หญิงสาวอ้าปากหวอกับสิ่งที่ได้รู้จากปากของเขา ตอนนี้เธอไม่ได้คิดไปเอง
“แก! แก!” หญิงสาวชี้หน้าปากสั่นระริก คิดหาคำพูดไม่ออก ไม่รู้เธอจะสรรหาคำไหนมาด่าให้เขาเจ็บช้ำดี
น้ำตาที่พยายามกลั้นไม่ให้มันไหลรินพังทลายประจานความโง่เขลาเบาปัญญาของเธอกลับเอ่อท่วม และล้นออกมาอย่างไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้
เมื่อเห็นอาการเปลี่ยนไปของเธอ แทนที่เขาจะหยุดกลับเติมเชื้อไฟไปอีก
“เอาเลย! คุณอยากแจ้งจับสามีตัวเองก็เชิญเลยสาวน้อย ผมจะได้บอกทุกคนว่าใครที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีคุณร่วมกับผมบ้าง” ชายหนุ่มบอกอย่างเป็นต่อ เมื่อเห็นอาการของคนตรงหน้า คนร่างเล็กเงียบไปทันทีพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มเอ่อล้นรินออกมา
“คุณจะเอายังไง” รษาต่อรองเริ่มลดระดับเสียงแหลมให้นุ่มลง เธอจะให้พี่ชายของเธอจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด เธอต้องไม่ทำให้เขาเสียใจอีกเป็นครั้งที่สอง แค่เธอดื้อรั้นไม่ยอมฟังจนเกิดความผิดพลาดใหญ่หลวงก็มากพอแล้ว
“ถ้าคุณเงียบ ทุกอย่างก็เงียบสาวน้อย รับรองว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้ทั้งนั้น” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบอย่างเป็นต่อ คิดว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดของเธอ ในเมื่อเขามาช่วยเธอได้ทันและไม่มีอะไรเสียหาย นอกจากร่างกายที่บอบช้ำภายนอกเท่านั้น แต่พอพยายามอธิบายเธอกลับไม่ยอมฟัง ก็ให้เข้าใจอย่างนี้แหละ
หญิงสาวคิดสักพักก็พยักหน้า มันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่มี เธอจะไม่ให้ใครรู้ถึงความผิดพลาดหน้าอับอายนี้เด็ดขาด
“ตกลง ฉันจะกลับละ” หญิงสาวขยับลงจากเตียง เธอตวัดหางตาไปมองชายหนุ่มเล็กน้อย
“หวังว่าไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน เราคงไม่ได้เจอกันอีก สาปส่ง!” รษาบอกเสียงสะบัด น้ำตารื้นกับความสูญเสียที่เธอไม่สามารถเรียกร้องอะไรคืนมาได้เลย
“ผมจะไปส่ง” ชายหนุ่มเน้นเสียงหนักบอกด้วยใบหน้านิ่งเฉย แต่ทว่าหญิงสาวก็ตอบกลับมาทันทีด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกัน
“ไม่ต้อง!” รษาตอบกลับทันควัน จ้องหน้าอีกคนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ถึงแม้ในดวงตาจะเอ่อนองด้วยคราบน้ำตา แต่เขาก็เห็นแววรั้นไม่ยอมคนในดวงตาคู่สวยดวงนั้น
“คุณยังมีอะไรต่อรองผมได้อีกหรือสาวน้อย”
“อ้าย! อย่ามาเรียกฉันว่าสาวน้อย ฉันไม่ใช่สาวน้อยของใคร” หญิงสาวร้องลั่น
“ถ้าอย่างนั้นเรียกว่าเมียจ๋าก็แล้วกัน หวังว่าคงไม่เถียงนะ หรือถ้าคิดจะเถียง ผมจะได้ยืนยันและตอกย้ำลงในสมองปลาทองของคุณเสียใหม่ เราคงเสียเวลาอีกสักชั่วโมงกว่าจะได้กลับบ้าน เอาไงดีล่ะ เริ่มกันเลยไหม จะได้ไม่เสียเวลาของคุณ”
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มอย่างเป็นต่อ อยากแกล้งคนหัวรั้นไม่ยอมฟังอะไรสักอย่างขึ้นมาดื้อๆ อยากจะรู้ว่าเธอจะเก่งอย่างที่ปากว่าสักแค่ไหน
“อะ! ไอ้ทุเรศ หนังหน้าอย่างแกคงจะไม่ได้เห็นหนังกำพร้าใต้ร่มผ้าฉันอีกหรอก ที่ผ่านมาฉันจะคิดว่าทำทานให้หมามันให้ได้กินของดีบ้าง จะได้เลิกเห่าเลิกหอนเสียที” หญิงสาวกระชับชุดคลุมเดินกระแทกส้นเท้าปึงๆ เข้าห้องน้ำไปอย่างไม่สบอารมณ์ ชายหนุ่มอมยิ้มมองตามหลังอย่างอารมณ์ดี
“พยศดี น่าปราบ และผมจะปราบคุณให้อยู่หมัด” ชายหนุ่มบอกตามหลังประตูที่ปิดลง
แสงแดดยามบ่ายบนยอดดอยในฤดูหนาวสาดส่องลงมากระทบใบชาสีเขียวเข้มมันปลาบสะท้อนแสงระยิบระยับ
‘ไร่ปกรัก’ ตั้งอยู่บนดอยพญาไพรในอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยพื้นที่ครึ่งหนึ่งของดอยเป็นไร่ชาพันธุ์ดีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงราย ขณะที่อีกครึ่งเป็นแปลงปลูกดอกไม้เมืองหนาว ที่กำลังออกดอกบานสะพรั่งอวดสีสันงามตา และยอดดอยแห่งนี้มี
‘บ้านดุจเดือน’ ซึ่งเป็นบ้านไม้หลังใหญ่สร้างอยู่ตรงกลางดอย ทำให้สามารถมองทิวทัศน์โดยรอบไกลสุดลูกหูลูกตา
ธาม ปกรัก หรือพ่อเลี้ยงธาม บุรุษหนุ่มรูปงามวัยสามสิบสามปี ใบหน้าคมเข้ม รูปร่างกำยำล่ำสันสูงใหญ่เกินมาตรฐานชายไทยกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตร ผิวสีขาวเหลืองอย่างคนเมืองเหนือ ดวงตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยวที่จับจ้องมองใครก็ชวนให้ครั่นคร้ามได้ง่ายๆ หากวันนี้ถูกบดบังด้วยแว่นกันแดดเรย์แบนสีชารับกับใบหน้าคมเข้ม
ชายหนุ่มทอดสายตามองการก่อสร้างโรงงานผลิตหัวน้ำหอมนิ่ง หากมีใครได้เห็นแววตาของเขาตอนนี้ก็จะรู้ว่าความเครียดได้เกาะกุมไปหมดทุกอณู
หลังจากได้รับข่าวจากแม่บ้านว่าน้องสาวไม่กลับบ้านทั้งคืน เขาก็รีบซื้อตั๋วเครื่องบินกลับจากกรุงเทพฯ ทันที ปล่อยเรื่องราวระหว่างตัวเองกับของคู่หมั้นสาวเอาไว้ก่อน เพราะตอนนี้เขาไม่มีเวลาแม้จะเสียใจ รษาเป็นน้องสาวคนเดียวที่รักดั่งดวงใจ
มาถึงที่ไร่ชายหนุ่มก็ผุดลุกผุดนั่งเฝ้าต่อสายหาคนโน้นคนนี้อยู่ทั้งวัน แต่กลับไร้วี่แวว ไม่มีใครสามารถให้คำตอบเขาได้สักคน แม้แต่มินตราเพื่อนสนิทของน้องสาวก็ติดต่อไม่ได้
ปรินทรขับรถของโรงแรมมาส่งหญิงสาวถึงไร่ปกรัก เขาเองก็เพิ่งจะรู้เธอจะเป็นถึงน้องสาวพ่อเลี้ยงธามผู้กว้างขวางในวงการไร่ชาและไร่ดอกไม้เมืองหนาวของเมืองเชียงราย
“เมื่อยมั้ยคุณ! ” เขาถามลอยๆ
“อะไร” คนโดนถามหันขวับ เลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย
“นั่งคอเอียงตั้งแต่โรงแรมมาถึงไร่ เพราะอายที่จะสารภาพรักผม เลยใช้ภาษากายสื่อ” ชายหนุ่มบอกต่อ เขาเห็นหญิงสาวที่เอาแต่หน้างอเขาก็อยากชวนคุย แต่ไม่รู้ว่ามุกตัวเองบอดสนิท
“ฮะ!”
“ก็คุณรักผมข้างเดียวไง เห็นนั่งตัวเอียง หันหัวใจมาให้ตรงหัวใจของผมตลอดทาง นึกว่าจะบอกรัก” ชายหนุ่มยิ้มระรื่นเฉลย
“ฝันอยู่หรือเปล่า หรือดูละครมากไป”
“เขินล่ะสิ” ชายหนุ่มเย้าต่อแบบไม่สนใจอารมณ์อีกคน
หญิงสาวสะบัดหน้าพรืดอย่างขัดใจ เปิดประตูรถลงไปทันที ไม่ยอมเสียเวลาสักนาทีแม้จะหันกลับมามองหน้าเขาอีกไม่รักษามารยาทมีน้ำใจบอกขอบคุณคนมาส่งสักนิด
ตลอดเวลาที่เธอนั่งรถกลับไร่เธอได้คิดทบทวนเป็นอย่างดีว่าจะไม่ยอมปริปากบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะต้องตายไปกับเธอเท่านั้น เธอจะไม่ยอมให้พี่ชายเสียใจเพราะเธออีก แต่ก็คงต้องใช้เวลาในการทำใจ ให้สามารถลืมเรื่องร้ายๆ ไปได้ หญิงสาวยกมือป้ายคราบน้ำตาที่ไม่อาจอดกลั้น ไหลรินออกมาอย่างไม่อาย
คนที่มาส่งได้แต่มองตามร่างบางที่เดินเข้าบ้านไป เขาได้แต่หวังว่าสักวันเมื่อเธอได้รู้ความจริงว่าไม่ได้โดนข่มขืนอย่างที่เธอเข้าใจไปเอง เธอคงหันมาขอบคุณและพูดดีๆ กับเขาบ้าง
รษาเดินเข้าบ้านด้วยสภาพอิดโรย ดวงตาบวมเป่งเลื่อนลอยเหมือนคนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ริมฝีปากบวมเจ่อ มีรอยแดงกลืนสีม่วงเข้มตามตัวนับสิบจุด
เมื่อพ่อเลี้ยงธามเห็นน้องน้อยเดินเข้ามา เขาก็วิ่งถลาเข้าหาน้องสาวทันที หลังจากที่ทำได้เพียงรอมาเกือบค่อนวัน
“รษา!” เขาร้องเรียกชื่อเธออย่างดีใจ ตลอดวันที่ผ่านมาเข้าได้แต่เฝ้าโทรถามเพื่อนของน้องสาว แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบที่แน่ชัดสักคน ไม่เว้นแม้แต่มินตราก็ติดต่อไม่ได้เช่นเดียวกัน
“พี่ธาม” รษาโผเข้ากอดพี่ชายร้องไห้ตัวโยนอย่างรู้สึกผิด ผิดที่ไม่ยอมเชื่อฟังพี่ชาย ผิดที่ดื้อรั้น
“มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมสภาพของเราถึงเป็นแบบนี้ บอกพี่มา” คนเป็นพี่ชายเขย่าร่างบางตัวคลอน อารมณ์พลุ่งพล่านเริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นสภาพน้องสาวยอดดวงใจ มันเกิดอะไรขึ้นกับน้องน้อยของเขา เขารู้สึกตกใจมากที่เห็นสภาพของน้องสาวที่ไม่ต่างจากโดนรุมโทรมเลยสักนิด
“พี่ธามฮื้อ ฮื้อ” รษาได้แต่ส่ายศีรษะร้องไห้สะอื้นฮักๆ กับอกอุ่นของพี่ชาย เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นเล่าเรื่องราวพี่ชายฟังอย่างไรดี เธอไม่อยากให้เขาเสียใจ แต่จะปกปิดอย่างไรดี
“ใจเย็นๆ รษา ค่อยๆ เล่าให้พี่ฟัง ทำไมสภาพของเราเป็นอย่างนี้” ชายหนุ่มพยายามปลอบโยนน้องเสียงนุ่ม แม้ว่าในใจคิดไปไกล
ท้ายประโยคกลับสะกิดรอยแผลในใจของหญิงสาว ยิ่งทำให้เพิ่มความร้าวรานรุนแรงขึ้นไปอีก เธอซุกหน้ากับแผงอกกว้างร้องไห้หนักกว่าเดิม พ่อเลี้ยงหนุ่มจับไหล่บางของคนร่างเล็กดันออกจากอกเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าร่างน้องน้อยเงียบเสียงไปและเหมือนจะหยุดร้องไห้แล้ว
“รษา” พ่อเลี้ยงหนุ่มเรียกชื่อน้องสาวเหมือนละเมอ แต่พูดได้แค่นั้นเขาก็ตกใจหนักกว่าเดิม เมื่อร่างบางในอ้อมกอดของเขาหมดสติและล้มพับไป
“รษา!” พ่อเลี้ยงหนุ่มเรียกน้องสาว ก่อนช้อนอุ้มร่างไร้สติขึ้นไปบนห้องนอน แนวฟันสองฝั่งกระทบกันและขบแน่นจน กรามแกร่งปูดเด่นเป็นสันนูน เขาต้องรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้น้องสาวสุดที่รักที่เขาเฝ้าฟูมฟักมาตั้งแต่เด็กมีสภาพเป็นอย่างนี้ให้ได้