หลังจากถิงเอ๋อร์ถูกบิดาเรียกไปพบในวันนั้น เมื่อกลับมาถึงเรือนหญิงสาวก็คิดไม่ตก เรื่องที่แม่ทัพหน้าตายนั่นจะมาขอถอนหมั้น
‘อีกประมาณสิบวันก็จะถึงงานพิธีปักปิ่น ข้ายังไม่ได้ไปเจรจาต่อรองกับท่านแม่ทัพเลย หลังจากที่เจอกันวันนั้นเขาก็เงียบหายไป ต้องรีบทำอะไรเสียแล้ว’ หญิงสาวหมายมั่นในใจ แล้วเรียกจิ๋นอิ่งให้มาช่วยเปลี่ยนชุดใหม่ทันที
“วันนี้ข้าจะไปเดินตลาดหาซื้อผ้าสวย ๆ มาตัดชุดใหม่เสียหน่อย เจ้าอย่าลืมพกถุงเงินไปด้วย” ฟางลี่ถิงพร้อมบ่าวรับใช้ข้างกายเดินทางด้วยรถม้า ประมาณครึ่งชั่วยามก็เริ่มเข้าสู่เขตตัวเมืองที่มีผู้คนมากมายบรรยากาศคึกคัก ทั้งสองข้างทางมีร้านค้ามาเปิดขายของเต็มไปหมด สร้างความตื่นตาตื่นใจให้สตรีที่อยู่ในห้องหอเป็นอย่างมาก เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็ยังไม่เคยได้ออกมาเปิดหูเปิดตาที่ใดบ้างเลย
เมื่อรถม้าของจวนเสนาบดีจอดเทียบที่หน้าโรงเตี๊ยม หญิงสาวก็สั่งให้จิ๋นอิ่งเข้าไปสั่งอาหารรับประทานพร้อมกับอาซือที่เป็นคนขี่รถม้าเพื่อรอนางที่อยากจะไปเดินดูของรอบบริเวณนี้ตามลำพัง แต่บ่าวรับใช้ทั้งสองก็พยายามขัดขวางเพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้น
“คุณหนูเจ้าคะ/คุณหนูขอรับ” จิ๋นอิ่งและอาซือเรียกคุณหนูพร้อมกับส่ายหน้าไม่ยอมเดินเข้าโรงเตี๊ยม
“ห้ามพวกเจ้าขัดใจข้า ในอีกหนึ่งชั่วยามข้างหน้าให้มารอที่นี่ เข้าใจหรือไม่” ถิงเอ๋อร์สั่งบ่าวรับใช้ทั้งสองพร้อมกับให้เงินไว้จำนวนหนึ่ง แล้วเดินออกจากหน้าโรงเตี๊ยมไปดูของในตลาดตามลำพัง
ในความทรงจำของฟางลี่ถิงคนก่อน นางเคยมาเดินเล่นที่ตลาดนี้แทบนับครั้งได้ เนื่องจากในยุคนี้สตรีในห้องหอไม่นิยมออกนอกบ้านมากนัก ถ้าหากว่าไม่มีธุระหรือมีความจำเป็น
จวนแม่ทัพ ยามซื่อ
“เรียนท่านอ๋อง วันนี้คุณหนูไปเดินเล่นที่ตลาดกลางเมืองพ่ะย่ะค่ะ” มู่หยาง องครักษ์เงาคนสนิทเอ่ยรายงานผู้เป็นนายเหนือหัวตามปกติในทุก ๆ วัน
“นางไปกับผู้ใด” หลี่เฟยหลงถามขึ้น ในขณะที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะทำงานด้วยท่าทีสบาย ๆ และมีสีหน้าเรียบเฉย
“ไปกับคนรับใช้คนสนิทมีนามว่า ‘จิ๋นอิ่ง’ พร้อมกับคนขี่รถม้านามว่า ‘อาซือ’ พ่ะย่ะค่ะ และเมื่อราวครึ่งชั่วยามก่อน คุณหนูก็แยกกับคนรับใช้ทั้งสองไปเดินเล่นในตลาดเพียงลำพัง...” มู่หยางรายงานยังไม่ทันจบคำดีก็ถูกผู้เป็นนายพูดขัดขึ้นก่อน
“นางแยกกับคนรับใช้อย่างนั้นหรือ” หลี่เฟยหลงตวาดเสียงดังแล้วรีบสั่งออกไปว่า
“มู่หยาง เจ้าส่งคนไปตามคุ้มครองนางอย่างลับ ๆ อย่าให้ผู้ใดเข้าใกล้นางได้แม้แต่ปลายผม” หลี่เฟยหลงสั่งองครักษ์เงา และรีบลุกขึ้นยืนเดินออกจากห้องหนังสือไปที่หน้าเรือนทันทีที่กล่าวจบ
“น้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ” มู่หยางก้มหน้ารับคำสั่ง หลังจากที่องครักษ์เร้นตัวจากไปแล้ว หลี่เฟยหลงก็ใช้วิชาตัวเบามุ่งตรงไปยังตลาดกลางเมืองทันที
ตลาดกลางใจเมืองจิ้นโจว
ถิงเอ๋อร์จ้องมองที่แผงร้านขายพุทราเชื่อมด้วยสีหน้าตื่นเต้นจนแม่ค้าอดสงสัยไม่ได้ จึงยื่นพุทราเชื่อมนั้นให้นางด้วยความเอ็นดู
“พุทราเชื่อมเจ้าค่ะ คุณหนู” แม่ค้าวัยสามสิบหนาวส่งพุทราเชื่อมจำนวนหนึ่งไม้มาให้สตรีผู้มีใบหน้างดงาม ถึงแม้ว่าจะมีผ้าปิดบังใบหน้าอยู่ก็ตาม
“ราคาเท่าไหร่หรือ” ถิงเอ๋อร์ถามราคาแม่ค้าพลางรับพุทราเชื่อมมาถือไว้
“สิบอีแปะเจ้าค่ะ” แม่ค้าขายพุทราเชื่อมเอ่ยบอก ในขณะที่สตรีกำลังหาถุงเงินอยู่นั้น ก็มีเสียงทุ้มเอ่ยดังขึ้นใกล้กับบริเวณที่นางยืนอยู่เสียก่อน
“พี่จ่ายให้เอง” ท่านแม่ทัพเอ่ยขึ้นหลังจากหยุดยืนมองดรุณีน้อยซื้อพุทราเชื่อมจากแม่ค้าอยู่ราวสองจิบชา
‘นางมีสีหน้าและคำพูดที่เปลี่ยนไปอย่างมาก’ แม่ทัพหนุ่มมองสำรวจหญิงสาวที่กำลังยิ้มแย้มแจ่มใสจนผิดปกติ ต่างจากฟางลี่ถิงคนเก่าที่มักมีท่าทีของสตรีสูงศักดิ์อยู่ตลอดเวลา แล้วก็ไม่เคยพูดกับคนที่ต่ำศักดิ์กว่า อย่างเช่นแม่ค้าขายพุทราเชื่อมที่อยู่ตรงหน้านางในตอนนี้
“ท่านอ๋องมาทำธุระอะไรที่นี่หรือเพคะ” ถิงเอ๋อร์มองสบสายตาร่างสูงตรงหน้าด้วยความแปลกใจ ที่เห็นบุรุษหน้าตายที่ตลาดกลางเมืองตามลำพัง เพราะโดยปกติในความทรงจำของฟางลี่ถิงนั้นมักจะเห็นชายหนุ่มเดินทางไปไหนมาไหนกับองครักษ์ข้างกายที่มีนามว่ามู่หยางอยู่เสมอ
“ข้าเพียงแค่บังเอิญผ่านมาแถวนี้เท่านั้น แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ” หลี่เฟยหลงตอบสตรีตรงหน้าด้วยท่าทีเย็นชา และรีบเอ่ยถามนางกลับเพื่อเบี่ยงประเด็น
“บังเอิญผ่านมาแถวนี้จริงหรือเพคะ” ถิงเอ๋อร์ทำหน้าจับผิดชายหนุ่ม เป็นเหตุให้บุรุษที่มักจะทำหน้าเย็นชาอยู่เสมอเสียอาการด้วยความประหม่า จึงรีบพูดกลบเกลื่อนเหตุผลที่แท้จริงของตนทันที
“ข้าจะมาเดินตลาดด้วยเหตุผลอันใดเจ้าไม่ต้องใส่ใจ แล้วเหตุใดถึงมาเดินตลาดเพียงลำพัง ไม่มีบ่าวรับใช้ติดตามมาด้วย” หลี่เฟยหลงตำหนิถิงเอ๋อร์ด้วยน้ำเสียงดุ เขาถือวิสาสะมองสำรวจคนตรงหน้าด้วยความแปลกใจ เหตุเพราะไม่เคยเห็นนางเปลือยใบหน้าแท้จริงเช่นนี้มาก่อน เพราะปกติเขามักจะเห็นนางแต่งหน้าหนาทาหน้าขาวและชาดปากสีแดงจัดเสมอ