Chapter 2 ผมจะปราบคุณให้อยู่หมัด

1690 Words
หญิงสาวอ้าปากหวอกับสิ่งที่ได้รู้จากปากของเขา ตอนนี้เธอไม่ได้คิดไปเอง “แก! แก!” หญิงสาวชี้หน้าปากสั่นระริก คิดหาคำพูดไม่ออก ไม่รู้เธอจะสรรหาคำไหนมาด่าให้เขาเจ็บช้ำดี น้ำตาที่พยายามกลั้นไม่ให้มันไหลรินพังทลายประจานความโง่เขลาเบาปัญญาของเธอกลับเอ่อท่วม และล้นออกมาอย่างไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้ เมื่อเห็นอาการเปลี่ยนไปของเธอ แทนที่เขาจะหยุดกลับเติมเชื้อไฟไปอีก “เอาเลย! คุณอยากแจ้งจับสามีตัวเองก็เชิญเลยสาวน้อย ผมจะได้บอกทุกคนว่าใครที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีคุณร่วมกับผมบ้าง” ชายหนุ่มบอกอย่างเป็นต่อ เมื่อเห็นอาการของคนตรงหน้า คนร่างเล็กเงียบไปทันทีพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มเอ่อล้นรินออกมา “คุณจะเอายังไง” รษาต่อรองเริ่มลดระดับเสียงแหลมให้นุ่มลง เธอจะให้พี่ชายของเธอจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด เธอต้องไม่ทำให้เขาเสียใจอีกเป็นครั้งที่สอง แค่เธอดื้อรั้นไม่ยอมฟังจนเกิดความผิดพลาดใหญ่หลวงก็มากพอแล้ว “ถ้าคุณเงียบ ทุกอย่างก็เงียบสาวน้อย รับรองว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้ทั้งนั้น” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบอย่างเป็นต่อ คิดว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดของเธอ ในเมื่อเขามาช่วยเธอได้ทันและไม่มีอะไรเสียหาย นอกจากร่างกายที่บอบช้ำภายนอกเท่านั้น แต่พอพยายามอธิบายเธอกลับไม่ยอมฟัง ก็ให้เข้าใจอย่างนี้แหละ หญิงสาวคิดสักพักก็พยักหน้า มันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่มี เธอจะไม่ให้ใครรู้ถึงความผิดพลาดหน้าอับอายนี้เด็ดขาด “ตกลง ฉันจะกลับละ” หญิงสาวขยับลงจากเตียง เธอตวัดหางตาไปมองชายหนุ่มเล็กน้อย “หวังว่าไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน เราคงไม่ได้เจอกันอีก สาปส่ง!” รษาบอกเสียงสะบัด น้ำตารื้นกับความสูญเสียที่เธอไม่สามารถเรียกร้องอะไรคืนมาได้เลย “ผมจะไปส่ง” ชายหนุ่มเน้นเสียงหนักบอกด้วยใบหน้านิ่งเฉย แต่ทว่าหญิงสาวก็ตอบกลับมาทันทีด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกัน “ไม่ต้อง!” รษาตอบกลับทันควัน จ้องหน้าอีกคนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ถึงแม้ในดวงตาจะเอ่อนองด้วยคราบน้ำตา แต่เขาก็เห็นแววรั้นไม่ยอมคนในดวงตาคู่สวยดวงนั้น “คุณยังมีอะไรต่อรองผมได้อีกหรือสาวน้อย” “อ้าย! อย่ามาเรียกฉันว่าสาวน้อย ฉันไม่ใช่สาวน้อยของใคร” หญิงสาวร้องลั่น “ถ้าอย่างนั้นเรียกว่าเมียจ๋าก็แล้วกัน หวังว่าคงไม่เถียงนะ หรือถ้าคิดจะเถียง ผมจะได้ยืนยันและตอกย้ำลงในสมองปลาทองของคุณเสียใหม่ เราคงเสียเวลาอีกสักชั่วโมงกว่าจะได้กลับบ้าน เอาไงดีล่ะ เริ่มกันเลยไหม จะได้ไม่เสียเวลาของคุณ” ชายหนุ่มกระตุกยิ้มอย่างเป็นต่อ อยากแกล้งคนหัวรั้นไม่ยอมฟังอะไรสักอย่างขึ้นมาดื้อๆ อยากจะรู้ว่าเธอจะเก่งอย่างที่ปากว่าสักแค่ไหน “อะ! ไอ้ทุเรศ หนังหน้าอย่างแกคงจะไม่ได้เห็นหนังกำพร้าใต้ร่มผ้าฉันอีกหรอก ที่ผ่านมาฉันจะคิดว่าทำทานให้หมามันให้ได้กินของดีบ้าง จะได้เลิกเห่าเลิกหอนเสียที” หญิงสาวกระชับชุดคลุมเดินกระแทกส้นเท้าปึงๆ เข้าห้องน้ำไปอย่างไม่สบอารมณ์ ชายหนุ่มอมยิ้มมองตามหลังอย่างอารมณ์ดี “พยศดี น่าปราบ และผมจะปราบคุณให้อยู่หมัด” ชายหนุ่มบอกตามหลังประตูที่ปิดลง แสงแดดยามบ่ายบนยอดดอยในฤดูหนาวสาดส่องลงมากระทบใบชาสีเขียวเข้มมันปลาบสะท้อนแสงระยิบระยับ ‘ไร่ปกรัก’ ตั้งอยู่บนดอยพญาไพรในอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยพื้นที่ครึ่งหนึ่งของดอยเป็นไร่ชาพันธุ์ดีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงราย ขณะที่อีกครึ่งเป็นแปลงปลูกดอกไม้เมืองหนาว ที่กำลังออกดอกบานสะพรั่งอวดสีสันงามตา และยอดดอยแห่งนี้มี ‘บ้านดุจเดือน’ ซึ่งเป็นบ้านไม้หลังใหญ่สร้างอยู่ตรงกลางดอย ทำให้สามารถมองทิวทัศน์โดยรอบไกลสุดลูกหูลูกตา ธาม ปกรัก หรือพ่อเลี้ยงธาม บุรุษหนุ่มรูปงามวัยสามสิบสามปี ใบหน้าคมเข้ม รูปร่างกำยำล่ำสันสูงใหญ่เกินมาตรฐานชายไทยกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตร ผิวสีขาวเหลืองอย่างคนเมืองเหนือ ดวงตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยวที่จับจ้องมองใครก็ชวนให้ครั่นคร้ามได้ง่ายๆ หากวันนี้ถูกบดบังด้วยแว่นกันแดดเรย์แบนสีชารับกับใบหน้าคมเข้ม ชายหนุ่มทอดสายตามองการก่อสร้างโรงงานผลิตหัวน้ำหอมนิ่ง หากมีใครได้เห็นแววตาของเขาตอนนี้ก็จะรู้ว่าความเครียดได้เกาะกุมไปหมดทุกอณู หลังจากได้รับข่าวจากแม่บ้านว่าน้องสาวไม่กลับบ้านทั้งคืน เขาก็รีบซื้อตั๋วเครื่องบินกลับจากกรุงเทพฯ ทันที ปล่อยเรื่องราวระหว่างตัวเองกับของคู่หมั้นสาวเอาไว้ก่อน เพราะตอนนี้เขาไม่มีเวลาแม้จะเสียใจ รษาเป็นน้องสาวคนเดียวที่รักดั่งดวงใจ มาถึงที่ไร่ชายหนุ่มก็ผุดลุกผุดนั่งเฝ้าต่อสายหาคนโน้นคนนี้อยู่ทั้งวัน แต่กลับไร้วี่แวว ไม่มีใครสามารถให้คำตอบเขาได้สักคน แม้แต่มินตราเพื่อนสนิทของน้องสาวก็ติดต่อไม่ได้ ปรินทรขับรถของโรงแรมมาส่งหญิงสาวถึงไร่ปกรัก เขาเองก็เพิ่งจะรู้เธอจะเป็นถึงน้องสาวพ่อเลี้ยงธามผู้กว้างขวางในวงการไร่ชาและไร่ดอกไม้เมืองหนาวของเมืองเชียงราย “เมื่อยมั้ยคุณ! ” เขาถามลอยๆ “อะไร” คนโดนถามหันขวับ เลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย “นั่งคอเอียงตั้งแต่โรงแรมมาถึงไร่ เพราะอายที่จะสารภาพรักผม เลยใช้ภาษากายสื่อ” ชายหนุ่มบอกต่อ เขาเห็นหญิงสาวที่เอาแต่หน้างอเขาก็อยากชวนคุย แต่ไม่รู้ว่ามุกตัวเองบอดสนิท “ฮะ!” “ก็คุณรักผมข้างเดียวไง เห็นนั่งตัวเอียง หันหัวใจมาให้ตรงหัวใจของผมตลอดทาง นึกว่าจะบอกรัก” ชายหนุ่มยิ้มระรื่นเฉลย “ฝันอยู่หรือเปล่า หรือดูละครมากไป” “เขินล่ะสิ” ชายหนุ่มเย้าต่อแบบไม่สนใจอารมณ์อีกคน หญิงสาวสะบัดหน้าพรืดอย่างขัดใจ เปิดประตูรถลงไปทันที