเขา
“ผมดื่มเป็น แต่แค่ไม่อยากทำตัวผิดกฎหมาย”
“พี่บอกว่าไปก็ต้องไปสิครับ น้องดรีมไม่ดื้อนะ” พี่โชว์ใช้คำพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ชวนให้ผมขนลุก แล้วสุดท้ายก็ตีเนียนคว้ากระเป๋าผมเดินออกไปหน้าตาเฉย ปล่อยให้ผมเดินตัวปลิวตามหลังด้วยความหงุดหงิด
“พี่โชว์! พี่โชว์! โอ๊ย ทำไมมันพูดยากขนาดนี้ว่ะ” พี่โชว์ได้ยินที่ผมพูดนะ เขาหยุดฟังมันด้วย พอฟังจบก็เดินต่อ ผมก็เลยหัวฟัดหัวเหวี่ยงตามเขาออกมา
“ไอ้โชว์มึงไปแกล้งอะไรน้อง มันถึงได้ทำหน้าแบบเนี่ย” พี่แทนส่งสายตาให้พี่โชว์หันมามองผม ที่นั่งหน้าหงิกอยู่ข้างๆเขา
“หน้าอะไรวะ น่ารักหรอ ดรีมมันก็น่ารักอยู่แล้ว” พี่โชว์แกล้งเอามือมาเชยคาง ผมเลยปัดมือเขาทิ้งอย่างหงุดหงิด พี่โชว์เลิกสนใจคางผม แล้วเปลี่ยนมาเอาหัวซบไหล่ผมแทน ผมก็เอนตัวหลบอีก พี่โชว์คงอึดอัดที่ทำเนียนแต๊ะอั๋งผมไม่ได้ เขาเลยเอาแขนมาคล้องคอ ให้ผมเป็นฝ่ายเข้าไปหาพี่เขาเองให้มันจบๆ
“ให้มันน้อยๆหน่อยเหอะ น้องเป็นผู้ชายเว้นไว้มั้งก็ได้”
“ตรงไหนที่เป็นผู้ชาย พี่ขอดูหน่อยดิ๊” พี่โชว์ใช้สายตาที่ร้อนแรงของเขามองลงมายังเป้ากางเกงที่ผมใส่
“บ้ารึไง ผมไม่ได้ชอบโชว์ถอดกางเกงให้ใครดูนะ”
“พี่ยังไม่ได้บอกให้ดรีมถอดเลยนะ คิดลึกนะเราเนี่ย เป็นเด็กเป็นเล็ก” จ้าาา สายตาที่มองมาไม่ได้ปกปิดความคิดพี่เขาเลย
“ที่ผมเป็นยังงี้ก็เพราะอยู่กับคนแบบพี่ไง แล้วแขนเนี่ยจะปล่อยได้ยัง” ผมตีแขนที่คล้องอยู่ไปแรงๆตั้งหลายที แต่พี่โชว์ก็ยังหนังหนาไม่ปล่อย ผมเลยต้องนั่งเอาหัวซบรักแร้พี่โชว์อยู่แบบนี้
“น้องดรีมอยากกินไรเย็นนี้ ก่อนจะไปดื่มกับพวกพี่”
“กินอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องมาดมรักแร้พี่โชว์มันแบบนี้” เพื่อนพี่โชว์เขาคงสงสารผม เลยพูดเกลี่ยกล่อมจนพี่โชว์เขายอมปล่อยมือ ปล่อยให้ผมเป็นอิสระหายใจหายคอสะดวก
@ร้านเหล้า
หลังจากที่จบมื้อเย็นด้วยจิ้มจุ่ม พวกเราทั้งหมดก็มาดื่มกันต่อที่ร้านนั่งชิลล์ใกล้หอ ด้วยชุดนักศึกษาคนเดียวในกลุ่ม ดีหน่อยที่มีเสื้อกันหนาวพี่โชว์ใส่คลุมเอาไว้ ส่วนคนอื่นๆก็ใส่เสื้อยืดกันหมด เหมือนวางแผนกันไว้ว่าจะมาดื่มเหล้า เลยใส่เสื้อยืดทับมาข้างใน รวมถึงพี่โชว์ที่ปกติไม่เห็นใส่ แต่วันนี้ก็ใส่มากับเขาด้วย
“ของน้องดรีมพี่ชงให้อ่อนๆ” เพื่อนพี่โชว์ที่อาสาเป็นคนชงเหล้า ยื่นแก้วของผมมาให้ มันสีจืดชืดมากจนผมนึกว่าในแก้วมันมีแต่โซดา
“ถ้ามันจะอ่อนขนาดนี้พี่ใส่แต่โซดาให้ผมเหอะ” ผมพูดประชดใส่ แต่ก็รับแก้วนั้นมาดื่ม มันจืดแบบที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด
“เบาๆหน่อย เดี๋ยวก็เมาหรอกดรีม” พี่โชว์รีบห้ามเมื่อเห็นว่าผมกระดกแก้วที่เพิ่งรับมา จนจะหมดแก้วอยู่แล้ว
ปึกก!
แก้วใสปราศจากน้ำที่ขุ่นถูกผมวางทิ้งไว้บนโต๊ะ แล้วร่ำร้องเรียกหาขวดแอลกอฮอล์เพื่อที่จะชงแก้วใหม่ด้วยตัวเอง ขนาดเพื่อนพี่โชว์อาสาจะชงให้อีกรอบผมยังยกแก้วหนีเขาอ่ะลองคิดว่าเขาชงได้แย่ขนาดไหน
“เบาๆ เดี๋ยวก็เมาเร็ว” พี่โชว์ดุที่เห็นผมเทเหล้าลงมาแล้วเกือบครึ่งแก้ว และยังจะเทต่อไปจนมันมาถึงค่อนแก้ว ถึงจะเทโซดาลงไปเพิ่ม จนตอนนี้แก้วผมเข้มสุดในโต๊ะ
“หึ เดี๋ยวก็เมาชงเข้มขนาดนี้ ระวังโดนลักหลับนะ” ผมตอบคำถามพี่โชว์ด้วยการกระดกแก้วนั้นทีเดียวจนเกลี้ยงเหมือนรอบแรก
“พี่สั่งขวดต่อไปได้เลย แค่นี้ไม่พอให้ผมเมาหรอก” ครั้งนี้ผมไม่ได้ผสมโซดาอีกแล้ว แต่ดื่มมันเพรียวๆซะเลย ไม่ได้จะอวดเก่ง ผมแค่ไม่ชอบโดนสบประมาท ว่าเป็นเด็กคออ่อน หรือเด็กน้อยอ่อนหัดในเรื่องที่ผมโคตรจะถนัด
“กินแบบนี้ไม่กลัวเมาหรอดรีม พี่ล่ะแสบคอแทน”เพื่อนพี่โชว์ส่ายหน้าให้กับการดื่มที่บ้าคลั่งของผม
“ไม่กลัวอ่ะ หนักกว่านี้ก็เคยลอง” ผมเคยลองถึงขึ้นยกกระดกรวดเดียวทั้งขวดก็ทำมาแล้วตอนอยู่ที่บ้าน กว่าจะคอแข็งได้ระดับนี้ผมก็อ้วกแตกไปหลายรอบ
“ทำไมเราดื่มเก่งแบบนี้แล้วพี่ไม่รู้ละ?”
“พี่โชว์ลืมแล้วหรอว่าบ้านผมทำธุรกิจอะไร” ผมย้ำความทรงจำพี่โชว์ใหม่เผื่อว่าเขาจะลืม ว่าผมโตมากับอะไร
“พ่อดรีมยอมให้ลูกชายดื่มด้วยหรอ” พ่อผมค่อนข้างจะหวงผมในระดับหนึ่ง ถ้าพี่โชว์จะแปลกใจก็ไม่แปลก
“ผมจะบอกให้นะ ผมเนี่ยคู่หูพ่อเลย”
บ้านผมทำธุรกิจผลิตแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นสุราหรือไวน์ ทั้งส่งออกต่างประเทศแล้วก็ขายในประเทศ เพราะงั้นเรื่องดื่มอะไรแบบนี้ผมลองมาตั้งแต่เริ่มขึ้นม.ปลาย ตอนแรกก็แอบพ่อลอง พอนานๆไปก็กลายเป็นเพื่อนดื่มพ่อไปซะงั้น จนตอนนี้คอผมแข็งยิ่งกว่าผู้ใหญ่บางคน
“แล้วสรุปบ้านน้องทำธุรกิจอะไรอะ ร้านเหล้าหรอ?” เพื่อนพี่โชว์ยังไม่หายสงสัยกับธุรกิจบ้านผม พี่โชว์เขาเลยมองหาสิ่งที่จะช่วยอธิบายให้พวกเพื่อนๆเข้าใจ ให้เห็นภาพมากกว่าพูดแค่ปากเปล่า
“พวกมึงเห็นเหล้าที่โต๊ะนั้นสั่งไหม?” พี่โชว์ชี้ไปที่ขวดเหล้าบนโต๊ะที่ห่างจากเราไป1โต๊ะ
“รู้จักดิ แพงอย่างเชี่ยย!” พอเห็นขวดเหล้าเพื่อนๆพี่โชว์ก็ออกปากกันทันที
“เออ! แล้วพวกมึงรู้ไว้ที่นั่งอยู่เนี่ย ลูกชายเจ้าของยี่ห้อเหล้าที่พวกมึงบอกว่าแพง” พอเพื่อนพี่เขารู้เท่านั้นแหล่ะ อ้าปากค้างกันไปหมด คงไม่คิดว่าลูกของคนที่มีฐานะแบบผมจะมานั่งกินเหล้ายี่ห้อทั่วไปกับพวกเขาแบบนี้
ผมไม่เถียงหรอกว่าเหล้าบ้านผมแพง แต่ที่ถูกๆมันก็มีแต่แค่รสชาติไม่ดีแค่นั้น
“เออเข้าใจแล้ว ทำไมกระดกเพรียวๆได้หน้าตาเฉย โหดสัส” พี่แทนซัดไปอีกหนึ่งแก้วหลังจากที่พูดจบ
พวกเรานั่งดื่มกันอยู่ไม่นานโต๊ะที่ว่างข้างๆก็เริ่มมีคนทยอยเข้ามานั่ง และหนึ่งในคนที่เข้ามาก็มีผู้ชายที่ชื่อว่าเดย์เดินเข้ามาด้วย ครั้งนี้เขาไม่ได้มากับกลุ่มเพื่อนเขาที่ผมเคยเจอ ครั้งนี้เขามากับคนที่ดูโตกว่า น่าไว้วางใจมากกว่า
เดย์ทำท่าจะเดินหนีออกไปจากโต๊ะที่เพิ่งจะเดินมาถึง เมื่อเขาสังเกตเห็นพี่โชว์และคนอื่นๆนั่งอยู่ใกล้ๆ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะโดนหนึ่งในนั้นดึงตัวเอาไว้ให้อยู่ต่อ เดย์นั่งลงพร้อมกับสายตาที่มองมายังโต๊ะผมเป็นระยะๆ ไม่รู้ว่าเขาจ้องมองแค่ที่ผมคนเดียว หรือมองไปทั่วทั้งโต๊ะ
“พี่โชว์..” ผมหันหน้าไปหาพี่โชว์ กะจะชวนคุยเรื่องเดย์กับการจ้องมองของเขา แต่พี่โชว์ไม่ได้ให้ความสนใจผมเลย ดวงตาเขากำลังจับจ้องบางสิ่งอยู่จนหลุดออกมาจากภวังค์ไม่ได้ ผมไม่รู้หรอกว่าพี่โชว์กำลังมองอะไร ถึงขั้นละสายตาและความสนใจมาไม่ได้ จนสิ่งๆนั้นเข้ามาใกล้และผมสัมผัสได้ว่าพี่โชว์กำลังมองเขาอยู่จริงๆ
‘เวย์’ คือคนที่เอาความสนใจจากพี่โชว์ไปจนหมด ขนาดที่ว่าเวย์เดินไปทางไหนสายตาพี่โชว์ก็จับจ้องไปแต่ที่เขา ทั้งๆที่เวย์ไม่ได้แต่งตัวแตกต่างจากพี่โชว์กับเพื่อนๆเลย เวย์ตั้งใจจะส่งยิ้มมาให้ผมตอนที่เดินมาใกล้โต๊ะพวกเรา แต่พอเขาเห็นว่าพี่โชว์กำลังจ้องเขาอยู่ ก็รีบหลบสายตาทำเป็นเมินไปทักทายพวกเดย์ที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะ
“พี่โชว์เป็นอะไรรึเปล่า” ตั้งแต่เวย์นั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น พี่โชว์ก็เหลียวหน้าเหลียวหลังคอยมองดูเวย์ตลอด ไม่ใช่แค่ผมที่จับผิดได้ ตัวเวย์เองก็รู้ว่าพี่โชว์มองเขา เขาถึงได้คอยส่งสายตามองมาที่โต๊ะผมเหมือนกัน
“เปล่าหนิ พี่ไม่ได้เป็นอะไร” ถึงปากจะบอกแบบนั้น แต่ท่าทีพี่โชว์ไม่เปลี่ยนไปเลย
“พี่โชว์งั้นผมไปเข้าห้องน้ำนะ”
“อืม…”
ผมไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำจริงๆหรอก ที่ออกมาก็เพราะว่าผมเริ่มรู้สึกอัดอึดกับบรรยากาศในโต๊ะ ตั้งแต่เวย์เดินเข้ามานั่งทุกคนก็มีอาการเปลี่ยนไป ไม่สนุกเหมือนตอนแรก เหมือนมีอะไรกังวลใจกันไปหมด พี่โชว์ยิ่งหนักกว่าคนอื่น เขาสนใจเวย์ที่นั่งอยู่โต๊ะอื่นมากกว่าเพื่อนร่วมโต๊ะตัวเองซะอีก
“ให้พี่ช่วยล้างปะ?”
“เดย์” เพราะมัวแต่ยืนเหม่อผมเลยไม่รู้ว่าเดย์มายืนซ้อนอยู่ข้างหลังมานานขนาดไหน มารู้สึกตัวก็ตอนได้ยินเขามากระซิบข้างหูผมนี่แหล่ะ เดย์ขยับเข้ามาหาผม จนหลังผมแนบชิดไปตามลำตัวที่มีแต่กล้ามเนื้อของเขา ไออุ่นในร่างกายเขาแผ่กระจายไปทั่วแผ่นหลังผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ว่าไงให้พี่ช่วยเปล่า เห็นยืนล้างมือตั้งนานแล้วไม่สะอาดสักที”
สองแขนของเดย์วางเท้าลงกับเคาน์เตอร์ล้างมือ จนกลายเป็นการกักขังผมไว้กับเขากรายๆ และยังจงใจก้มหน้าลงมากระซิบซะจนปรายจมูกแทบจะชนกับแก้มผม ถ้าผมไม่เอียงหน้าหลบซะก่อน เขาคงจะได้หอมแก้มผมไปแล้ว
“ออกไปไกลๆได้มะ อึดอัด” ผมปิดบังอาการประหม่าของตัวเองด้วยการหงุดหงิด เพื่อไม่ให้เดย์รู้ว่าผมเริ่มทำตัวไม่ถูกและเริ่มรู้สึกกลัวเขาที่เข้ามายืนใกล้ชิดกันแบบนี้
“ไกลอ่ะไม่ได้หรอก แต่ถ้าให้ใกล้กว่าเนี่ย พี่ทำได้” เดย์ขยับเข้ามาใกล้อีก ใกล้จนส่วนเว้าส่วนโค้งในร่างกายเราทั้งคู่แนบชิด โดยเฉพาะไอ้หัวเข็มขัดของเดย์ที่มันดันสะโพกผมอยู่ตอนนี้
“ทุเรศว่ะ” ผมพยายามก้มหน้า หลบสายตาตื่นกลัวของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้เดย์เห็น ยิ่งถ้าเดย์รู้ว่าผมเริ่มกลัวเขา เขาต้องใช้ความกลัวของผมบังคับให้ผมทำตามใจเขาแน่ๆ
“หลบตาทำไม น้องกลัวพี่หรอ” เดย์ไม่ได้เท้าแขนอีกต่อไปแล้ว เขาใช้แขนใหญ่ของเขาโอบผมไว้ทั้งตัว พร้อมทั้งทิ้งคางลงมาที่ไหล่โดยไม่สนว่าผมเต็มใจหรือไม่เต็มใจ
“ไม่..ไม่ได้กลัว”
“แล้วถ้าแบบนี้ละ จะกลัวปะ?” เดย์เอียงหน้าเข้ามาหาผม เขาพยายามจะใช้ปลายจมูกโด่งของตัวเองมาหอมแก้มผมให้ได้ ผมหลบเขาเท่าที่จะหลบได้ แต่ในสถานการณ์ที่คับแคบและผมเป็นรองเขาขนาดนี้สุดท้ายผมก็หนีเขาไม่พ้น เสียงสูดดมดังขึ้นเมื่อเขากดจมูกลงมาที่แก้มผมจนได้
“เดย์ ทำอะไร ปล่อยดรีมเดี๋ยวนี้” ก่อนที่เดย์จะลวนลามผมไปกว่านี้เวย์ก็เดินเข้ามาห้าม ตามจริงเขาน่าจะมาก่อนหน้านี้สัก1นาทีก็ยังดี
“ชื่อดรีมหรอ เหมาะกับตัวดีนี่น่า น่ารักสมตัว”
“เดย์ กูบอกให้ปล่อยมือ” เวย์กดสายตามองมือเดย์ที่กำลังกอดผมอยู่ เขาปล่อยมืออกอย่างว่าง่ายพร้อมกับสายตาที่มองมายังผมอย่างเสียดาย
“พี่โชว์..” ผมร้องเรียกชื่อคนที่เพิ่งจะเดินตามหลังเวย์มาติดๆ คิ้วหนาเข้มขมวดเข้าหากันเป็นปมเมื่อเห็นสถานการณ์ของผมที่มันไม่สู้ดีนัก
“เกิดอะไรขึ้นดรีม” เสียงพี่โชว์เข้มขึ้นเมื่อถามถึงเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้น
“ผมอยากกลับแล้ว พาผมกลับที” ผมเดินเข้าไปหาและดึงแขนให้พี่โชว์เดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ก็ออกแรงเปล่า
พี่โชว์ขื่นตัวยืนอยู่กับที่ ออกแรงผลักให้ผมไปยืนหลบอยู่ด้านหลังเขา เมื่อเขาเดินเข้าไปประชิดเดย์ที่มีเวย์ยืนขวางอยู่ตรงกลาง ผมกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นเลยใช้มือทั้งสองข้างจับไว้ที่แขนข้างขวาที่พี่โชว์ถนัด กลัวเขาจะต่อยเดย์จริงๆ
“มึงทำอะไรน้องกูเดย์” พี่โชว์สะบัดมือผมที่จับแขนเขาออก และพร้อมจะลุยใส่เดย์เต็มที่ ถ้าไม่โดยเวย์พูดขอเอาไว้
“โชว์เราขอเถอะ” แค่เวย์พูดแค่นั้นพี่โชว์ก็หยุดทุกอย่างลงทันที “พาน้องกลับก่อนจะดีกว่า ดูท่าทางน้องมันจะไม่ไหว” เสียงของเวย์เปรียบเหมือนรีโมตกดสั่งงานของพี่โชว์
พี่โชว์หันกลับมามองหน้าผมที่ยืนตาแดงรอเขาอยู่ข้างหลัง ฝ่ามือใหญ่วางแปะอยู่บนหัวแล้วลูบไปตามเส้นผมเบาๆ จากนั้นก็ตัดสินใจเดินมาจูงมือผมเดินออกมาจากตรงนั้น
พี่โชว์โทรบอกพวกพี่แทนว่าขอกลับก่อนตอนที่พาผมเดินมาถึงรถ ผมได้ยินพี่แทนโวยวายเสียงดัง จนพี่โชว์ต้องยกโทรศัพท์หนี แล้วตัดจบประโยคด้วยมื้อนี้พี่โชว์เลี้ยงเอง เดี๋ยวโอนตังไปให้ และยืนพิมอะไรอยู่สักพักก่อนจะชวนผมขึ้นรถ
“พี่โชว์ พี่ไม่ได้เป็นอะไรแน่นะ” ผมถามคนที่เงียบผิดปกติ ตั้งแต่ออกมาจากห้องน้ำท่าทางของพี่โชว์ก็เปลี่ยนไป
“พี่เหมือนคนเป็นอะไรงั้นหรอ?”
“ก็ปกติพี่ต้องชวนผมคุย ไม่ก็ลามปามไม่เห็นผมเป็นน้องเป็นนุ่ง” พี่โชว์ยิ้มเมื่อได้ฟังที่ผมพูด มุมปากหยักกระตุกยิ้มอย่างไว้ใจไม่ได้
“ดรีมชอบแบบนั้นหรอ” พูดแล้วพี่โชว์ก็จัดการตีไฟเลี้ยวจอดรถข้างทางทันที
“เข้าใจประเด็นหน่อยดิ ที่ถามเพราะเป็นห่วงไง”
“เป็นน้องเป็นนุ่งพี่ก็เห็นนะ แต่พี่ก็อยากเห็นน้องไม่นุ่งมากกว่า” ผมว่าผมคิดผิดที่เป็นห่วงเขา ปล่อยให้เงียบไปจะดีซะกว่าให้มาพูดจาลวนลามผมแบบนี้
นอกจากถนนมันจะเปลี่ยวจนน่ากลัวแล้ว คนที่นั่งมากับผมก็น่ากลัวไม่แพ้กัน พี่โชว์ขยับตัวปลดสายเข็มขัดนิรภัยของเขาออกจากตัว เพื่อที่จะขยับเข้ามาหาผมใกล้ขึ้น ระยะห่างที่น้อยนิดทำให้ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นแอลกอฮอล์ที่มันคละคลุ้งมาตามลมหายใจ
ใกล้เกินไปแล้ว!~
“ว่าไง อยากนุ่งหรือไม่อยากนุ่ง” พี่โชว์ขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่มือเขาเองก็กดรีโมทปรับระดับเบาะที่นั่งผมไปพร้อมๆกัน เขาปรับมันซะจนผมสามารถเอนตัวลงนอนในมุม180องศาได้อย่างสบาย และเพิ่มความลำบากกายและใจให้ผมด้วยร่างกายที่แข็งแรงของเขาขยับมาคร่อมทาบทับผมไว้ทั้งตัว!
“พะ..พี่โชว์ จะทำอะไรเนี่ย” ผมลนลานมากกว่าปกติเมื่อถูกจู่โจมในลักษณะที่มันเป็นอันตรายกับร่างกายทั้งร่าง นอนกันในท่านี้ผมควรคิดดีได้อยู่หรอ?!
“ก็เปล่าหนิ” เปล่าจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆทำไมวะ!?
“ถ้างั้นก็เอาหน้าออกไป” ผมพูดพร้อมกับเอียงหน้าหลบสายตาที่อีกคนมองมา
“เอาออกไปก็มองไม่ชัดดิ” ปลายคางผมถูกแตะให้เชิดหน้าขึ้นเพื่อสบตากับฝ่ายตรงข้าม
ให้ตายเถอะ! ทำไมเขาต้องมองผมแบบนั้นด้วยฟร่ะ!
พี่โชว์มองผมด้วยสายตาที่โคตรจะเชิญชวน มันร้อนแรงมาก! มากซะจนผมเริ่มจะรู้สึกร้อนรุ่มไปตามสายตาที่มองมา ต้องรีบเบือนหน้าหนีสายตาคู่นี้ไปก่อน ก่อนที่ร่างกายผมจะหลอมละลายตายคารถเข้าจริงๆ
“พี่โชว์อย่าทำแบบนี้” ผมบอกเขาไปด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว
ผมไม่รู้หรอกว่าเขาทำหน้ายังไงตอนที่ผมพูดออกไป รู้แค่ว่าพี่โชว์ขยับย้ายร่างกายตัวเอง ให้มาคร่อมตัวผมไว้ทั้งตัวในท่าที่ล่อแหลมมากกว่าเดิม แล้วใจผมมันก็เต้นแรงมากเหมือนกัน!
อะไรมันจะเบียดจะชิดกันไปทุกสัดส่วนของร่างกายขนาดนี้!
“รู้หรอว่าพี่จะทำอะไร”
“มะ..ไม่รู้ แต่ออกไปได้แล้ว” ผมยกมือเตรียมจะผลักเขาออก แต่อีกฝ่ายก็รู้ทันตามประสาผู้ชายที่โตกว่า รู้ทันคนที่เด็กกว่าแบบผม
ร่างกายที่แข็งแรงและหนักโถมน้ำหนักของร่างกายทั้งหมดกดลงแนบชิดบนร่างกายของผม ทุกสัดส่วนเรามันแนบชิดกันไปหมดซะจนผมดีดดิ้นหนีไม่ได้ ทำได้ก็แค่ใช้มือที่เป็นอิสระทุบตีหลังแผ่นกว้างของพี่โชว์เท่านั้น
“ชอบความรุนแรงก็ไม่บอก พี่ถนัดเลยนะ” เสียงทุ้มดังอยู่ใกล้ๆหูผม เสียงลมหายใจคลอเคลียให้ได้ยินเป็นระยะๆ
“พูดเรื่องอะไรอีกแล้วเนี่ย” ขาสองข้างของผมเริ่มขยับ ถึงแม้จะดิ้นไม่หลุด แค่ขอให้มีช่องว่างของร่างกายก็ยังดี
“อยู่เฉยๆสิครับ”
“ไม่ พี่ก็ลุกไปก่อนดิ” ผมพูดไปตีหลังพี่โชว์ไปด้วย ขาก็ขยับไม่หยุด
“ตอนนี้ก็ลุกจะดูไหมละ?”
“อะไรลุก” ผมหยุดตีแล้วนิ่งฟังคำตอบโดยผ่านทางสายตาที่ไล่มองมายังส่วนที่ต่ำกว่าเอว ที่กำลังบดเบียดกันเต็มที่อยู่ใต้หัวเข็มขัดสีเงิน
“คนละลุกกันแล้วพี่โชว์!” ทะลึ่งกว่านี้มีอีกไหม?!
ผมหันหน้ากลับมาหาพี่โชว์ พอสบตากันอีกครั้งผมก็ต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีอีกตามเคย
“ไม่ดูไม่เป็นไร พี่ให้จับเลยก็ได้” พี่โชว์จับมือผมลากลงไปที่หัวเข็มขัดจริงๆ ผมไม่ชอบจับงูคนอื่นนะ!
“พี่โชว์ พี่หยุดเลยนะ!”
“แล้วจะยอมมองตาพี่ได้ยัง” แค่จะสบตาลงทุนขนาดนี้เลยหรอวะ!? ผมอยากรู้นะแต่ไม่กล้าถามมาก
ผมยอมหันกลับมามองพี่โชว์อีกครั้ง พี่โชว์ก็รีบจับปลายคางยึดหน้าผมไว้ไม่ให้หลบเขาอีกเป็นครั้งที่3 ไม่รู้รึไงว่าดวงตาสีเข้มของตัวเองมันร้อนแรงขนาดไหน รู้ตัวบ้างไหมเนี่ยว่ามันกำลังจะหลอมละลายผมอย่างช้าๆ
“ให้มองทำไมละ?” ถึงจะโดนบังคับให้หันหน้ามามองกัน แต่สายตาผมก็ล่อกแล่กไปมองสิ่งที่อยู่รอบตัว แทนที่จะสบตากับพี่โชว์ไปเลยจังๆ
“ก็เห็นหลบตาไง พี่เลยอยากให้ดรีมสบตาพี่”
“ไม่ได้หลบสักหน่อย พี่โชว์อ่ะคิดไปเอง” ผมก็คิดไปเองเหมือนกัน คิดว่าสายพี่มันจ้องจะจับผมกินยังไงก็ไม่รู้
“ถ้าไม่หลบก็สบตาพี่สิครับ” พี่โชว์ไล่ต้อนผมซะจนมุม เลยต้องทำใจแข็งหันหน้ากลับไปเล่นเกมจ้องตา ถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองต้องแพ้ก็ตามเหอะ
“พอใจยัง”
เราสบตากันอยู่หลายนาที โดยที่พี่โชว์ก็ไม่ละสายตาไปจากผมแม้แต่วิเดียว อย่างกับกำลังทดสอบความอดทนของผม ว่าจะทนกับสายตาเร่าร้อนคู่นี้ได้นานแค่ไหน
และสุดท้ายกลายเป็นพี่โชว์ที่หมดความอดทน ยอมถอยตัว แล้วลุกกลับไปนั่งเบาะคนขับเหมือนเดิม