บทที่5) ละไว้ในฐานที่เข้าใจ
ดวงอาทิตย์สีแสดค่อยๆสาดส่องเข้ามาปะทะกับใบหน้าอ่อนหวานสไตล์หญิงไทยแท้ที่ยังคงนั่งอยู่ตรงชิงช้าใกล้พังแหล่มิพังแหล่ตรงชานหน้าบ้านหลังเก่าของเธอ
เกิดมายี่สิบปีน้ำอบไม่เคยมีความรักมาก่อน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคำพูดสารภาพรักเรียบง่ายของนายอินทร์จะทำให้เธอเป็นเอามากถึงขนาดนี้...
"ไอ้นางอาย" น้ำอบเอ่ยเรียกพี่สาวที่เดินกระโผลกกระเผลกมากับ 'โอ่ง องอาจ ศรีบุญผึ้ง' ชายซึ่งเป็นพ่อของเธอด้วยน้ำเสียงซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
"ทำไมลูกทำหน้าอย่างนั้นน้ำอบ" โอ่งเอ่ยถามบุตรสาวคนเล็กที่ปกติจะยิ้มแย้มแจ่มใส่อยู่เสมอด้วยความเป็นห่วง
"มีผู้ชายเขามาสารภาพรักกับน้ำอบจ้ะพ่อ"
น้ำอบตอบบิดาไปตามตรงอย่างไม่คิดปกปิด
"แต่น้ำอบปฏิเสธเขาไปแล้วจ้ะพ่อ"
"ไอ้อินทร์เพื่อนสมัยเรียนช่างกลของนางอายนะจ้ะพ่อ" นางอายเอ่ยแทรกเมื่อสังเกตได้ว่าพ่อกำลังจะซักไซ้ต่อ
"ใช่จ้ะพ่อ" น้ำอบเสริมคำพูดของพี่สาว
"น้ำอบกลัวว่าแม่ของเขาจะเข้ามาวุ่นวายกับครอบครัวเราเหมือนตอนนั้นอีกจ้ะพ่อ น้ำอบก็เลยปฏิเสธเขาไป..."
โอ่งกับนางอายหันมามองหน้ากันด้วยใบหน้ารื้นหยดน้ำตา ในช่วงที่นางอายต้องย้ายที่เรียนใหม่ๆนั้นได้มีคนของแม่นายอินทร์เที่ยวตามรังควาญไม่หยุดหย่อนจนกระทั่งทั้งสามชีวิตต้องย้ายบ้านหนีไปและพึ่งจะย้ายกลับมาอยู่ในบ้านหลังเก่าก็เมื่อช่วงสองปีที่แล้วนี่เอง
"แกชอบไอ้อินทร์ใช่ไหมไอ้น้ำอบ"
"ฉันไม่รู้" น้ำอบที่ในตอนนี้กำลังร้องไห้เช่นเดียวกันช้อนตาขึ้นมองนางอาย
"ฉันรู้แค่ว่าฉันเสียใจที่ปฏิเสธพี่เขาอย่างไร้เยื่อใยไปแบบนั้น แต่อีกใจฉันก็แอบดีใจเพราะการปฏิเสธออกไปตรงๆ แบบนั้นอาจจะทำให้เขาไม่มายุ่งวุ่นวายกับเราอีก"
"ตอนฉันเรียนช่างกลฉันเห็นไอ้อินทร์มันนั่งแยกตัวอยู่คนเดียวทั้งๆ ที่เด็กในห้องมีมากถึงห้าสิบกว่าคน ทีนี้ฉันก็เลยสงสารเลยเข้าไปถามมันว่ามันชื่ออะไรพอมันบอกว่ามันชื่อนายอินทร์ฉันก็แอบแซวมันว่ามันชื่อแปลกเหมือนฉันเพราะฉันชื่อนางอาย จากนั้นเราทั้งสองคนก็สนิทกัน วันดีคืนดีฉันบังเอิญได้เจอกับแม่มันในตอนที่เรากำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวด้วยกัน ทีนี้แม่มันก็ด่ากราดฉันชุดใหญ่ว่าพาลูกเขามากินอาหารสกปรกและบังคับให้คนของเขามัดตัวไอ้อินทร์กลับบ้าน หลังจากนั้นแม่มันก็ตามรังควาญฉันไม่ยอมเลิกจนฉันต้องขอให้พ่อหาที่เรียนใหม่ให้ ฉันก็พึ่งมาคิดได้ทีหลังก็ตอนที่เข้าเรียนที่ใหม่นี่เองว่าแท้จริงแล้วที่ใครไม่อยากจะคุยกับมันไม่ใช่เพราะมันชื่อแปลกเหมือนฉันแต่มันเป็นเพราะตัวแปรสำคัญอย่างแม่มันนี่แหละ"
"..."
"ไอ้อินทร์มันดีจริงฉันยอมรับ แต่ฉันก็อยากจะขอร้องแกแบบตรงๆ เลยว่าอย่าเทใจไปให้มันเลยนะน้ำอบ ฉันไม่อยากที่จะเห็นแกต้องเจ็บปวดอย่างที่ฉันเคยรู้สึก ขนาดฉันที่เป็นแค่เพื่อนกับมันฉันยังปวดใจมากขนาดนั้นแล้วแกที่เป็นน้องสาวฉันจะต้องเสียใจมากขนาดไหนถ้าหากแกเกิดตกลงไปเป็นแฟนกับมันขึ้นมา"
"น้ำอบ" โอ่งเอ่ยขึ้นบ้างหลังจากนิ่งเงียบมาพักใหญ่ๆ "อะไรที่เรารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้น้ำอบก็อย่าฝืนเลยนะลูก"
เขาเป็นพ่อมองตาแว๊บเดียวเขาก็รู้แล้วว่าลูกสาวของตนหลงรักไอ้หนุ่มรูปหล่อคนนั้นเข้าให้แล้วอย่างแน่นอน หากแต่...เขาผู้ซึ่งอาบน้ำร้อนมาก่อนนั้นไม่ปรารถนาที่จะต้องทนเห็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเป็นครั้งที่สองแล้วจริงๆ...
ครอบครัวของเขาเจ็บปวดมามากแล้วกับคำว่าผู้ที่มีฐานะด้อยกว่า...
และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมานายอินทร์ก็ไม่เคยย่างเท้ากลับมาในบ้านหลังเก่าของน้ำอบอีกเลย ในขณะที่นายโอ่งและนางอายก็พากันยิ้มดีใจด้วยว่าในที่สุดพวกตนก็หลุดพ้นจากการเสี่ยงที่จะโดนลอบโจมตีของแม่นายอินทร์ได้แล้วหากแต่น้ำอบนั้นกลับรู้สึกเหงาหงอยขึ้นมาอย่างที่เธอเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นเดียวกัน
ร้านกาแฟแป๊ะเซียะ
"แปะจ๊ะพอดีว่าน้ำอบเห็นรถสิบล้อบรรทุกรถมอไซค์ผ่านมาหลายคันแล้วแปะพอจะรู้ไหมจ๊ะว่าใครจะมาทำธุรกิจอะไรในบ้านของเรา"น้ำอบหันไปถามอาแปะเซียะที่กำลังจิบชาอย่างใคร่รู้
"เห็นเขาว่าอาลูกคุงหนูอาไรสักอย่างนี่แหละเขาจะมาเปิดร้านแต่งรถมอไซค์"
แปะเซียะตอบรับในสิ่งที่หญิงสาวอยากรู้ก่อนจะหันกลับไปจิบชาต่อ
"อ๋อ...จ้ะแปะ" น้ำอบยืนมองรถสิบล้อคันแล้วคันเล่าที่วิ่งผ่านไปอย่างตื่นตาตื่นใจเพราะรถแต่ละคันที่บรรทุกมานั้นสวยขั้นเทพทั้งนั้นจนเธออดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
น่าแปลกตรงที่ร้านกาแฟอาแปะเซียะที่เคยครึกครื้นเพราะมีแก๊งห้าหนุ่มอย่างป้อ,ปื้ด,โป้ง, สามและเดชมาประจำอยู่ที่ร้านทุกเช้า สาย บ่ายและเย็น แต่หลายวันมานี้ร้านกาแฟอาแปะเซียะกลับเงียบเหงาและไร้ซึ่งเงาของคนทั้งห้าที่กล่าวมา
"ทำไมฉันรู้สึกสังหรณ์ใจกับการหายไปของพวกพี่ทั้งห้าคนจังนะ"
ที่ว่าสังหรณ์ใจนั้นไม่ใช่ว่าทั้งห้าได้ไปดีแล้วหากแต่เธอหมายถึงพวกนั้นกำลังแอบทำอะไรกันอยู่แน่ๆต่างหากละ
ห้าหนุ่มหายไปไหนแล้วรถมอเตอร์ไซค์ซิ่งหลายสิบรถบรรทุกนั้นมันมาจากไหนกันแน่นะทุกคน