Episode-๐๖ ข้อยกเว้น

1450 Words
“กูกับมึงมีเรื่องต้องคุยกันนะ” “...” “ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ คุยกันมึงอย่าเพิ่งใช้อารมณ์สิ” ไอ้แก้มรีบปรามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของไอ้มิวที่มองมาทางผม “มึงก็ด้วยไอ้ปั้น ถ้ารู้ตัวว่ายังไม่พร้อมจะหยุดที่ใครก็ช่วยสนุกแบบมีขอบเขตหน่อย” “แม่กูก็พูดแบบนี้” “โทษทีกูเตือนในฐานะเพื่อนไม่ใช่แม่โว้ย” เพื่อนกันต้องกล้าเตือนกันครับ ข้อนี้พวกเราเข้าใจกันดีอยู่แล้ว ผมไม่ได้ตอบอะไรแค่แยกตัวออกมาด้านหลังโดยมีไอ้มิวตามมาติด ๆ ... ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างเราก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายพูดก่อน “มึงคงไม่คิดว่ากูชอบเสียงเพลงหรอกนะ” “คิด” “...” “น้องกูตรงสเปคมึงทุกอย่าง แล้วที่เหลือเชื่อไปกว่านั้นคือมึงอธิบายเรื่องส่วนตัวให้น้องกูฟัง ถ้าเป็นคนอื่นคงถูกด่าไปแล้ว” “มึงสบายใจได้กูไม่ได้คิดอะไร เสียงเพลงก็เหมือนน้องสาวคนหนึ่งนั่นแหละ ก็เห็นน้องมันถามตามประสากูก็เลยตอบเท่าที่ตอบได้แค่นั้นเอง หรือมึงจะให้กูสวนกลับเหมือนคนอื่นล่ะ ถ้าทำแบบนั้นคงร้องไห้พอดี” “เออ กูไม่ได้อะไรขนาดนั้นหรอก แต่เสียงเพลงเพิ่งจะดีขึ้น พูดถึงเรื่องนี้แล้วคงต้องไหว้วานให้มึงช่วยหน่อย” “อะไร?” “คนนี้...” ไอ้มิวยื่นมือถือที่มีรูปถ่ายของใครคนหนึ่งให้ผมดู “ไอ้เหี้ยนี่แหละที่ทำน้องกูร้องไห้เป็นอาทิตย์” “...” ผมไม่ได้ตอบอะไรและเลื่อนฟีดโซเชียลมันไปเรื่อย ๆ จนสะดุดเข้ากับรูปถ่ายหนึ่ง “หืม...” “อืม ไม่รู้ว่าเป็นพี่น้องกันหรืออะไร แต่หน้าตาก็คล้ายกันอยู่นะ” เจนครับ ผมเองก็ไม่เคยถามไถ่เรื่องส่วนตัวของเธอซะด้วยสิ “หรือจะเป็นญาติกัน? แต่เป็นอะไรก็ช่างแม่มันเถอะ ที่มันทิ้งเพราะเพลงไม่ยอมมันไง คนส้นตีน!” “หวังแค่ร่างกายแสดงว่าไม่ได้รักตั้งแต่แรกสินะ” พูดออกไปตามความคิด พอไม่ได้อย่างที่ต้องการก็เขี่ยทิ้งไงครับ “มันรักหรือเปล่าไม่รู้แต่น้องกูอะรัก” “เดี๋ยวก็เลิกรัก” “...” “เชื่อกูสิ เวลาผ่านไปก็จะดีขึ้นเอง” “เหมือนมึงใช่ไหม” “คงงั้น” ความรู้สึกเราคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ จะต่างตรงที่ผมทำใจล่วงหน้ามาก่อนหลายครั้งแล้วมั้งครับ แต่ก็นะน้องยังเด็ก มันฝังใจเป็นธรรมดาอยู่แล้ว หลังจากคุยกันเข้าใจก็กลับเข้าไปด้านในครับ สีหน้าทุกคนเหมือนลุ้นว่าผมกับไอ้มิวนี่ยังไงกัน “จีบไม่จีบ?” จุ้นห่าวเอ่ย “ตอบเร็ว ๆ อย่าเงียบดิวะ” “อะไรของมึง” “แค่มึงตอบมาว่าจะจีบน้องเพลงหรือไม่จีบ” “พนันส้นตีนอะไรกันอีกแล้วสินะถึงตั้งคำถามแบบนี้” ผมว่าพลางเท้าสะเอวมองพวกมันนิ่ง ๆ “จีบเหี้ยอะไรมึง น้องเหอะ” “ฮั่นแน่...” “กูกลับบ้านดีกว่า วันนี้แม่งโคตรจะน่าเบื่อ” น่าเบื่อทุกอย่าง เป็นวันหยุดที่ห่วยที่สุดวันหนึ่งเลยก็ว่าได้ กลับถึงบ้านก็ต้องแปลกใจครับเมื่อไฟในบ้านยังเปิดอยู่ จะว่าเพียงฝันยังไม่นอนก็คงไม่ใช่หรอกเพราะตอนนี้จะตีหนึ่งแล้วน้องเป็นคนนอนเร็วครับสามทุ่มก็หลับแล้วมั้งถ้าผมไม่ได้พาไปไหน “ทำอะไรอยู่ครับทำไมยังไม่นอนอีก” เอ่ยถามพลางเข้าไปสวมกอดอย่างเช่นทุกครั้ง “ผมเบื่อจัง” ได้ยินแบบนั้นแม่จึงละมือจากโน้ตบุ๊คแล้วหันมาทางผมทันที “ว่ามาสิ กำปั้นคนหล่อของแม่เจออะไรมา” “ถูกล้ำเส้นมั้งครับ” “ใคร?” “...” มองหน้าแม่พลางพิจารณาคำตอบก่อนในใจเพราะไม่รู้ว่าบอกไปแล้วจะได้คำแนะนำหรือคำด่า “คนคุยครับ” “ก็หยุดสิ หยุดเดี๋ยวนี้เลย การที่เขารุกล้ำพื้นที่ความเป็นส่วนตัวของเราไม่ได้หมายความว่าเสือกหรือไม่มีมารยาทหรอกนะ แต่มันหมายความว่าเขากำลังรู้สึกต่างหากถึงต้องการเอาตัวเองเข้ามาในชีวิตของเราน่ะ จำได้ว่าแม่เคยบอกเรื่องนี้กับปั้นไปแล้วไม่ใช่เหรอ” “ครับ” “ครับแล้วก็ฟังบ้าง ไม่ว่าปั้นจะยื่นสถานะอะไรให้เขามันไม่สำคัญแล้ว สำคัญตรงที่ตอนนี้เขารู้สึก ใช่แหละเราไม่ได้รู้สึกเราไม่ได้คิดอะไรเพราะฉะนั้นควรหยุด อย่าเอาความรู้สึกคนอื่นมาล้อเล่นเพราะมันไม่สนุกอย่างที่คิด สักวันโดนเข้ากับตัวเองจะโอดโอยไม่ไหวนะ” “คำสอนของแม่ฟังดูน่ากลัวจัง” “ฮ่า ๆ ระวังตัวไว้เถอะ! คนหล่อก็อกหักได้นะ” “แม่อะ! แล้วนี่แม่ทำอะไรอยู่” ชวนเปลี่ยนเรื่องไปก่อนครับเดี๋ยวจะมีคำถามประหลาด ๆ เพิ่มมาอีกก็รู้อยู่ว่าแม่ผมเก็บข้อมูลเก่ง “กำลังร่างโจทก์อยู่ เราไปนอนเถอะอีกเดี๋ยวแม่ก็จะไปนอนแล้ว” “นอนดึกได้ครับพรุ่งนี้วันนักขัตฤกษ์ผมหยุด” “นอนดึกนะไม่ใช่นอนเช้า” “ครับผม” เข้ามาในห้องก็ทิ้งตัวลงนอนทันที ผมควรหยุดเรื่องราวไว้เพียงเท่านี้สินะ ไม่อย่างนั้นคงวุ่นวายไปกันใหญ่ ติ๊ง! (นอนหรือยังคะ) เป็นเมล่อนที่แชทมา “กำลังจะนอน” (คอลได้ไหม) ไม่ทันได้ตอบเจ้าตัวก็โทรมาก่อนแล้วครับ “ไม่หลับไม่นอนนะเราอะ” (ปั้นก็เหมือนกันแหละ แล้วนี่อยู่ไหนเหรอทำไมมืดจัง) “อยู่บ้านนี่แหละ” (นอนกับใครเหรอ) “คนเดียว” (เชื่อได้หรือเปล่านะ) เธอว่ายิ้ม