น้านุชทำท่าจะแนะนำศิตาให้รู้จักกับฌาร์ม แต่ศิตาบอกว่ารู้จักกันอยู่แล้ว น้านุชยิ้มและแปลกใจ เพราะฌาร์มทำเหมือนไม่เคยมาที่นี่
“ซีนไปอุดหนุนกาแฟที่ร้านมาค่ะ เมื่อตอนสายๆ” ศิตาบอกและยิ้ม เพราะคนที่นั่งนิ่งตัวแข็งคงคิดว่า ศิตาจะฟ้องเรื่องที่แสดงกิริยากวนๆ กับศิตาค่อนข้างมาก
“ครั้งหน้าลองให้เจ้าของร้านชงชาให้ดื่มสิคุณซีน รับรองได้ว่าคงต้องแวะไปบ่อยๆ แน่ ฌาร์มชงชาได้กลิ่นหอมมาก ชงเองไม่เคยหอมได้เหมือนแม่คนนี้เขาชงหรอก” น้านุชเอ่ยชมหลานสาว
“ได้ลองเหมือนกันค่ะ เมื่อเช้า” ศิตายิ้มชำเลืองมองไปยังสาวสวยที่นั่งเงียบ ก้าวหน้านำขนมและเครื่องดื่มสมุนไพรมาให้
“มากับน้านุชนี่เอง” ก้าวหน้ายิ้ม
“หลานน้าเองจ้ะ รู้จักกันแล้วสินะ” น้านุชถามก้าวหน้า
“ค่ะ ฌาร์มเอาไว้ถ้าไปอุดหนุนที่ร้านจะโทรฯ ไปก่อนนะ” ก้าวหน้าบอกก่อนจะขอตัวไปทำงานต่อ ปล่อยให้ศิตารับรองแขกที่คุ้นเคยเอง
“น้าขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” น้านุชบอกกับฌาร์ม
“ทานขนมก่อนค่ะ” ศิตาเดินมานั่งลงข้างๆ และเลื่อนจานใส่ขนมให้ ขนมไทยเข้ากับบรรยากาศของสถานที่แห่งนี้
“ก้าวคิดว่า ฌาร์มเป็นแขกพิเศษของคุณ”
“แล้วฌาร์มล่ะ ชงชาให้ลูกค้าทุกคนดื่มหรือเปล่า” ศิตาถาม
“ชาที่ชงให้ดื่ม ชงดื่มเองค่ะ แต่กวนไง เมื่อเช้าน่ะ” ฌาร์มบอก
“ใครกวน” ศิตาแสร้งทำเสียงเข้มทำเหมือนตัวเองโดนต่อว่าอยู่
“ฌาร์มเองค่ะ” ศิตาแอบยิ้ม
“พิมพ์ดีดยกไปไว้ที่บ้านได้แล้วนะคะ คนพิมพ์อาจจะชอบเสียงแต่เชื่อเถอะคนอื่นๆ ไม่ชอบแน่ใช้คอมพิวเตอร์ดีกว่า” ศิตาบอก
“ไม่เอาล่ะ ไว้ใช้ตอนไม่มีลูกค้าก็ได้” ฌาร์มพูดคล้ายเป็นเด็กดื้อฟังได้จากน้ำเสียง
“ตามใจ ไปล่ะ” ศิตาบอก
“ครั้งหน้า ฌาร์มจะไม่กวนโมโหแล้ว” ฌาร์มพูดเสียงอ่อยๆ
“ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย เออ ถ้าจะมาดูส่วนที่ไม่ได้เปิดให้เข้าชม โทรฯ บอกกับก้าวก็ได้นะคะ” ศิตาบอกและยิ้มให้ก่อนจะลุกไปทำงาน
“คุณซีนงานยุ่งจนไม่สะดวกรับโทรศัพท์เองหรือคะ แต่ฌาร์มเห็น ใครโทรฯ มาก็รับนี่นา” ฌาร์มมองสบตากับหญิงสาวร่างระหง ซึ่งสวยสง่า ในชุดทำงานที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหม
“โทรฯ หาซีน ก็ได้ค่ะ เอาโทรศัพท์มาสิ” ศิตาแบมือ
“ไม่รบกวนดีกว่า” ฌาร์มถอนใจและรู้สึกว่าทำไมจู่ๆ ตัวเองก็ทำตัวเรื่องมากขึ้นมาก โดยเฉพาะกับคนที่อายุอานามมากกว่า ถ้า
น้านุชนั่งอยู่ด้วยมีหวังได้โดนเอ็ดแน่
“งั้นก็นี่ นามบัตรค่ะ โทรฯ ได้เสมอ หรือไม่โทรฯ ก็ได้”
“ดุเด็กอ้อมๆ อยู่นะเนี่ย” ฌาร์มรำพึงออกมาเบาๆ แต่รอยยิ้มของ ศิตาทำให้เจ้าตัวคนพูดยิ้มๆ เช่นกัน
“น่าดุไหมล่ะ แต่ชอบชาเย็นๆ นะ” ศิตาบอก แต่การสนทนาต้องจบลงเพราะน้านุชเข้ามาและขอตัวกลับทันที
ข่าวของชัชวาลเริ่มมีกระแสไปในทางที่ดี โดยเฉพาะข่าวคราวเกี่ยว กับการจะเข้ามาเป็นนักการเมือง หลังจากเติบโตมาจากการทำธุรกิจที่ช่วงหลังดูจะรุ่งเรืองมากเนื่องจากได้ทุ่มเทกับการทำงานอย่างหนัก เพราะเมื่อภรรยาเสียชีวิต ชัชวาลได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันอยู่กับงานเป็นหลัก
“พาสาวไหนไปตัดชุดล่ะ” บิดาถามลูกสาวที่นั่งรับประทานอาหารมื้อค่ำเพียงลำพัง ส่วนท่านเดินไปรินไวน์มานั่งร่วมโต๊ะด้วย
“ส่งนักสืบตามลูกสาวล่ะสิเนี่ย” ฌาร์มพูดงึมงำอยู่ในลำคอ
“ลูกน้องพ่อไปเห็นเราเข้าเท่านั้นแหละ หรือแอบทำอะไรโดยที่ไม่ได้บอกถึงคิดว่าส่งนักสืบตามดูเราน่ะ” ชัชวาลยิ้มให้กับลูก
สาวที่ทำหน้านิ่ง
“ส่งลูกน้องไปรับชุดให้สาวมากกว่า”
“แล้วไง” ชัชวาลถามยิ้มๆ
“เป็นห่วงค่ะ” ฌาร์มพูดขึ้น ชัชวาลยิ้มกับสิ่งที่ได้ยิน
“ขอบใจจ้ะ พรุ่งนี้เช้าชงชาให้ด้วยนะ ยายฌาร์ม”
“น้านุชฝากความระลึกถึงมานะคะ” ฌาร์มบอกกับบิดา
“คุณนุชสบายดีนะ ไม่ได้เจอเสียนาน ตั้งแต่แม่เราเสียไม่มาที่บ้านเราอีกเลย” ชัชวาลพูดคุยกับลูกสาว
“เนื้อหอมขนาดนี้ ใครจะกล้ามาคะ คงกลัวเสียหายนั่นแหละ น้านุชยังโสดเกิดใครไปให้ข่าวว่ามาจับพ่อก็แย่สิ” ฌาร์มพูดด้วยน้ำเสียงไม่ดีนักแต่บิดาหัวเราะกับสิ่งที่ได้ยินลูกสาวบอก
“จะว่าไป คุณนุชก็คล้ายแม่เราอยู่เหมือนกันนะ” ชัชวาลพูดแหย่ ลูกสาวที่นั่งหน้าง้ำ
“เป็นพ่อพวงมาลัยดีกว่าหรือเปล่าคะ เห็นข่าวซุบซิบเยอะเหลือเกิน” ฌาร์มใช้น้ำเสียงคล้ายกระแนะกระแหนบิดา
“ข่าวก็คือ ข่าว เราล่ะเมื่อไรจะพาเข้าบ้าน” ชัชวาลถาม
“เมื่อเจอ เมื่อใช่ เมื่อพร้อมค่ะ แต่อยู่เป็นก้างขวางคอพ่อแบบนี้ดี กว่าเยอะ” ฌาร์มยิ้ม ส่วนใหญ่สองพ่อลูกจะพูดกันเรื่องทั่วๆ ไป ถามทุกข์สุขไม่ค่อยได้ถามไถ่อะไรกันจริงจังนัก ต่างจากแต่ก่อนตอนที่มารดายังมีชีวิตอยู่ เสียงหัวเราะของบิดามีให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ แม้ยามที่มารดาเจ็บป่วย ท่านยังคงมีเสียงหัวเราะเพื่อทำให้ภรรยาที่เจ็บป่วยอยู่ได้ยิ้มได้หัวเราะไปด้วย
“พ่อรับฟังเราเสมอนะ ทุกเรื่อง” บิดาบอกกับลูกสาว
“ขอบคุณค่ะ แต่ฌาร์มว่า ตั้งแต่แม่จากไปเหมือนเราสองคนเดิน ถอยหลังออกห่างจากกันนะคะ แต่ฌาร์มโตแล้วล่ะค่ะ” ฌาร์ม
แอบถอนใจก่อนจะขอตัวขึ้นห้องนอนไป ปล่อยให้บิดานั่งคิดอะไรอยู่เพียงลำพัง
ชัชวาลได้ยินสิ่งที่ลูกสาวคนเดียวบอกทำให้หัวใจเจ็บแปลบอยู่มากเหมือนกัน ฌาร์มไม่ค่อยพูดมากเหมือนกับมารดา แต่ยามที่พูดในแต่ละคำแต่ละประโยคบาดลึกเข้าไปในหัวใจได้ทันที จากที่เคยพูดคุยหยอกล้อกัน กลายเป็นห่างเหินและสร้างพื้นที่ส่วนตัวของกันและกัน โดยลูกสาวเลือกที่จะไปขลุกอยู่ที่ร้านกาแฟ ส่วนชัชวาลเองก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ดูแลกิจการและ
กำลังจะเล่นการเมือง ซึ่งรู้ดีว่าคงทำให้เวลาหายไปค่อนข้างมาก แต่นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวเขามีความสุข เพราะไม่มีเวลามาคิดถึงภรรยาที่จากไปแล้ว
“พรุ่งนี้ก้าวจะแวะไปอุดหนุนกาแฟตอนเช้านะ” ข้อความของสาวจากพิพิธภัณฑ์ผ้าทำให้ฌาร์มยิ้ม ขณะที่ล้มตัวลงนอนหลังจากอาบน้ำเสร็จและเริ่มรู้สึกง่วง
“คนเดียวหรือ” ฌาร์มถามกลับไป
“โสด ไปคนเดียวสิ”
“พรุ่งนี้เจอกันจ้ะ” ฌาร์มยิ้มๆ เมื่ออ่านข้อความของก้าวหน้า แต่นาม บัตรแผ่นเล็กๆ ที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าทำให้ถึงกับถอน
ใจ
“ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน น้ากับหลาน น้าอายุเท่าไรกันนะ” ฌาร์ม พูดพึมพำกับตัวเอง ถือเป็นเรื่องปกติคนที่รู้จักคุ้นเคยไม่ค่อยสงสัยอะไรกับการพูดคนเดียวของตัวเธอนัก ฌาร์มเอื้อมไปหยิบนามบัตรที่ได้รับมาเมื่อตอนบ่าย ถือเอาไว้ครู่หนึ่งก่อนจะนำกระดาษแผ่นเล็กๆ ตีเบาๆ ไปที่มืออีกข้างระหว่างที่คิดอยู่ ฌาร์มเหลือบดูเวลาเพิ่งจะสองทุ่มกว่าๆ
“สวัสดีค่ะ ศิตาค่ะ” ปลายสายบอก เพราะคนที่โทรฯ เข้ามาเป็นคนที่ตัวเองไม่รู้จักมีเพียงเบอร์โทรศัพท์ที่ปรากฏอยู่หน้าจอเท่านั้น
“ชามข้าวเองค่ะ” ฌาร์มอมยิ้มนึกขำตัวเองที่บอกออกไปอย่างนั้น
“ว่าไง” ศิตายิ้มและล้มตัวลงนอนที่เตียงนอนนุ่มๆ รู้สึกผ่อนคลายหลังจากอาบน้ำและได้เอนตัวอยู่บนเตียง
“คุยได้ไหมคะ” ฌาร์มถามเพราะไม่รู้ว่า ปลายสายทำอะไรอยู่หรืออยากจะพักผ่อนอาจไม่สะดวกคุยด้วย
“เริ่มมาก็ชามข้าว ขอคิดสักนิดว่าจะคุยด้วยดีไหม” เสียงหัวเราะที่สดใสได้ยินแว่วๆ ทำให้ฌาร์มเผลอยิ้มออกมา
“พรุ่งนี้ก้าวจะไปที่ร้านค่ะ จะรับชาไหมคะ จะฝากไปให้”
“อ้าวเหรอ อย่าเลยค่ะ เกรงใจลำบากเปล่าๆ” ศิตาคิดอย่างนั้นจริงๆ ด้วยตัวเองเป็นคนขี้เกรงใจคนอื่นอยู่แล้ว หากไม่ได้สนิทชิด
เชื้อกันก็จะไม่ค่อยอยากทำให้ใครลำบากนัก
“ไม่ลำบากเลยค่ะ”
“แต่พรุ่งนี้ไม่ได้ทำงานนะ ซีนไม่เจอก้าว” ศิตาบอก
“อ้าวเหรอคะ” ฌาร์มพูดเสียงอ่อยๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
“โทรฯ มาแค่เรื่องชา แค่นี้หรือ” ศิตาถาม เพราะออกจะแปลกใจอยู่เหมือนกัน คิดว่าจะโทรฯ มาถามเรื่องขอเข้าชมผ้าโบราณ
ในส่วนที่ไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปได้ชม
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นไม่กวนแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะที่รับสาย” ฌาร์มพูดตัดบท เพราะงงๆ อยู่เหมือนกันว่า แค่เรื่องชาเท่านั้นหรือ เมื่อทวนคำถามของศิตา ซึ่งตัวเองตอบไม่ได้เหมือนกัน
“แล้วอย่าพิมพ์ดีดตอนกลางคืนล่ะ ชาวบ้านเขาจะไปแจ้งความว่าส่งเสียงรบกวนยามวิกาลนะจ๊ะ ชามข้าว บายจ้ะ” ศิตาอมยิ้ม
นึกถึงเจ้าของร้านจอมกวน เหตุผลของการไปร้านกาแฟเพราะต้องการความเงียบ ถึงแม้จะมีลูกค้าอยู่มากพอสมควร ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะไม่ส่งเสียงดัง แต่กลายเป็นว่าเจ้าของร้านส่งเสียงดังเสียเอง จนต้องเดินไปจัดการ ศิตายิ้มนึกถึงชาร้อนใส่น้ำแข็งที่ยามเมื่อนึกถึงคล้ายยังได้กลิ่นหอมอยู่เลย
“โทรฯ ไปทำไมว๊ะเนี่ย” ฌาร์มถอนใจที่เหมือนกับศิตาดุก่อนจะวางสาย แต่ก็อย่างว่านะ คนที่อายุมากกว่าคงอบรมให้คนมีอายุน้อยกว่ารู้จักเรื่องมารยาท แต่ฌาร์มไม่ได้สนใจหรือเรียกว่า ดื้อ น่าจะดีกว่า จึงลุกจากเตียงไปนั่งที่โต๊ะทำงานและเริ่มกดแป้นพิมพ์จนเริ่มมีเสียงดัง ถึงแม้คนห้ามจะไม่ได้ยิน แต่ชามข้าวก็รู้สึกสบายใจที่ได้ดื้อดึงในสิ่งที่ถูกตักเตือน
ก้าวหน้าเดินยิ้มเข้ามา เมื่อเจ้าของร้านออกอาการหาวให้เห็นทำเอาลูกค้าคนแรกยืนหัวเราะ ก่อนจะหยิบยื่นกระถางที่มีต้นไม้ต้นเล็กๆ จำพวกแคคตัสที่ออกดอกสวยงามให้กับฌาร์ม
“ไม่ต้องประคบประหงมใช่ไหม” ฌาร์มรับมาถือไว้ก่อนจะถาม
“เอาใจใส่บ้างยามว่างก็พอ” ก้าวหน้าบอกและเดินไปหาที่นั่งมุมดีๆ หยิบหนังสือออกมา
“ค่อยยั่งชั่วหน่อย กลัวเอามาแล้วต้นไม้ตายคนให้จะเสียใจ” ฌาร์ม พูดพึมพำคนเดียวจนพนักงานหัวเราะออกมา
“สาวเยอะเหลือเกินนะ พี่ชามข้าว ดูสิส่งดอกไม้ให้เช้าเลย ยังไงกัน เนี่ย” แป๋วแหววพูดแหย่ ฌาร์มทำท่าเงื้อมือจะเขกที่ศีรษะ
แต่เจ้าตัวไวกว่าจึงรีบเผ่นไปจัดเตรียมเครื่องดื่มสำหรับลูกค้า แต่ละล้าละลังเล็กน้อย เพราะกลัวว่า เจ้าของร้านอาจจะอยากจะชงชา
ไปให้สาวน่ารักด้วยตัวเองหรือเปล่า แต่เมื่อเห็นเดินไปพูดคุยที่โต๊ะแล้ว จึงเตรียมขนมไปให้ก่อนและคิดว่าไปถามเรื่องเครื่องดื่มน่าจะดีกว่าคิดเอาเองเหมือนกับเจ้าของร้านที่นำชาไปให้กับสาวสวยคนเมื่อวาน แป๋วแหววยิ้มทะเล้นก่อนจะทำหน้านิ่งๆ ยกขนมไปให้
“ขนมค่ะ ดื่มอะไรดีก้าว” ฌาร์มถาม
“เจ้าของร้านแนะนำสิ”
“กาแฟนะ ร้อนหรือเย็น” เสียงหัวเราะของแป๋วแหววทำให้ก้าวหน้ายิ้ม เพราะไม่รู้ว่าพนักงานของร้านหัวเราะอะไร แต่ฌาร์มรู้ดี
“ร้อนก่อน จะขอนั่งนานหน่อยไม่ไล่ใช่ไหม ถ้านั่งนานได้หมดแก้วแล้วขอแบบเย็นชื่นใจตามมาได้เลยค่ะ” ก้าวหน้าบอกกับพนักงานของร้านที่ยังคงยืนยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง และหยุดฟังเจ้าของร้านสั่งอะไรเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับไป
ฌาร์มมองเห็นหนังสือเล่มที่ก้าวหน้าวางเอาไว้ รอยยิ้มปรากฏขึ้นแต่ไม่ได้พูดอะไร
“อ่านนิยายด้วยเหรอ แสดงว่าอ่านเล่มนี้แล้วสิ ทำท่ายิ้มๆ แบบนี้” ก้าวหน้าถาม
“อ่านแล้ว ก้าวล่ะอ่านถึงไหนแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง ไม่คิดว่าสาวที่ดูทันสมัยจะชอบอ่านหนังสือนิยายนะ” ฌาร์มยิ้มๆ มองดูสาว
น่ารักที่ทำคิ้วขมวดก่อนจะเบ้ปากเล็กน้อย
“สนุกดีเหมือนกันนะ ถ้าเพิ่มเรื่องรักใคร่ให้มากกว่านี้สักหน่อยน่า จะดีกว่า ว่าไหม” ก้าวหน้าบอก ฌาร์มพยักหน้าเป็นการแสดงว่าเห็นด้วย
ฌาร์มมองดูหญิงสาวที่เริ่มเปิดหนังสืออ่าน ซึ่งไม่ได้แปลกใจอะไรนักเมื่อความสนใจของก้าวหน้าไปอยู่แค่เพียงที่ตัวหนังสือ ซึ่งค่อยๆ พลิกหน้าไปทีละแผ่นอย่างละเมียดละไม จนลืมไปเลยว่า คู่สนทนาก็คือ ฌาร์มนั่งยิ้มมองดูก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นเดินกลับไปนั่งทำงานของตัวเอง โดยปล่อยให้สาวนักออกแบบเสื้อผ้าและลายผ้าได้ใช้เวลาส่วนตัว
“คนนี้น่ารักเหมือน ชาพีชหอมหวานอ่อนๆ คนเมื่อวานเหมือนน้ำผึ้งมะนาวโซดา เปรี้ยว หวาน แสบ ซ่า อายุมากสักนิดแต่ท่าทางเผ็ด” แป๋วแหววพูดขึ้นคล้ายชวนฌาร์มพูดคุย แต่คนที่ได้ยินทำเพียงแค่ฟังแล้วคิด ก่อนที่จะมีรอยยิ้มตามมา บางทีคนเราจะมีความคิดดีๆ หรือไม่อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับช่วงวัยดูอย่างสิ่งที่แป๋วแหวววิเคราะห์ผู้หญิงสองคนทั้งๆ ที่เพิ่งได้พบแค่เพียงครั้ง
เดียวเท่านั้น แม้จะเพียงผิวเผิน แต่จากการที่ฌาร์มได้ไปพบกับศิตาอีกครั้งทำให้รู้สึกทึ่งกับการวิเคราะห์หญิงสาวสองคนของแป๋วแหววขึ้นมาทันที
“แต่งงานมีลูกแล้วล่ะมั้ง” ฌาร์มถอนใจเล็กน้อย เมื่อได้นึกถึงสาวสวยสง่าที่ชื่อ ศิตา