ไม่ยอมเสียเวลาสักนาทีแม้จะหันกลับมามองหน้าเขาอีกไม่รักษามารยาทมีน้ำใจบอกขอบคุณคนมาส่งสักนิด ตลอดเวลาที่เธอนั่งรถกลับไร่เธอได้คิดทบทวนเป็นอย่างดีว่าจะไม่ยอมปริปากบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะต้องตายไปกับเธอเท่านั้น เธอจะไม่ยอมให้พี่ชายเสียใจเพราะเธออีก แต่ก็คงต้องใช้เวลาในการทำใจ ให้สามารถลืมเรื่องร้ายๆ ไปได้ หญิงสาวยกมือป้ายคราบน้ำตาที่ไม่อาจอดกลั้น ไหลรินออกมาอย่างไม่อาย คนที่มาส่งได้แต่มองตามร่างบางที่เดินเข้าบ้านไป เขาได้แต่หวังว่าสักวันเมื่อเธอได้รู้ความจริงว่าไม่ได้โดนข่มขืนอย่างที่เธอเข้าใจไปเอง เธอคงหันมาขอบคุณและพูดดีๆ กับเขาบ้าง รษาเดินเข้าบ้านด้วยสภาพอิดโรย ดวงตาบวมเป่งเลื่อนลอยเหมือนคนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ริมฝีปากบวมเจ่อ มีรอยแดงกลืนสีม่วงเข้มตามตัวนับสิบจุด เมื่อพ่อเลี้ยงธามเห็นน้องน้อยเดินเข้ามา เขาก็วิ่งถลาเข้าหาน้องสาวทันที หลังจากที่ทำได้เพียงรอมาเกือบค่อนวัน “รษา!” เขาร้องเรียกชื่อเธออย่างดีใจ ตลอดวันที่ผ่านมาเข้าได้แต่เฝ้าโทรถามเพื่อนของน้องสาว แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบที่แน่ชัดสักคน ไม่เว้นแม้แต่มินตราก็ติดต่อไม่ได้เช่นเดียวกัน “พี่ธาม” รษาโผเข้ากอดพี่ชายร้องไห้ตัวโยนอย่างรู้สึกผิด ผิดที่ไม่ยอมเชื่อฟังพี่ชาย ผิดที่ดื้อรั้น “มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมสภาพของเราถึงเป็นแบบนี้ บอกพี่มา” คนเป็นพี่ชายเขย่าร่างบางตัวคลอน อารมณ์พลุ่งพล่านเริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นสภาพน้องสาวยอดดวงใจ มันเกิดอะไรขึ้นกับน้องน้อยของเขา เขารู้สึกตกใจมากที่เห็นสภาพของน้องสาวที่ไม่ต่างจากโดนรุมโทรมเลยสักนิด “พี่ธามฮื้อ ฮื้อ” รษาได้แต่ส่ายศีรษะร้องไห้สะอื้นฮักๆ กับอกอุ่นของพี่ชาย เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นเล่าเรื่องราวพี่ชายฟังอย่างไรดี เธอไม่อยากให้เขาเสียใจ แต่จะปกปิดอย่างไรดี “ใจเย็นๆ รษา ค่อยๆ เล่าให้พี่ฟัง ทำไมสภาพของเราเป็นอย่างนี้” ชายหนุ่มพยายามปลอบโยนน้องเสียงนุ่ม แม้ว่าในใจคิดไปไกล ท้ายประโยคกลับสะกิดรอยแผลในใจของหญิงสาว ยิ่งทำให้เพิ่มความร้าวรานรุนแรงขึ้นไปอีก เธอซุกหน้ากับแผงอกกว้างร้องไห้หนักกว่าเดิม พ่อเลี้ยงหนุ่มจับไหล่บางของคนร่างเล็กดันออกจากอกเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าร่างน้องน้อยเงียบเสียงไปและเหมือนจะหยุดร้องไห้แล้ว “รษา” พ่อเลี้ยงหนุ่มเรียกชื่อน้องสาวเหมือนละเมอ แต่พูดได้แค่นั้นเขาก็ตกใจหนักกว่าเดิม เมื่อร่างบางในอ้อมกอดของเขาหมดสติและล้มพับไป “รษา!” พ่อเลี้ยงหนุ่มเรียกน้องสาว ก่อนช้อนอุ้มร่างไร้สติขึ้นไปบนห้องนอน แนวฟันสองฝั่งกระทบกันและขบแน่นจน กรามแกร่งปูดเด่นเป็นสันนูน เขาต้องรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้น้องสาวสุดที่รักที่เขาเฝ้าฟูมฟักมาตั้งแต่เด็กมีสภาพเป็นอย่างนี้ให้ได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD