ส่วนภคมนก็หิ้วกระเป๋าเป้ตัวเองออกจากร้านไป เธอคิดว่าเฟลิกซ์กลับไปแล้วจึงรีบหอบร่างที่ไร้เรี่ยวแรงเดินมาตามถนน แต่เพราะอาการป่วยไข้จากบาดแผลและแสงแดดยามสายที่สาดส่องลงมาจึงทำให้เธอหน้ามืดเซถลาจนเกือบจะล้มลงหลายครั้ง
“อา...ปวดหัวจัง” ริมฝีปากแห้งเผือดพึมพำแผ่วเบา มือเรียวยกขึ้นกุมขมับ พยายามปรับโฟกัสสายตาเพราะมองเห็นอะไรก็พร่าเลือนไปหมด “ไม่ไหวแล้ว...”
ท้ายที่สุดเธอก็ไม่อาจจะฝืนร่างกายตัวเองให้ก้าวเดินต่อได้ สองเท้าหยุดชะงัก ศีรษะหนักอึ้งจนในที่สุดเธอก็ล้มลงหมดสติไปบนถนน
“เอายังไงดีครับ หมอนั่นหมดสติไปแล้ว” ธนา ซึ่งขับรถตามมาห่าง ๆ หันไปถามคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง
“ไปเอาตัวขึ้นมา”
“คุณเฟยจะเอาตัวหมอนั่นไปทำไมครับ ผอมบางแบบนั้นถือปืนไม่ไหวหรอก” อีกฝ่ายค้านหัวชนฝาทำให้เฟลิกซ์ต้องปรับโทนเสียงขึ้นเล็กน้อย
“ฉันเพิ่งรู้นะว่านอกจากนายจะเป็นลูกน้องฯ ฉันแล้ว ยังรับบทเป็นเจ้านายฉันด้วย”
“ผมไม่กล้าหรอกครับ” ธนาก้มหน้ารับ รีบลงจากรถไปหิ้วภคมนขึ้นมาวางไว้ตรงเบาะหลังเคียงข้างกับเจ้านาย เฟลิกซ์จ้องมองร่างนั้นอย่างพอใจ เขากางวงแขนแกร่งออกแล้วตวัดร่างเล็กเข้ามานอนลงบนอกกว้าง สายตาที่จ้องมองใบหน้านั้น ธนาเองก็เดาไม่ออกเหมือนกันว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “เอายังไงต่อครับ”
“กลับไปที่บ้านก่อน หมอนี่หายดีเมื่อไหร่ เราค่อยเข้ากรุงเทพฯ”
“ได้ครับ” ธนารับคำด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมเฟลิกซ์ถึงต้องพาเด็กหนุ่มที่ร่างกายอ่อนปวกเปียกแบบนี้กลับไปที่บ้านด้วย ครั้นจะเอ่ยถามเขาก็มักจะถูกเจ้านายบ่นใส่เสียทุกครั้ง
กลิ่นอ่อน ๆ จากเครื่องหอมภายในห้องลอยเข้ามาปะทะจมูกทันทีที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในตอนค่ำเพราะความหิว
“อา...เจ็บไปหมดทั้งตัวเลย” ภคมนพลิกตัวตื่นขึ้นมาแต่กลับรู้สึกว่าไม่อยากจะลุกเลยสักนิดเมื่อสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มของเตียงกว้างที่เธอเพิ่งจะเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรก “อือ...นุ่มจัง กลิ่นก็หอม นี่เรากำลังนอนอยู่บนสวรรค์หรือเปล่าเนี่ย”
“สวรรค์บ้าอะไร นี่มันห้องฉัน” เสียงคุ้นหูที่เธอไม่อยากได้ยินดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้หญิงสาวขยับพลิกตัวไปอีกทางเพราะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป
“ตามมาหลอกมาหลอนถึงในฝันเลยเหรอ”
“ตื่นได้แล้วตะวัน”
“หือ...” ชื่อที่อีกฝ่ายเอ่ยเรียกทำให้ภคมนลืมตาขึ้นมองอีกครั้งก่อนที่เธอจะพบว่าเฟลิกซ์กำลังนั่งไขว่ห้างกอดอก จ้องมองมาที่เธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย “คุณ...คุณมาได้ยังไง”
“ก็นี่มันบ้านฉัน”
“ห้ะ...” คนตัวเล็กผวาวาบ พยายามตั้งสติแล้วกวาดสายตามองไปรอบกายจนรู้ว่าที่ที่เธอนอนอยู่เป็นห้องนอนขนาดใหญ่ของเขา “แล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“นายไม่สบายก็เลยเป็นลมหมดสติไปน่ะ ฉันก็เลยช่วยไว้”
“งั้น...ผมขอบคุณคุณมากนะครับ” ภคมนกระพุ่มมือไหว้แล้วรีบถลาลุกจากเตียงตรงปรี่ไปเปิดประตูห้อง แต่ยังไม่ทันจะก้าวออกไปเธอก็พบว่าข้างนอกมีชายฉกรรจ์สวมสูทดูภูมิฐานกำลังขวางประตูเอาไว้ไม่ให้เธอออกไป
“หลีกไปสิ ผมจะกลับบ้าน”
“ใครอนุญาตให้นายไป” คนตัวสูงกว่าขยับเดินเข้ามาใกล้แล้วกระชากคอเสื้อของเธอจากทางด้านหลังก่อนจะเหวี่ยงเธอกลับมาที่เตียงอีกครั้ง “อย่าลืมสิ นายยังไม่ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้ฉันเลยนะ”
“เงินตั้งห้าแสนผมจะเอามาจากไหนล่ะคุณ”
“ฉันกำลังเสนองานให้นายอยู่นี่ไง” เฟลิกซ์อธิบายอย่างใจเย็น พอได้มาเจอเขาในเวอร์ชันนี้มันทำให้ภคมนรู้สึกว่าเขาไม่ได้น่ากลัวเหมือนในคืนนั้นเลยสักนิด
“งานอะไรของคุณ”
“เป็นพี่เลี้ยงให้ลูกชายฉัน” เขาเข้าประเด็นสนทนาอย่างตรงไปตรงมา
“พี่เลี้ยงเด็กงั้นเหรอ ลูกน้องคุณมีตั้งเยอะทำไมต้องเป็นผมด้วย”
“ก็เพราะว่าฉันเลือกนายไง”
“เลือกผมทำไม ก็ไปบอกเมียคุณสิ เขาไม่ได้ช่วยเลี้ยงลูกเหรอ” ภคมนอึกอักลำบากใจเพราะเธอไม่อยากจะร่วมงานกับเขาด้วยกลัวว่าจะถูกจับได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงในคืนนั้น
“เมียฉันตายแล้ว”
“หือ...” คนตัวเล็กตัวชาหนึบทันทีที่ได้ยินคำตอบและสีหน้าเศร้า ๆ ของอีกฝ่ายจนเธอเกือบจะตกหลุมพรางเห็นใจเขาขึ้นมาแต่ก็ต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “แล้วทำไมคุณไม่ไปจ้างคนอื่น ปล่อยผมไปเถอะ ผมเลี้ยงเด็กไม่เป็น ผมสัญญานะว่าผมจะรีบหาเงินมาใช้คืนให้เร็วที่สุด”
“...” เฟลิกซ์ไม่พูดอะไร เขาได้แต่ขบกรามแน่น จ้องมองคนตัวเล็กลุกจากเตียงไปเปิดประตูอีกครั้ง แต่ทว่าในครั้งนี้ภคมนกลับรู้สึกถึงบางอย่างที่เย็นยะเยือกกำลังจรดอยู่ที่ท้ายทอยเหมือนคืนนั้นไม่มีผิด "ถ้าออกไป...นายตาย"
“อึก” หญิงสาวลอบกลืนน้ำลายเหนียวฝืดลงคออย่างยากลำบาก มือเรียวทั้งสองข้างยกขึ้นเสมอศีรษะก่อนจะหันไปหาเขาช้า ๆ อย่างจำยอม “จะฆ่ากันเลยเหรอคุณ”
“ฉันปล่อยให้นายก้าวขามาแล้ว คิดเหรอว่าจะออกไปง่าย ๆ ถ้าจะไปก็ไปแค่วิญญาณเท่านั้นแหละ”
“นี่มันมัดมือชกกันชัด ๆ”
“แล้วจะทำหรือไม่ทำล่ะ” เขาเอ่ยถามอีกครั้ง ในมือยังถือปืนเอาไว้แน่น
“ทำก็ได้” ในที่สุด คนตัวเล็กก็ต้องรับปากอย่างไม่มีทางเลือก เธอหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องทรุดกายนั่งลงบนเตียงด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ผมมันไม่มีทางเลือกอะไรอยู่แล้วนี่”
“รู้ตัวก็ดี เอาล่ะ...เรามาทำความรู้จักกันก่อนดีกว่า ฉันชื่อเฟยหลงจะเรียกเฟลิกซ์ก็ได้ ส่วนนาย ชื่อตะวันใช่ไหม” เฟลิกซ์เก็บปืนไว้ที่เดิมก่อนจะโยนถุงยาลงข้างๆ สีหน้าของเขาเรียบเฉย ไม่ได้ดูดุกร้าวเลยสักนิด หากแต่การกระทำนั้นมันกลับให้เธอแทบไม่กล้าจะหายใจ “ฉันต้องทำงานอยู่ที่นี่อีกสามสี่วัน ระหว่างนี้นายต้องอยู่ที่นี่ รักษาตัวให้หายดี แล้วฉันจะพากลับกรุงเทพฯ”
“...” หญิงสาวไม่ตอบอะไร เธอปรายตามองถุงยาที่วางอยู่ข้าง ๆ อย่างปลง ๆ
“แล้วรู้ใช่ไหมว่าถ้าหนี มันจะเกิดอะไรขึ้น”
“ขู่ตลอด” เธอบ่นพึมพำแกล้งเสมองไปทางอื่นด้วยสีหน้าที่ยังบึ้งตึงไม่หาย
“อาบน้ำอาบท่าซะ เดี๋ยวจะให้คนเอาข้าวมาให้”
พูดจบเขาก็ออกจากห้องไป ถึงตอนนั้นคนที่นั่งอยู่บนเตียงก็ยกเท้าขึ้นถีบไปที่ประตูเต็มแรง
“ไอ้คิงคองยักษ์ ทำยังไงฉันถึงจะหนีไปจากนายพ้นสักที” ร่างบางเดินไปมาราวกับหนูติดจั่น แวบแรกตั้งใจจะปีนออกไปทางหน้าต่าง แต่แค่แง้มผ้าม่านออกเธอก็พบกับชายชุดสูทเดินป้วนเปี้ยนอยู่เต็มไปหมด คิดไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าถ้าหนีไปแล้วถูกจับได้สภาพศพเธอจะเป็นยังไง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เฟลิกซ์ออกไปเพียงไม่นาน ลูกน้องของเขาก็นำข้าวมาส่งให้พร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าที่เธอเก็บมาจากบ้านของปิ่นสุดา
ดวงตารูปพระจันทร์เสี้ยวเหลือบมองข้าวผัดสับปะรดที่ถูกจัดจานไว้อย่างสวยงามพร้อมกับลอบกลืนน้ำลายด้วยความหิว วินาทีนั้นเธอไม่ได้คิดเลยว่าเขาจะแอบวางยาพิษเพื่อจะฆ่าปิดปาก
“หืม อร่อยจัง” ข้าวคำโตถูกตักเข้าปากด้วยความหิว ใช้เวลาไม่นานมันก็ถูกกินจนหมดเกลี้ยงก่อนที่หญิงสาวจะกินยาแก้ปวดลดไข้ที่เฟลิกซ์จัดหามาให้ เมื่อความหิวบรรเทาลงเธอจึงเปิดกระเป๋าดูเพื่อรื้อหามือถือของตัวเองจะได้ส่งข่าวไปหาต้นไผ่
“หายไปไหน...ถูกอีตานั่นยึดไปอีกแน่ ๆ” มือเรียวกำเข้าหากันแน่น หลังจากที่พยายามรื้อกระเป๋าเพื่อค้นหามือถือแต่ก็ไม่เจอ “โอ๊ย ปวดอีกแล้ว”
ตอนนี้อาการปวดเริ่มกำเริบพร้อมกับอุณหภูมิร่างกายที่พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง เธอจึงต้องพักเรื่องมือถือไว้แล้วรีบเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อหวังให้ไข้มันลดลง
เมื่อถอดผ้าที่พันรัดหน้าอกออกไป ภคมนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เสื้อผ้าถูกแขวนเอาไว้จนเหลือแค่เรือนร่างเปล่าเปลือยอยู่หน้ากระจก เนื้อตัวที่มีแต่บาดแผลทำให้เธอต้องใช้ความระมัดระวังในการอาบน้ำเป็นพิเศษเพราะกลัวว่าแผลจะโดนน้ำ
“อา...แสบจัง”
“ตะวัน” ในขณะที่บรรจงฟอกสบู่บนเนื้อตัวอยู่นั้น เจ้าของห้องก็เคาะประตูเรียกแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงจนเธอสะดุ้งโหยง
“ครับ มีอะไร ผมกำลังอาบน้ำอยู่”
“แล้วทำไมต้องล็อกประตู” เขาเอ่ยถามพลางขยับลูกบิดเพื่อจะดูให้แน่ใจ
“ผมแก้ผ้าอยู่จะให้เปิดได้ไง ถามอะไรบ้า ๆ”
“ในบ้านก็มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น นายจะกลัวอะไร”
“ก็ผมไม่ได้หน้าหนาเหมือนคุณนี่” หญิงสาวค้อนขวับ ข่มความเจ็บปวดตามเนื้อตัวรีบฟอกสบู่ให้เสร็จเรียบร้อยเพราะกลัวว่าเฟลิกซ์จะเปิดประตูเข้ามา “บ้าจริง ใจคอจะไม่ให้ใช้เวลาส่วนตัวเลยรึไง”
คนตัวเล็กบ่นอุบรีบนำผ้ามาพันหน้าอกไว้เหมือนเดิม แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ได้หยิบเสื้อผ้าตัวใหม่เข้ามาด้วย
“โอ๊ย ไอ้แพงเอ๊ย ลืมเสื้อจนได้” หญิงสาวโอดครวญ เธอนำผ้าขนหนูมานุ่งเป็นกระโจมอกไว้แล้วค่อย ๆ ชะโงกหน้าออกไปจากห้องน้ำ เห็นเฟลิกซ์กำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียงหน้าห้องจึงรีบย่องออกมาเพื่อคุ้ยหาเสื้อผ้าในกระเป๋าโดยที่เธอไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งมองการกระทำนั้นอย่างนึกขัน “เจอแล้ว”
พอหยิบเสื้อได้เธอก็รีบคลานเข้าไปในห้องน้ำ ใส่เสื้อผ้าและจัดแต่งทรงผมให้เข้าที่ก่อนจะกลับออกมาอีกครั้ง
“อาบเสร็จแล้วเหรอ” เจ้าของบ้านเอ่ยถาม
“ครับ” ภคมนพยักหน้าตอบ คิดไม่ถึงว่าจังหวะที่เขาเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า เฟลิกซ์จะถอดเสื้อออกจนเผยให้เห็นแผงอกกว้างและกล้ามเนื้อแข็งแรงเป็นมัด ๆ เส้นเลือดที่ปูดโปนบนวงแขนแกร่งนั้นทำให้เธอรีบเบี่ยงสายตาหลบแทบไม่ทัน
“เป็นอะไร ทำไมหน้าซีดขนาดนั้น ไข้ขึ้นอีกเหรอ”
“เอ่อ...ครับ ผมรู้สึกสึกเวียนหัวนิดหน่อยอะ”
“งั้นก็ไม่นอนพักสิ” อีกฝ่ายผายมือไปยังเตียงกว้าง “คืนนี้ฉันยกเตียงให้นาย”
พอพูดจบเจ้าของร่างสูงใหญ่ก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ทำให้ภคมนรีบทิ้งตัวนอนลงบนเตียงด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ภาพกล้ามเนื้อบนร่างกายเขายังติดตาไม่ยอมจางหาย ยิ่งนึกถึง ใบหน้าก็ยิ่งเห่อแดงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“บ้าจริง...คิดอะไรของแกเนี่ยไอ้แพง” ดวงตารูปพระจันทร์เสี้ยวปิดสนิทแน่นเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังคิดอกุศล “อย่าหลงเสน่ห์เขาเด็ดขาด นั่นมันหัวหน้ามาเฟียเลยนะไอ้แพง”
ภคมนพยายามไล่เรื่องไร้สาระออกไปจากหัวแล้วหันมาโฟกัสปัญหาใหญ่ที่เธอต้องพบเจอในตอนนี้ เดาจากการกระทำที่เฟลิกซ์ปฏิบัติต่อเธอเหมือนผู้ชายคนหนึ่งมันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาจำเธอไม่ได้จริง ๆ แบบนี้ถ้าเธอตอบรับข้อเสนอ เธอก็ต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เพราะถ้าเขาจับได้ขึ้นมา งานนี้คงมีแต่ตายกับตาย