ตอนที่ 5

1868 Words
ฌาร์มไม่ค่อยได้ให้ความสนใจกับอะไรมากนัก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของผู้คน เพราะชีวิตส่วนใหญ่จะหมกมุ่นอยู่กับร้านกาแฟและงานเขียนที่ไม่เคยเปิดเผยกับใครมาก่อนว่าตัวเองเขียนนิยาย ซึ่งถูกตีพิมพ์จนขายดิบขายดีมาสองสามเล่ม แต่ผ้าไหมรวมถึงผ้าทอโบราณได้ดึงความสนใจของฌาร์มให้ก้าวออกมาจากโลกส่วนตัว และยอมเปิดประตูให้ใครบางคนเดินเข้ามาในโลกของตัวเองอย่างเต็มใจ นานเหมือนกันที่ไม่ได้เปิดความเป็นตัวเองให้ใครได้รู้จักแบบนี้ ศิตาติดคุยงานกับลูกค้า ฌาร์มเลยใช้เวลาระหว่างรอเจ้าของพื้นที่ด้วยการเดินขึ้นไปดูที่พิพิธภัณฑ์ ถึงแม้เมื่อครั้งก่อนจะได้มาดูแล้ว แต่ครั้งนี้ฌาร์มอยากใช้เวลาในการซึมซับของมีค่าและเชื่อว่า คงจะทรงคุณค่าทางจิตใจสำหรับเจ้าของมากเสียกว่าเงินทอง เพราะไม่อย่างนั้นพิพิธภัณฑ์แห่ง นี้คงไม่เกิดขึ้น “สวัสดี ชามข้าว” เสียงของศิตาทำให้ฌาร์มตกใจ เพราะความเงียบและความสนใจของตัวเองไปจดจ่ออยู่ที่แพรพรรณ แม้เสียงทักทายจะไม่ดังมากนัก แต่เมื่อดังขึ้นในความเงียบเสียงนั้นจึงทำให้ถึงกับสะดุ้งเลยทีเดียว “ตกใจหมด นึกว่าออกมาจากผ้า” ฌาร์มยิ้มๆ พนมมือไหว้ทักทาย ศิตายิ้มเมื่อเห็นการทักทายที่ดูสุภาพเรียบร้อย ซึ่งเจ้าตัวเองยิ้มอายๆ เช่นกัน แต่สายตาที่จ้องมองมานั่นสิ สายตาทะเล้นแถมยังไอ้เจ้ารอยยิ้มกรุ้มกริ่ม นั่นอีก เจ้าตัวจะรู้ไหมนะว่า ทำให้คนที่ถูกจ้องมองอยู่ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ฌาร์มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “แม่คนขวัญอ่อน รีบออกมาจากร้านหรือ” ศิตาถามแถมยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีก “ไม่ได้รีบมากค่ะ” ฌาร์มบอก แต่รอยยิ้มนั้นทำให้แปลกใจ เพราะ ศิตาจ้องมองพร้อมด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะจับมือพาเดินอ้อมไป บริเวณห้องน้ำ ฌาร์มขืนตัวเล็กน้อย “อย่าดื้อสิ ตามมาดีๆ” ศิตาพูดเสียงเข้มแล้วแอบยิ้ม “ไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำนี่นา จะให้เข้าไปทำไม” ฌาร์มบอกขณะหยุดยืนอยู่หน้าห้องน้ำ “ไม่ทำอะไรหรอกน่า เข้ามาเถอะ แหมหวงตัวหรือไง” ศิตาพูดแหย่ “เอ๊าเป็นผู้หญิงนะคะ ก็ต้องหวงตัวบ้างสิ” ฌาร์มบอก แต่ศิตายัง คงดึงตัวให้ตามเข้าภายในจนได้ เมื่อเห็นกระจกเงาถึงได้รู้ว่า ทำไมถึงถูกดึงตัวเข้ามา ฌาร์มยิ้มกับความไม่เรียบร้อยของตัวเองหยิบกระดาษชำระออก มาจากกระเป๋า แต่ช้ากว่าคนที่พาเข้ามา เพราะผ้าเช็ดหน้าที่ชุบน้ำหมาดๆกำลังทาบทับไปที่แก้มและค่อยๆ เช็ดครีมสีขาวๆ จากขนม ซึ่งเจ้าตัวไม่รู้ว่าติดมาตั้งแต่เมื่อไร รอยยิ้มที่ได้เห็นอย่างใกล้ๆ แม้สายตาจะไปจดจ้องอยู่ที่รอยเปื้อน แต่ความน่ารักของคนที่ค่อยๆ เช็ดให้ที่แก้มทำให้ฌาร์มขยับตัวเข้าใกล้และค่อยๆ แตะริมฝีปากตัวเองเข้าที่ริมฝีปากของศิตาที่ยิ้มน้อยๆ ซึ่งตอบรับอย่างนุ่มนวลและอ่อนหวาน สองสาวยิ้มอายๆ ขณะถอยห่างออกจากกัน หลังจากคลอเคลียอย่างอ่อนหวานอยู่ครู่หนึ่ง ศิตาเอามือไล้เบาๆ ไปที่แก้มของฌาร์ม “ซีนก็หวงตัวเหมือนกัน รู้ไว้ด้วยนะ” ศิตาบอกและเอามือทาบทับไปที่แก้ม “ไหนว่าไม่ทำอะไรไง” ฌาร์มพูดขึ้นแล้วยิ้มอายๆ “ทำอะไร” ศิตาพูดด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง “นั่นสิทำอะไร” ฌาร์มพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ “ร้ายกาจนักนะ ชามข้าว ออกไปดูผ้ากันได้แล้วจ้ะ” ศิตาดันหลัง ฌาร์มให้ออกจากห้องน้ำ และพาไปยังห้องเก็บผ้าที่เป็นชั้นลอยต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกเล็กน้อย อากาศภายในห้องถูกควบคุมอุณหภูมิเป็นอย่างดี ไม่เย็นและไม่ร้อน แพรพรรณถูกเก็บรักษาอยู่ในตู้กระจก ซึ่งเจ้าของบอกว่าเป็นการดูแลรักษาเรื่องอุณหภูมิเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง ผ้าไหมได้ถูกทักทอด้วยดิ้นทองประหนึ่งว่า ผ้าผืนนั้นถูกทอด้วยทองคำสีเหลืองอร่าม ฌาร์มเคยอ่านหนังสือหรือเคยได้ยินการพูดต่อๆ กันมา แต่ไม่เคยเห็นของจริง ไม่คิดว่าจะสวยงามและวาววับจับตาขนาดนี้ ศิตามองดูฌาร์มที่ก้มจนหน้าแทบจะติดกับกระจก จึงเดินไปกดสวิตช์และหยิบแพรพรรณผืนนั้นออกมาวางลงบนฐานอย่างประณีตบรรจง ฌาร์มยิ้มๆ กับท่วงท่าที่ได้เห็น ซึ่งอ่อนช้อยจนน่าแปลกใจ เพราะศิตาถือว่า เป็นผู้หญิงที่กระฉับกระเฉงคล่องแคล่วเพราะเป็นนักธุรกิจ แต่ยามจับต้องดูแลแพรพรรณ ศิตาต่างจากที่เคยเห็นโดยสิ้นเชิง “ลองจับดูสิ” ศิตาบอก “ได้หรือคะ จะไปเปื้อนผ้าหรือเปล่า” ฌาร์มถาม “ไม่เป็นไร ลองสัมผัสดู” ศิตาบอก ฌาร์มจึงเริ่มสัมผัสอย่างแผ่วเบา ภายนอกแพรพรรณดูแข็งแกร่งและกระด้างในความรู้สึก แต่เมื่อได้สัมผัสกลับทำให้รู้สึกถึงความอ่อนโยน ฌาร์มยิ้มๆ มองสบตากับคนที่จ้องมองอย่างไม่วางตา ถ้าแพรพรรณผืนนี้เป็นตัวแทนของหญิงสาวคงเปรียบได้กับเจ้า ของที่ภายนอกดูแข็งแกร่งซึ่งฉาบเอาไว้ แต่ยามได้ใกล้ชิดถึงจะสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลและอ่อนโยน ฌาร์มแก้มแดงระเรื่อเมื่อนึกถึงริมฝีปากของศิตาที่ฉาบไว้ด้วยสีของกลีบกุหลาบซึ่งไม่ใช่เพียงแค่สี แต่มีกลิ่นหอมหวานชวนให้หลงใหลอีกด้วย “ดูแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ ฌาร์มแอบคิดว่าจะสวยแต่รูป แต่ที่ไหนได้สัมผัสได้ถึงคำว่านุ่มนวลดุจแพรไหมเลยทีเดียว” “ช่างเปรียบเทียบ คุณยายเคยบอกไว้ว่า งานศิลปะก็เหมือนผู้หญิงเราที่ซ่อนสิ่งที่ตัวเองมีเอาไว้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะสัมผัสได้ถึง ความงดงามทางศิลปะ ผู้หญิงก็เหมือนกันดูไม่ค่อยออกหรอกว่าเนื้อแท้เป็นอย่างไร หากไม่ยอมเผยตัวตนออกมา” ศิตาบอกสิ่งที่เคย สนทนาครั้งหนึ่งกับยายของตัวเอง “ผู้หญิงจะเปิดเผยตัวตนแท้จริง เมื่อไหร่กันล่ะคะ” ฌาร์มพูดขณะ ที่ยังคงลูบไล้แพรพรรณ “ตกหลุมรักเมื่อไร ก็เมื่อนั้นแหละจะได้เห็น” ศิตาบอก ฌาร์มเงยหน้ามามองสบตาด้วย “ล้ำลึกจริงๆ” ฌาร์มยิ้ม “คุณยายน่ะ หรือ” ศิตาถาม “ทั้งคุณยาย ทั้งคุณหลานนั่นแหละค่ะ ขอบคุณนะคะ ที่กรุณา” “ยินดีค่ะ” ฌาร์มชอบท่วงท่าเวลาศิตาดูแลแพรพรรณที่มีค่า ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องของเงินทอง แต่เมื่อเป็นของเก่าของครอบครัวการพิถีพิถันในการหยิบจับจึงทำให้ดูมีค่าขึ้นมามาก เพราะการเอาใจใส่ ดูแลเป็นอย่างดีนั่นต่างหากที่ทำให้ของทุกชิ้น รวมถึงคนทุกคนดูมีค่ามากขึ้น “คุณซีน ถ้าแวะไปที่ร้านไม่ต้องจ่ายสตางค์ค่าเครื่องดื่มค่าขนมนะเป็นการขอบคุณจากเจ้าของร้าน” ฌาร์มบอก ศิตาอมยิ้ม เมื่อจัดเก็บของเรียบร้อยจึงเดินมายืนข้างๆ คนที่ยิ้มให้อยู่ “หมดอายุเมื่อไหร่” ศิตาถามคล้ายกับว่าได้บัตรรับประทานฟรีและต้องมีวันเวลากำหนดหมดอายุการใช้บัตร “จนกว่าคุณซีนจะเบื่อ” ฌาร์มบอก ศิตายิ้มจางๆ มองดูหญิงสาวที่เดินนำหน้าไปก่อน บางทีการพูดคุยอาจดูเหมือนธรรมดา แต่ จริงๆ แล้วแฝงความไม่ธรรมดาเอาไว้ เหมือนการพูดคุยระหว่างตัวเธอกับฌาร์ม ประโยคบางประโยคเหมือนมีนัยแฝงเอาไว้ “คิดว่าซีนขี้เบื่อ ฉาบฉวย อย่างนั้นหรือเปล่า” ศิตาถามน้ำเสียงฟังดูจริงจัง “แล้วเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า” ฌาร์มถามกลับ “คนเราจะถูกตัดสินจากมุมมองของคนที่เห็นเรานะ ถ้าฌาร์มเห็น อย่างนั้น ซีนก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ” ศิตาบอกมองสบตากับฌาร์มที่ดูไม่ได้มีอะไรแอบแฝง “ก็จริงค่ะ เพราะเวลาเราเห็นอะไร เราก็จะเอาไปคิดไปวิเคราะห์หาเหตุผลเข้ามาทำให้ความคิดเราแข็งแรง สร้างก้อนความเชื่อ มั่นให้กับตัวเอง แต่โลกเราทุกวันนี้ทำให้คนเราเป็นแบบนั้นนะ ฌาร์มว่า” “หนอนหนังสือล่ะสิท่า พูดจาเข้าใจยากอยู่” ศิตาบอก “แต่บางเรื่อง เราไม่ใช้เหตุผล” ฌาร์มบอก “จะกลับร้านเลยหรือ” ศิตาถาม เพราะรู้ว่าเรื่องที่ว่า ฌาร์มหมายถึงเรื่องอะไร จึงชวนเปลี่ยนเรื่องพูดคุย “ไม่แล้วล่ะค่ะ ไปหาอะไรทำเรื่อยเปื่อยค่อยกลับบ้าน” “ไปด้วยสิ จะเรื่อยเปื่อยที่ไหนล่ะ” ศิตายิ้มอายๆ เพราะตัวเองทำตัวเหมือนเด็กที่ทำท่าจะร้องตามไปโน่นไปนี่ด้วย “ไม่มีจุดหมายค่ะ ฌาร์มเป็นคนเรื่อยเปื่อย คุณซีนอยากไปไหนล่ะ” ฌาร์มถาม “บ้านซีนไหม เลี้ยงเบียร์ไม่อั้น” ศิตาเลิกคิ้วแล้วยิ้มๆ เมื่อเห็นฌาร์มทำคิ้วขมวดแล้วยิ้มแปลกๆ “จะดีหรือคะ กลัวโดนมอมเบียร์” ฌาร์มหัวเราะเล็กๆ “อย่างชามข้าวน่ะ มีใครมอมให้เมาได้ด้วยหรือ ถ้าไม่เต็มใจ” “คุณซีน จะเป็นรายแรกล่ะสิ” ฌาร์มคิดในใจ แต่ตอบรับคำเชิญนั้น ก็แค่ไปดื่มทานอาหารแล้วกลับบ้าน ไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก เลย บ้านหลังใหญ่ที่เห็นไม่ได้ทำให้ฌาร์มแปลกใจนัก แต่สิ่งที่แปลกใจ คือ เจ้าของบ้านอยู่เพียงลำพังไม่มีแม้แต่คนเฝ้าบ้าน ผู้หญิงอย่างศิตาไม่น่าจะอยู่มาโดยไม่มีใคร สวย เก่ง ฉลาด แถมยังมีธุรกิจที่ก้าวหน้า แต่เรื่องที่เห็นอาจจะเป็นเพียงแค่สิ่งที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอก และเป็นเพียงการมองศิตาในสายตาของฌาร์ม แล้วตัวตนที่แท้จริงล่ะจะเป็นอย่างไร ศิตาจะยอมเปิด เผยให้เห็นมากกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่ ฌาร์มจึงเลิกคิดหาเหตุผลสร้างตัวตนของศิตาด้วยมุมมองของตัวเอง หากอยากรู้จักก็ต้องเปิดใจและรับรู้ในสิ่งที่ ศิตาเลือกที่จะให้เห็นและให้รู้จัก ส่วนจะเป็นตัวตนที่แท้จริงหรือไม่ๆ ไม่มีใครรู้ได้ แต่ฌาร์มเชื่อว่า ความรู้สึกของฌาร์มจะทำให้ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของผู้หญิงที่กำลังเปิดบ้านหลังงามให้เข้าไป “อนุรักษ์ผ้าเก่า แต่บ้านทันสมัยมาก” ฌาร์มบอก “มีสองบุคลิกมั้ง” ศิตาหัวเราะ ขณะเดินไปเปิดบ้านให้สว่างขึ้น ซึ่งเมื่อหน้าต่างถูกเปิดรับแสงแม้ในยามเย็นทำให้บ้านดูสบายๆ ขึ้น “ที่เห็นอยู่ด้านมืดแน่เลย” ฌาร์มพูดขึ้นลอยๆ “เดี๋ยวจะโดน กระแนะกระแหนตลอด อยากดื่มอะไร ฌาร์มเลือกเองนะ ซีนขอไปล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แป๊บเดียวไม่นาน” “ตามสะดวกค่ะ ฌาร์มขอไปเดินดูด้านนอกนะคะ” ฌาร์มยิ้ม ศิตาพยักหน้าและรีบวิ่งขึ้นไปชั้นบน แขกที่มาเยี่ยมเยือนเดินชม บ้าน ภายในที่ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ รูปของบัณฑิตสาวที่ถ่ายกับครอบครัวดึงฌาร์มมาหยุดยืนจ้องมองอยู่ ช่วงวัยของการศึกษาก่อนเข้าทำงานทุกคนดูสดใส แต่ศิตา ณ เวลานี้ยังคงสดใสและสวย ถึงแม้จะต่างจากรูปภาพที่เห็นแต่ความสวยไม่ได้จืดจางไปสักเท่าไรนัก ฌาร์มยิ้มนึกถึงเรียวปากที่ได้ใกล้ชิดไปเมื่อชั่วโมงก่อน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD