Prologue (1)

1338 Words
Prologue บริเวณทางเข้าโรงถ่ายทำรายการโทรทัศน์ชื่อดัง ผู้คนหนาตาต่างยืนออกันเพื่อรอเข้าฉาก แสงแดดร้อนแรงในยามบ่ายทำให้ผนังด้านนอกทาสีสันฉูดฉาด ดูสดใสมากเป็นพิเศษ คนที่มาร่วมรายการบางคนเข้าไปรออยู่ด้านใน บางคนก็เลือกฆ่าเวลาด้วยการสูบบุหรี่อยู่ด้านนอก บริเวณใกล้ๆ กันนั้นมีร้านขายขนม รถเข็นขายน้ำหวานกาแฟ และรถเข็นขายผลไม้มาจอดเรียงกันประจำที่รอลูกค้ามาอุดหนุน สายลมยามบ่ายพัดแผ่ว ทำให้มีกลิ่นบุหรี่จางๆ เจืออยู่ในอากาศ หล่อนนั่งตรงม้านั่งหินอ่อนสไตล์ยูนีคหน้าโรงถ่าย ห่างออกมาจากตัวอาคาร หญิงสาวสวมเสื้อแขนกุดสีฟ้าพยับหมอก เข้ากันดีกับกระโปรงทรงเอคลุมเข่าสีชมพูกะปิ คาดเข็มขัดเส้นเล็กน่ารัก ด้านหน้าทำด้วยเหล็กชนิดอ่อนเป็นรูปโบว์สีเงินดูน่ารัก ผมสีดำขลับยาวสลวยถูกรวบครึ่งศีรษะแล้วกลัดด้วยโบว์เล็กๆ สีฟ้า เข้ากันกับสีเสื้อ ทำให้เธอดูสวยหวานชวนมอง หากเจ้าหล่อนกลับนั่งซึมเศร้าอยู่เพียงลำพัง ปภาณพิชญ์ก้มลงมองหน้าจอสมาร์ตโฟนที่ตอนนี้เปิดลิสต์รายชื่อมาถึงชื่อคนๆ หนึ่ง ที่มีความสำคัญกับเธอมาตลอดเวลาทั้งหมดสองปีที่ผ่านมา... แม้ว่าตอนนี้เธอจะไม่ใช่ผู้หญิงคนสำคัญในลำดับที่หนึ่งสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว... แต่สำหรับปภาณพิชญ์นั้น ‘เขา’ เคยเป็นผู้ชายที่สำคัญกับเธออย่างไรทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ไม่มากไป... ไม่น้อยไป... ไม่มีใครมาแทนที่... ‘ความรัก... เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันยังคงอยู่ และยังจะรักอย่างนั้นตลอดไป...’ ประโยคนั้น ‘เขา’ เคยพูดไว้เสมือนเป็นผู้ให้คำมั่น แต่ในวันนี้คำพูดเหล่านั้นของเขามันได้ทำลายความศรัทธาของตัวเขาเองหมดสิ้น เขาเคยพูดอะไรไว้... วันนี้เขาคงลืมมันไปแล้ว หญิงสาวนั่งมองหน้าจอมือถือด้วยใจจดจ่อ การรอคอยที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงที่ตรงไหน... ‘วันนี้ถ้าเขามา จะถือว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ของความรักอีกครั้ง’ หล่อนจะต้องช่วงชิงเขากลับมาให้ได้... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ปภาณพิชญจะงัดทุกไม้เด็ด เฟ้นทุกไม้ตาย เพื่อช่วงชิงคนรักกลับมาให้จงได้ นั่นคือปณิธานของหญิงสาว ปภาณพิชญ์ โชติธนัทหรือโยเกิร์ต ครีเอทีฟสาวบริษัทโฆษณาแนวหน้าวัย 24 ปี เธอเพิ่งบอกลาจากบริษัทแรกที่เธอเริ่มงานหลังจากเรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังหมาดๆ ที่หญิงสาวต้องตัดสินใจโบกมือลาอาชีพที่เธอรักนั่นก็มีสาเหตุมาจากความไม่กินเส้นกับโฉมสุดาเออีสาวจอมเหวี่ยงถึงขั้นถูกภาคทัณฑ์จากหัวหน้าสายงาน มันเป็นเรื่องปกติอยู่ว่าในบริษัทโฆษณานั้น ฝ่ายการตลาดโดยเฉพาะเออีมักจะมีความเห็นไม่ตรงกันกับฝ่ายครีเอทีฟ ใช่ว่าบริษัทต้นสังกัดของปภาณพิชญ์จะเป็นเพียงบริษัทเดียว มันเป็นกันทั้งวงการ กลายเป็นเรื่องธรรมชาติไปแล้ว ไอ้ความไม่ลงรอยกันของฝ่ายการตลาดกับฝ่ายครีเอทีฟในบริษัทโฆษณาหลายๆ แห่ง สาเหตุเพราะฝ่ายหนึ่งมีหน้าที่ดูแลลูกค้า ก็ต้องพยายามทำตามใจลูกค้าเพื่อเป็นการเอาใจและรักษาฐานลูกค้าเอาไว้ไม่ให้เปลี่ยนใจไปใช้บริการบริษัทโฆษณารายอื่นหรือบริษัทคู่แข่ง นั่นถือเป็นเรื่องธรรมชาติของฝ่ายการตลาด แต่ในทางตรงข้ามฝ่ายครีเอทีฟนั้นจะสนใจแต่ผลงานสร้างสรรค์ของตนเองเป็นที่ตั้ง ชนิดที่เรียกว่าเป็นศูนย์กลางจักรวาลเลยก็ว่าได้ ความเห็นเรื่องงานที่ไม่ลงรอยกันระหว่างปภาณพิชญ์กับเพื่อนสาวคนเคยสนิทอย่างโฉมสุดาที่ทำในตำแหน่งเออีดูแลงบโฆษณาของลูกค้ารายใหญ่ ความแค้นเคืองในใจระหว่างกันนั้น จากเรื่องเล็กๆ มันก็สั่งสมมาจนถึงจุดระเบิด คนที่ยอมเป็นฝ่ายจากลาก็คือปภาณพิชญ์ เพราะเธอไม่อยากต้องมีปัญหากับเพื่อนที่เคยรักกันมากอย่างโฉมสุดาอีกต่อไป การถอยกลับมาอาจไม่ใช่คนพ่ายแพ้เสมอไป แต่มันเป็นการถอยเพื่อตั้งหลักใหม่ ในเส้นทางที่ดีกว่าก็เป็นได้ กว่าจะก้าวผ่านมรสุมครั้งใหญ่มาได้ แต่วันนี้ปภาณพิชญ์ก็มีความสุขดี กับการทำงานครีเอทีฟให้ลูกค้า ในลักษณะโฮมออฟฟิศ เพราะงานของเธอถ้ามีฐานลูกค้าเก่าที่รู้จักผลงาน เคยใช้งานมาก่อน ถ้าชอบก็จะส่งงานมาให้ทำอยู่เรื่อยๆ โดยตอนนี้เธอทำงานฟรีแลนซ์ ไม่ต้องขึ้นตรงกับบริษัท แต่ยึดที่ความพึงพอใจในผลงาน นอกจากเรื่องงานเธอยังมีอีกเรื่องที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นั่นคือเรื่องความรัก ปลายทางความฝันของ ‘ลูกผู้หญิง’ หลายๆ คนนั่นก็คือการเป็นเจ้าสาว และสำหรับปภาณพิชญ์แล้ว ผู้ชายที่โชคดีคนนั้นคือปกรณ์ รัมย์ไพประกาศิตหรือพี่หมอกรณ์ นายแพทย์หนุ่มหล่อนามสกุลดัง เธอและเขาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันมาก่อนตั้งแต่วัยมัธยม หลังจากเรียนจบก็ห่างกันจนไม่คิดว่าจะได้กลับมาเจอกันอีก กระทั่งนายแพทย์หนุ่มมาเป็นแพทย์อาสาในโครงการประชาสัมพันธ์โครงการควบคุมโรคติดต่อจากยุงลายของโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่ในขณะนั้นได้ทำแคมเปญร่วมมือกับโลชั่นทากันยุงยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งได้ว่าจ้างบริษัทโฆษณาที่ปภาณพิชญ์สังกัดอยู่ ให้ดูแลเรื่องภาพยนตร์โฆษณา คลอบคลุมถึงการจัดงานอีเว้นท์ และแถลงข่าวเปิดตัวโครงการดังกล่าวของโรงพยาบาลด้วย ซึ่งนั่นเองถือเป็นโอกาสดีที่ทำให้หญิงสาวโคจรกลับมาพบกับนายแพทย์หนุ่มรุ่นพี่อีกครั้ง นับแต่นั้นมาต่างก็สานสัมพันธ์ จากรุ่นพี่-รุ่นน้องกลายเป็นแฟนคลับ กระทั่งพัฒนาความสัมพันธ์ กลายเป็นคู่รักในเวลาต่อมา ถึงปัจจุบันนี้ก็ครบสองปีเต็มๆ ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่น เหมือนว่าปภาณพิชญ์จะได้ตัดเค้กเจ้าสาวในวันแต่งงาน ถ้าไม่เพราะมีมือที่สามอย่างธนิชา เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดเข้ามาคั่นกลางระหว่างความรักของคนทั้งคู่! ‘ทำใจเหอะแก อกหักมันเรื่องธรรมชาติ’ ณฐาเพื่อนสนิทเอ่ยปลอบกลางวงปาร์ตี้ที่กลุ่มเพื่อนสนิทมารวมตัวกันทานข้าวและปาร์ตี้สังสรรค์กันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนเอาไว้อย่างเหนียวแน่นหลังจากที่ต่างคนต่างทำงานหลังจากเรียนจบถ้าไม่นัดปาร์ตี้แบบนี้เดือนละครั้งสองครั้งก็จะไม่มีโอกาสได้อยู่รวมกันแบบนี้เลย ‘ฉันรู้... แต่มันไม่ชินน่ะแก’ ปภาณพิชญ์เอ่ยเสียงเศร้า ‘ตาบวมเป็นกบชุบแป้งทอดละ นอนร้องไห้มากี่วันแล้วล่ะ?’ เพื่อนสาวอีกคนปลอบโยนซึ่งมันเป็นความเป็นห่วงเป็นใยที่ไม่หวานนักแต่เพื่อนที่รักและหวังดีกับปภาณพิชญ์ก็มีไม่น้อยและณฐาก็คือหนึ่งในนั้น ‘สามวัน’ ปภาณพิชญ์ตอบด้วยดวงตาปริ่มจะร้องไห้ ‘เยอะไปนะ... แกให้เวลาไปกับการร้องไห้เพราะผู้ชายแบบนั้นสามวันเชียวหรือ?’ ‘อกหักมันเจ็บนะ’ ‘เสียใจไปใย หาใหม่สิแก... คิดเสียว่าเขาให้โอกาสเรามีแฟนใหม่ แกเองก็ต้องให้โอกาสตัวเองด้วย’ ปภาณพิชญ์กระวนกระวายใจขณะนั่งรออดีตคนรัก ขณะเดียวกันนั้นก็นึกถึงประโยคปลอบใจจากเพื่อนๆ เมื่อรู้ว่าเธอ ‘อกเดาะ’ เพราะพี่หมอเปลี่ยนใจ ‘ถ้าพี่หมอไม่มาตามนัดนั่นก็เพราะเขาหมดรักเราแล้วจริงๆ ไม่เห็นจะมีเหตุผลอื่นเลย’ หญิงสาวบอกตัวเอง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD