เช้าวันต่อมา โจวอวี้หลันตื่นนอนแต่เช้า และนำสำรับยามเช้าไปส่งให้พวกเขาทั้งสองคนที่เรือนใหญ่ ครานี้บรรยากาศเริ่มกระอักกระอ่วนเป็นอย่างยิ่ง หลัวเยี่ยนเจ๋อเองก็เสแสร้งมองไปทางอื่น ด้านหลัวเทียนเฉิงก็ปรายตามองช่วงล่างของนางเป็นระยะๆ
"วันนี้ข้ามีประชุมเช้า และมีงานต้องสะสางต่ออีกหน่อย ฝากเจ้าดูแลอาลู่กับอาชิงด้วยเล่า"
หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน โจวอวี้หลันพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองหลัวเยี่ยนเจ๋อ น่าแปลกที่วันนี้เขาไม่เอ่ยคำต่อว่าถากถางนางเลยแม้แต่น้อย
เมื่อรับสำรับยามเช้าเรียบร้อยแล้ว หลัวเยี่ยนเจ๋อและหลัวเทียนเฉิงก็เดินทางเข้าวังหลวงทันที
การประชุมที่ท้องพระโรงยามนี้ยังคงเป็นหัวข้อเรื่องภัยแล้ง ชาวไร่ชาวสวนต่างปลูกผักทำสวนไม่ได้ อีกทั้งเสบียงก็ยิ่งลดน้อยลงไปทุกวัน แม่น้ำก็เริ่มแห้งขอด ฝนก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล อีกทั้งผู้คนก็เริ่มเจ็บป่วยล้มตายเพราะความอดอยากกันมากขึ้น
"ฝ่าบาท หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะต้องกลายเป็นช่องโหว่ให้แคว้นอื่นคิดรุกรานไท่หยางได้นะพ่ะย่ะค่ะ เสบียงอาหารขาดแคลนถึงเพียงนี้ พระองค์จะไม่ทรงแก้ไขสิ่งใดเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ!!!"
"ฝ่าบาท โปรดสละราชบัลลังก์เถิดพ่ะย่ะค่ะ!!!"
เหล่าขุนนางต่างหมอบกราบอย่างพร้อมเพียงกัน พลางเอ่ยขอให้เขาสละราชบัลลังก์เสีย หลัวเยี่ยนเจ๋อที่เห็นเช่นนั้นจึงตวาดเหล่าขุนนางทันที
"หุบปาก!!พวกเจ้าจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว ทรงมิเห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตาแล้วหรือ!!!"
หลัวเทียนเฉิงเองก็มองเหล่าขุนนางด้วยสายตาที่เย็นชาเช่นเดียวกัน แม้จะเกิดภัยแล้งขึ้น แต่อย่างไรเสียเสด็จพี่ก็ขึ้นครองราชย์ไปแล้ว จะแก้ไขที่ปลายเหตุเช่นนี้คงจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก
หลังจบการประชุมเช้าหลัวม่อเยียนเองก็สั่งให้ทุกคนกลับไปให้หมด แม้แต่หลัวเยี่ยนเจ๋อและหลัวเทียนเฉิง เขาก็ไม่อยากพบ
"อาเยี่ยน พวกเราจะช่วยเสด็จพี่แก้ปัญหานี้เช่นไรดี?"
หลัวเทียนเฉิงหันไปเอ่ยถามหลัวเยี่ยนเจ๋อด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าใดนัก หลัวเยี่ยนเจ๋อครุ่นคิดอยู่คราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นมา
"ที่นอกเมืองหลวง ข้ามีที่ดินทำนาอยู่หลายร้อยหมู่ การเกษตรก็ค่อนข้างดีไม่น้อย อย่างไรเสีย เรานำเสบียงเหล่านั้นมาแจกจ่ายเหล่าชาวบ้านก่อนเถิด ส่วนเรื่องแหล่งน้ำ อีกสองวันข้าจะออกจากเมืองหลวง ไปสำรวจดูเสียหน่อย ว่ายังมีแหล่งน้ำใดที่หลงเหลือให้เราสามารถนำมาใช้สอยได้อีกบ้าง"
"อืม ดียิ่งนัก เช่นนั้นข้าจะไปกับเจ้าด้วย"
"ตกลง"
ด้านหลัวม่อเยียนนั้น ยามนี้ปัญหารายล้อมรุมเร้าเขาเสียจนหาทางออกไม่เจอเสียแล้ว ไม่ว่าจะทำวิธีใด ก็ไม่ส่งผลดีต่อตัวเขาเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งยังเป็นช่องทางให้เหล่าขุนนางโจมตีเขาได้อีกด้วย
"ราชเลขา"
"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"
"ข้าจะออกนอกวังหลวง"
"ฝ่าบาท ยามนี้สถาณการณ์มิสู้ดีเท่าใดนัก กระหม่อมเกรงว่า.."
"หุบปาก!!!"
ราชเลขาที่ถูกหลัวม่อเยียนตะคอกจนตัวสั่นเทิ้ม ก็ไม่กล้าเอ่ยปากทัดทานสิ่งใดอีก ทำได้เพียงเตรียมฉลองพระองค์ของสามัญชนทั่วไปให้แก่หลัวม่อเยียน
หลัวม่อเยียนเดินทางออกนอกวังหลวงพร้อมกับจางไห่องค์รักษ์คนสนิทของเขาเช่นในคราก่อน เขาสวมชุดองค์รักษ์เพื่ออำพรางฐานันดรศักดิ์ของตน ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปที่วัดบนหุบเขาเพื่อไปพบกับนักพรตผู้นั้นด้วยใจที่หวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง
ทันทีที่มาถึง หลัวม่อเยียนก็มุ่งหน้าไปยังอารามหลวงซึ่งเป็นที่พักของนักพรตผู้นั้นทันที น่าแปลกที่วัดนี้ไม่มีไต้ซือหรือสามเณรอาศัยอยู่เลยสักรูปเดียว คราก่อนที่มาเขาเองก็ไม่ทันได้สังเกตให้ดีนัก
แต่ช่างเถิด!นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญที่เขามุ่งหน้ามาถึงที่นี้
"ถวายพระพรฝ่าบาท มีเรื่องใดให้ผู้น้อยรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ"
"ท่านนักพรต ข้าตกลงทำตามที่ท่านบอก"
"ฝ่าบาททรงตัดสินใจดีแล้วหรือ?"
"ข้าตัดสินใจดีแล้ว"
"เช่นนั้นผู้น้อยก็ขอบังอาจกล่าวเตือนพระองค์ถึงพิธีกรรมนี้เสียหน่อย"
หลัวม่อเยียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น แต่ก็พยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงให้นักพรตผู้นั้นเอ่ยต่อได้
"ข้อบังคับที่พระองค์จะต้องทรงกระทำตามอย่างเคร่งครัดก็คือ ข้อหนึ่ง พิธีกรรมนี้จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อถึงคืนที่พระจันทร์สว่างนวลที่สุดเพียงเท่านั้น"
"แล้วข้าจะรู้ได้เช่นไรว่าคืนใดพระจันทร์จะสว่างที่สุด?"
"เรื่องนั้นพระองค์มิต้องทรงเป็นกังวลไปพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมย่อมรู้แน่นอน และจะเตรียมการให้พระองค์เป็นอย่างดี"
"อืม ข้อที่สองเล่า?"
"ข้อที่สอง พระองค์ต้องสังหารสตรีที่มีลักษณะตรงตามที่ตำราโบราณกล่าวเอาไว้ เป็นเครื่องบูชายัญให้แก่ปีศาจมังกร เพราะฮ่องเต้เปรียบเสมือนมังกรผู้ยิ่งใหญ่ ในเมื่อเทพบนสวรรค์ไม่ยอมรับพระองค์ เช่นนั้นก็บูชาปีศาจมังกรให้ช่วยหนุนนำดวงชะตาของพระองค์เสีย มิต้องทรงกังวลใจไปพ่ะย่ะค่ะ ย่อมมิส่งผลร้ายต่อไท่หยางแน่นอน แต่กลับส่งผลดีเสียจนพระองค์คาดไม่ถึงเป็นแน่"
หลัวม่อเยียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามนักพรตชราผู้นั้นอีกครา
"แล้วต้องสังหารพวกนางเช่นไร?"
"ใช้กริชศักดิ์สิทธิ์ปักลงไปที่หัวใจของสตรีผู้นั้น ด้วยมือของพระองค์เอง แลกกับพรหนึ่งข้อ ที่พระองค์จะสมปราถนา แต่ทว่าพิธีกรรมนี้ต้องกระทำถึงสามครั้งติดต่อกันให้ลุล่วงภายในหนึ่งปี จึงจะเห็นผล หากว่าพิธีกรรมถูกทำลายลงก่อนครบสามครั้ง ความวิบัติจะย้อนคืนสู่ตัวพระองค์เอง"
หลัวม่อเยียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นพิธีกรรมที่น่าหวาดกลัวและสยดสยองในคราเดียวกัน
แต่ทว่าความหวาดกลัวที่จะต้องสังหารสตรีเหล่านั้นยังน้อยกว่าการที่เขาไม่คิดจะทำนิ่งใดเลยแล้วจะต้องสูญเสียบัลลังก์ฮ่องเต้ของตนเองไป!!! เขาย่อมกลัวเรื่องนี้มากกว่า!!!
"ข้าต้องทำเช่นนี้ทุกปีหรือ?"
"พ่ะย่ะค่ะ ในหนึ่งปี จะต้องทำพิธีให้ครบสามครั้ง หากผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว นั่นเท่ากับพระองค์จะต้องชดใช้ด้วยชีวิต ได้ยินเช่นนี้แล้ว พระองค์ยังจะทรงตัดสินใจทำพิธีกรรมนี้อีกหรือไม่ การบูชาปีศาจมังกร แน่นอนว่าต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเช่นที่ผู้น้อยกล่าวมาทั้งหมด พระองค์จะต้องทรงรู้เสียก่อนว่า หากพระองค์อยากอยู่บนบัลลังก์มังกรอย่างสงบสุข ย่อมต้องใช้ชีวิตของสตรีเหล่านี้มาหนุนหนำ"
ชีวิตแลกชีวิต!!!
หลัวม่อเยียนกำมือแน่น ยามนี้แม้อากาศจะหนาวเย็น แต่แผ่นหลังของเขากลับเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เขาครุ่นคิดอีกครา ก่อนจะเอ่ยกับนักพรตชราด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
"ตกลง ข้าจะทำตามที่ท่านบอก ข้าจะเชิญท่านนักพรตเข้าวังหลวงไปกับข้า ในฐานะผู้ทรงศีล"
"ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา แต่ผู้น้อยเกรงว่าคงจะไม่เหมาะเท่าใดนัก การจะทำพิธีกรรมนี้ สถานที่ที่ใช้ทำพิธีกรรมจะต้องเงียบสงบ อีกทั้งเห็นแสงจันทร์เด่นชัด ที่นี่ย่อมเหมาะสมกว่าวังหลวงทุกประการพ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อได้ยินท่านนักพรตเอ่ยเช่นนั้น หลัวม่อเยียนก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก หากให้เขาจัดการนำสตรีมาสังหารในวัง ย่อมจะปิดบังความลับนี้ไม่ได้เป็นแน่
"ข้าเห็นด้วยกับเจ้า ว่าแต่เราจะเริ่มพิธีกรรมกันได้เมื่อใดหรือ?"
"อีกสามวันพ่ะย่ะค่ะ"
"เร็วถึงเพียงนั้น!!! แล้วข้าต้องเตรียมสิ่งใดบ้าง?"
"สตรีคนแรกนั้น ต้องเป็นสตรีที่เกิดในเดือนสามยามอิ๋น (03.00-04.59)เป็นช่วงเวลาเกิดที่ดีที่สุด ที่จะเป็นเครื่องบูชายัญเปิดพิธีกรรม นางจะมีผิวกายขาวนวล เรือนกายงดงามอรชร มีไฝที่สะโพกด้านซ้าย อายุต้องไม่เกินสิบแปดปีพ่ะย่ะค่ะ ไม่จำเป็นว่าต้องบริสุทธิ์ ขอเพียงลักษณะเป็นไปตามที่ผู้น้อยเอ่ยมก็พอพ่ะย่ะค่ะ"
"ข้าจะไปหาสตรีเช่นนี้ได้จากที่ใดกัน?"
"ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ สตรีคนแรกต้องมาจากสามัญชน ก็นางกำนัลในวังหลวงของพระองค์อย่างไรเล่า เลือกหามาสักคน ย่อมไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก หากหาไม่พบ ก็ไปหาจากเหล่าสตรีชาวบ้านก็ย่อมได้ แต่กระหม่อมแนะนำว่าให้พระองค์ทรงกระทำการอย่างเงียบเชียบที่สุด และต้องเร่งมือแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพราะเหลือเวลาอีกเพียงสามวันก็จะเข้าสู่ต้นเดือนสามแล้ว"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลัวม่อเยียนก็พยักหน้าอีกครา ในใจของเขาครุ่นคิดบางอย่างขึ้นมาได้
อย่างไรเสียหากต้องเลือกระหว่างชีวิตของพวกนางกับความมั่นคงของไท่หยาง เขาย่อมต้องเลือกไท่หยางแน่นอนอยู่แล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลัวม่อเยียนจึงกลับมาที่วังหลวงเสียก่อน เพื่อคิดหาวิธีการตามหาสตรีนางนั้นตามที่ท่านนักพรตชราบอกเอาไว้ เขาจะต้องทำอย่างรอบคอบและระมัดระวังทุกฝีก้าว
และในเช้าวันต่อมา เขาก็สั่งการลงไปอย่างเงียบๆให้ราชเลขาลงไปตรวจสอบเหล่านางกำนัลที่เข้ามาใหม่ ว่ามีนางกำนัลคนใดตรงตามลักษณะที่ท่านนักพรตชราบอกเอาหรือไม่ โดยบอกเพียงว่านางกำนัลที่เขาต้องการมีดวงชะตาหนุนนำเขา จึงอยากให้นางมาคอยรับใช้ข้างกาย
หลัวเยี่ยนเจ๋อและหลัวเทียนเฉิง เดินทางออกจากเมืองหลวงในอีกสองวันต่อมา โดยมุ่งหน้าไปยังที่นาหลายร้อยหมู่ที่พวกเขามีทางทิศเหนือ เพื่อนำเสบียงกลับมาแจกจ่ายราษฏรที่ในเมืองหลวงไท่หยาง โดยไม่รู้เลยว่าเรื่องราวที่น่าหวาดกลัวกำลังจะเกิดขึ้นในไท่หยางเสียแล้ว