“หนูพูดอะไรผิดหรือเปล่าคะ?” เด็กขี้สงสัยเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าทุกคนเงียบไปโดยเฉพาะเอิงเอย
“เปล่าครับ แต่พี่เลิกกันแล้ว” เสียงเพลงคงจะไม่รู้ครับว่าความสัมพันธ์ของผมกับเอยมันจบไปแล้ว อีกอย่างในโซเชียลผมยังไม่ได้ลบอะไรเกี่ยวกับเธอด้วยแหละตอนเลิกกันก็ไม่ได้โพสต์หรือเพ้ออะไรทุกอย่างจึงถูกเข้าใจไปแบบนั้นมั้ง
“ขอโทษนะคะหนูไม่รู้หนูเลยพูดไปแบบนั้น” น้ำเสียงลนลานเอ่ยก่อนจะยกมือไหว้ผมกับเอิงเอยแทบจะทันที
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่เรื่องนี้พี่ก็เพิ่งรู้จริง ๆ” ประโยคหลังเหมือนตั้งใจจะพูดกับผมนะครับ “ว่าแต่เราเถอะเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ใช่ไหม พี่เคยได้ยินแต่ชื่อยังไม่เคยเห็นหน้าชัด ๆ สักที”
“ค่ะ พอดีมีเรื่องนิดหน่อยเลยถูกย้ายกะทันหัน”
ไม่ได้สนใจบทสนทนาของคนทั้งคู่เลยด้วยซ้ำเพราะมัวแต่มองไอ้มิวที่กำลังเดินมาด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“จุ้นมึงไปส่งเสียงเพลงด้วยนะ” มาถึงโต๊ะมันก็ออกคำสั่งครับ
“แล้วพี่จะไปไหนล่ะคะ”
“พี่มีธุระครับ” ตอบสั้น ๆ แล้วหยิบกุญแจรถออกไปทันที คงจะเป็นเรื่องสำคัญมากเพราะปกติมันไม่เคยทิ้งน้องแบบนี้เลยนะ
“มาเร็วไปเร็วกูยังไม่ทันบอกเลยว่ากูไม่ได้เอารถมา” ไอ้จุ้นเอ่ย
“แล้วมึงมากับใคร”
“ไอ้เคไปรับ แล้วนี่แม่งก็เมาแอ๋ไปละเผลอ ๆ จะได้นอนบ้านไอ้แก้มอีกด้วย”
“...” คนถูกทิ้งถึงกับหน้าถอดสีเลยครับ
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ไปส่งเอง”
“เออ มึงนั่นแหละไม่เมาไปส่งน้องด้วย” ไอ้แก้มเสริมขึ้นมาอีกคน
เหลือบมองนาฬิกาเกือบห้าทุ่มแล้วครับ เห็นแบบนั้นผมจึงเดินไปหาพ่อเพื่อเอากุญแจรถ
“อะไร?”
“กุญแจรถครับผมจะไปส่งน้อง”
“น้องไหน?”
“เสียงเพลง”
“...” พ่อเงียบแล้วสบตากับลุงโอมนิ่ง ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากยื่นกุญแจให้ผม
“ไอ้มิวมันมีธุระสำคัญไปไหนแล้วไม่รู้ฝากแค่ให้ไปส่งน้องด้วย” ผมอธิบายไปตามความจริงเดี๋ยวคนอื่นจะมองไม่ดีเอาได้โดยเฉพาะลุงโอมที่เอาแต่จ้องหน้าผมก่อนจะตั้งคำถามออกมา
“แฟนเหรอ?”
“ผมยังโสดครับ”
“ฮ่า ๆ จะโสดได้นานสักแค่ไหนกันเชียว”
“ไม่รู้มันโสดแบบไหนหัวกะไดไม่เคยแห้งเลย” ดูพ่อสิครับ
“ก็ลูกชายพ่อหล่ออะ”
“ไปไกล ๆ ไป”
... : ฮ่า ๆ
เมื่อได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วก็เดินกลับมาหาเสียงเพลงที่โต๊ะ
“กูไปส่งน้องก่อนนะ”
“เออ ขับรถดี ๆ เว้ย”
ก่อนออกจากบ้านลุงกายเด็กห่วงของกินก็ไม่ลืมหยิบขนมติดมือมาด้วยครับ เห็นตัวเล็ก ๆ แบบนั้นแต่กินเก่งมากเลย
“มันอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ใช่ค่ะ”
ระหว่างทางก็ยังคงวุ่นวายอยู่แต่กับของกินโดยไม่สนใจเลยสักนิดว่าผมเป็นคนอื่น
“กินเก่งนะเราอะ”
“หนูกินได้มากกว่านี้อีก”
“เชื่อ!” เป็นคนที่กินอะไรก็ดูน่าอร่อยไปหมดทุกอย่างเลย
“คิกคิก รบกวนพี่แวะร้านสะดวกซื้อให้หน่อยนะคะ”
“ครับ”
แค่เพียงไม่นานก็แวะร้านสะดวกซื้อตามคำขอของเสียงเพลง
“พี่ลงไปด้วยกันไหมคะ”
“ไปสิ” ตั้งใจจะหาเครื่องดื่มอุ่น ๆ สักแก้วครับ
เราแยกกันไปคนละโซนแต่แค่ไม่นานเสียงเพลงก็เดินกลับมาแล้วทำหน้าคล้ายคนจะร้องไห้
“เป็นอะไร”
“เราเปลี่ยนร้านกันไหมคะ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยก่อนจะก้มหน้าเล็กน้อย
ผมไม่ได้ตอบอะไรแค่กวาดสายตามองไปรอบบริเวณก่อนจะเห็นชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังเลือกของกินอยู่ ถึงจะไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวแต่ก็จำหน้าได้ครับ อดีตแฟนของเธอนั่นแหละ
“หลบทำไมไม่เห็นมีอะไรต้องสนใจเลย” บอกออกไปอย่างไม่ใส่ใจมากนัก นี่น่ะเหรอคนที่กลับมาง้อ พูดอย่างทำอีกอย่างย้อนแย้งไปหมด
“ก็แค่รู้สึกไม่ดี...”
“แล้วทำไมต้องพาตัวเองกลับไปอยู่กับความรู้สึกพวกนั้นอีกด้วยล่ะ เป็นคนเมื่อกี้ที่ยิ้มเก่งและสนใจแต่ของกินมันดีกว่าอีกนะ” ดวงตาคู่สวยวูบไหวเล็กน้อยก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาแล้วฉีกยิ้มกว้างมาให้ผม “ใช่... มันต้องแบบนี้”
“เข้าใจแล้วค่ะ” ตอบกลับด้วยความสดใสก่อนจะเดินไปเลือกของใช้ส่วนตัวตามเดิม ปรับอารมณ์ตามไม่ทันแล้วครับเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวจะร้องไห้
“ปั้น” น้ำเสียงคุ้นหูเอ่ยเรียกชื่อผม เบือนหน้าไปมองเป็นเจนครับ นี่คงเป็นอีกครั้งที่ความบังเอิญเกิดขึ้นกับผม “มาทำอะไรแถวนี้เหรอ”
“ธุระ แล้วเธอล่ะ”
“ไปร้านนั่งชิวกับพี่มาน่ะก็เลย...”
“พี่คะอันนี้ เอ่อ...”
“มาด้วยกันเหรอ?” เจนเอ่ยถามก่อนจะมองเลยไปอีกด้านหนึ่ง
“อืม”
“...”
“ถ้างั้นเราขอตัวนะ” เมื่อเห็นเธอเงียบผมจึงเลี่ยงไปทางอื่นแทนโดยไม่ลืมรั้งเสียงเพลงให้เดินตามมาด้วย
“พี่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวด้วยเหรอคะ?” ในที่สุดคำถามที่จะเฉลยทุกอย่างก็ถูกเอ่ยออกมาจนได้แต่ผมเลือกที่จะยังไม่ตอบเพราะดูท่าทางแล้วจะยาวให้คุยตรงนี้คงไม่สะดวก
“ค่อยคุยกันนะ เราไปเลือกของต่อเถอะ”
“ค่ะ” ขานรับอย่างเข้าใจแล้วเลือกของต่ออีกนิดหน่อยก็ไปจ่ายเงินครับ
“เดี๋ยวพี่จ่ายให้” ไม่พูดเปล่าผมยังแย่งตะกร้าของในมือมาอีกด้วย
“พี่คะมันมีแต่ของใช้ส่วนตัว”
“คิดเงินรวมกันเลยครับ” ไม่ทันได้ค้านอะไรพนักงานก็คิดเงินก่อนแล้วครับ
เมื่อทำอะไรไม่ได้เจ้าตัวจึงยอมอยู่เฉย ๆ แทนกระทั่งออกจากร้านสะดวกซื้อ
“นี่ค่าของค่ะ” เงินจำนวนหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าผม
“เก็บไว้ซื้อขนมเถอะ”
“แต่...”
“ตัวเล็ก” ใครคนหนึ่งขัดจังหวะขึ้นก่อนจะหยุดยืนตรงหน้าพวกเรา
“...” เสียงเพลงไม่ตอบอะไรก่อนจะคล้องแขนผมจนแน่น
“รู้ตัวหรือเปล่าว่าเรากำลังทำตัวไม่น่ารักใส่พี่นะ”
“ไม่รู้ค่ะ ไม่สนใจด้วย”
“นี่น่ะเหรอคนที่บอกจะเป็นเด็กดีจะเชื่อฟังทุกอย่าง”
“พี่เลิกพูดถึงเรื่องที่มันจบไปแล้วสักทีเถอะ! ที่ผ่านมาพี่เป็นคนอยากเลิกมาโดยตลอดหนูก็เลิกให้แล้วไง ไม่ตาม ไม่กวนใจอะไรอีกแล้วยังต้องการอะไรจากหนูอีก อ๋อ... สิ่งที่พี่ต้องการหนูขอโทษด้วยนะคะที่ให้ไม่ได้พอดีหนูจะเก็บไว้ให้กับคนที่เขาพร้อมจะถนอมหัวใจของหนูแค่คนเดียวค่ะ” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกมากมาย เธอไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกที่พูดออกไปแบบนั้นคงมั่นใจแล้วว่าจะตัดคนคนนี้ออกไปจากชีวิตเท่านั้นเอง
“แล้วไหนล่ะคนที่พร้อมจะถนอมหัวใจหนู มึงเหรอ?” ประโยคหาเรื่องถูกเอ่ยออกมาก่อนจะมองหน้าผมแล้วหันไปพูดกับเสียงเพลงต่อ “คิดเหรอว่ามันจะดี”
“เขาอาจจะดีกับหนูแค่คนเดียวก็ได้”
“...”
นานหลายนาทีที่ผมมองคนทั้งคู่คุยกัน คนหนึ่งพร้อมจะไปส่วนอีกคนพร้อมจะปรับ ไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นยังไง รู้แค่ตอนนี้ไอ้หมอนี่มันเพิ่งคิดได้ครับ ผู้ชายเหมือนกันผมดูออกว่ามันก็รักเสียงเพลงนั่นแหละ แต่น่าเสียดายที่รู้ตัวช้าไปหน่อย
“แล้วอีกเรื่องหนึ่งที่หนูโพสต์อะไรเศร้า ๆ หนูไม่ได้อาลัยอาวรณ์พี่เลยค่ะ มันเป็นทริคในการสร้างอารมณ์เขียนนิยายเฉย ๆ ถ้าเป็นก่อนหน้านั้นยอมรับว่าเพ้อแต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว พี่เริ่มต้นใหม่ไปแล้วหนูเองก็เหมือนกัน ต่างคนต่างเดินนะคะขอให้มีความสุขมาก ๆ พี่มีแฟนแล้วก็ควรรักแฟนนะคะ หนูก็รักแฟนหนูเหมือนกัน” จบประโยคก็รั้งผมออกมาทันที ไม่ใช่แค่มันที่อึ้งผมก็อึ้งเหมือนกันแต่เห็นแก่ความเด็ดเดี่ยวของน้องผมยอมรับบทแฟนจำเป็นให้ห้านาทีก็ได้
“เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจดังขึ้นก่อนจะปล่อยมือจากผม “ขอโทษนะคะ”
“ช่างเถอะ” ผมว่ายิ้ม ๆ แล้วพูดต่อ “เห็นร้องไห้บ่อยคิดว่าจะใจอ่อนซะอีก”
“เจ็บก็แค่ร้องไห้ มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ไม่ใช่เหรอคะ”
“ไม่รู้สิ แต่พี่ไม่ร้องนะ”
“แสดงว่ายังรักไม่มากพอ ไม่ใช่สิ! หรือบางทีพี่อาจจะเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนแล้วไงพอถึงเวลาจริง ๆ เลยเฉย” ไม่ใช่ไม่รักครับ แต่มันมองอนาคตออกไงว่าต่อไปมันจะเป็นยังไงจะว่าเตรียมใจไว้ก่อนแล้วอย่างที่น้องบอกก็คงใช่แหละ
“คงงั้นมั้ง ว่าแต่เราเถอะอะไรนิยายนะ?” ผมว่าผมฟังมาไม่ผิดนะ
“อ๋อ... หนูเขียนนิยายค่ะ เป็นรายได้เสริมไว้ซื้อของที่อยากได้”
“ไอ้มิวรู้ไหม?”
“ไม่รู้หรอก ไม่มีใครรู้ พี่คนแรก ... หนูไม่รู้ว่าจะบอกไปทำไมเพราะไม่ได้มีใครสนใจขนาดนั้น มันก็เป็นแค่งานอดิเรกรองจากเรื่องเรียนแค่นั้นเอง”
“เอาเป็นว่าเราต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกันเนอะ”
“ใช้คำว่าความลับเลยเหรอคะ”
“ครับ”