ๆ แล้วพูดต่อ (ที่คาดผมใครเหรอสีน่ารักเชียว) เหลือบมองหัวเตียงของตัวเองก็เห็นที่คาดผมสีหวานแหวววางอยู่ครับ แถมยังมียางรัดผมอีกด้วย สงสัยเพียงฝันจะเข้ามานอนเล่นในห้องล่ะมั้ง “ของน้องสาวน่ะ” (ปั้นมีน้องสาวด้วยเหรอ น้องแท้ ๆ เลยไหม) “อืม” (โตหรือยัง อายุเท่าไหร่แล้ว) “ปีนี้สิบหก” (ก็โตเป็นสาวแล้วนี่เนอะ น่าจะรู้ได้แล้วว่าอะไรควรอะไรไม่ควร) “ต้องการจะบอกอะไร?” (เปล่า แต่ห้องนอนมันพื้นที่ส่วนตัวน้องไม่น่าเข้ามายุ่งวุ่นวายนะ) “บางทีเธออาจจะลืมไปนะว่ากำลังล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของเราอยู่ แล้วอีกอย่างน้องก็คือคนในครอบครัวไม่ใช่คนอื่น ไหน ๆ ก็พูดมาถึงขนาดนี้แล้วก็พูดเลยแล้วกัน มีสิทธิ์อะไรเหรอถึงได้แชทไปวุ่นวายกับคนนั้นคนนี้ นั่นน้องสาวเพื่อน ถ้าเมจะหึงทุกคนที่เรากดหัวใจให้ก็คงเหนื่อยยันตายแหละเพราะเรากดให้ทุกคน น่ารักก็กด สวยก็กด บังเอิญผ่านตาก็กด อย่าทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเราได้ไหม” อาจจะเสียมารยาทที่พูดออกไปแบบนั้นแต่มันคือเรื่องจริงครับ ถ้าเราเป็นแฟนกันก็ว่าไปอย่าง (ขอโทษ ฮึก! ไม่เห็นต้องว่ากันขนาดนี้เลย) ผมไม่ได้ตอบอะไรแล้วเลือกที่จะกดวางสายแทน น่าเบื่อครับ ทางเดียวคือหยุดความสัมพันธ์เอาไว้แค่นี้แล้วพาตัวเองออกห่างไปแทน ประโยคยาว ๆ ของแม่มันจริงทุกคำพูดนั่นแหละ ถ้ายังเป็นอยู่แบบนี้นอกจากคนอื่นจะเดือดร้อนแล้วชีวิตผมคงหาความสุขไม่เจออีกด้วย “ไม่มีผู้ชายคนไหนใจร้ายเท่าพี่อีกแล้ว” น้ำเสียงงัวเงียดังมาจากโซฟาครับ ตอนเข้ามาก็ไม่ได้สังเกตซะด้วยสิเพราะไม่ได้เปิดไฟไง “ไม่ได้ใจร้ายเลยหนูก็รู้ว่าพี่เป็นคนยังไง” “ต้องมีสักคนแหละที่เป็นข้อยกเว้น” “ก็อาจจะมีแต่ตอนนี้ยังไม่เจอครับ” “กดหัวใจให้ทุกรูปยังมาปฏิเสธอีกนะ” “...” “ที่พูด ๆ ไปพี่พูดไปอย่างนั้นแหละ เป็นน้ำเสียงที่เลือดเย็นมาก! นี่สินะที่เขาบอกว่าคนสำคัญอยู่เฉย ๆ ก็สำคัญ” “พูดไปเรื่อยแล้ว” “หนูเด็กหญิงฉัตรนรินทร์เป็นน้องสาวนายนฤบดินทร์นะคะ แค่มองตาพี่ก็รู้แล้ว คนนี้ไม่ติดแต่พี่อาจจะติดหน่อยเพราะเป็นน้องของพี่มิวนั่นแหละ” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจมากนักก่อนจะหันหลังแล้วหลับตานอนเหมือนเดิม พูดกันไปเรื่อยครับ ผมไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย ...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD