ตอนที่ 2
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาสองวันแล้ว ฉันไม่ได้เจอพี่บีไออีกเลย ทั้งที่บอกว่าจะช่วย ที่สำคัญ...ฉันไม่เคยได้พบเจ้าชายกับเพื่อนคนอื่นๆ ของเขาอีกเลย ถามใครก็ไม่มีใครให้คำตอบฉันแม้แต่คนเดียว ทุกคนดูไม่เป็นมิตรกับฉันเลยสักคน และวันนี้ก็เป็นวันที่สามแล้ว...ที่ฉันนั่งทานข้าวในโรงอาหารคนเดียว
“จดหมายรักก็ฝากคุณครูเอาไปให้แล้ว ไม่รู้เจ้าชายจะได้รับหรือยังนะ ไม่เห็นติดต่อกลับมาเลย” ฉันพึมพำอย่างเศร้าใจพลางเขี่ยข้าวในจานเล่น เมื่อเช้าฉันตัดสินใจเอาจดหมายรักที่นั่งเขียนเองทั้งคืนไปฝากคุณครูให้กับเจ้าชาย เพราะไม่รู้จะเอาไปให้ด้วยตัวเองยังไง
“ถึงเราจะเขียนภาษาไทยไม่เก่งแต่เราก็พูดได้ดี ถ้ามีบางคำเขียนผิดไว้ค่อยไปบอกใหม่เป็นคำพูดก็ได้นี่เนอะ” ฉันพูดกับตัวเองด้วยความมุ่งมั่น เพราะอันที่จริงตอนนั่งเขียนจดหมายเมื่อคืนฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองจะเขียนถูกหรือเปล่า ภาษาไทยเขียนยากกว่าภาษานอร์ก้าตั้งเยอะ
ตึง!
“ว้าย!” ฉันสะดุ้งและร้องเสียงหลงอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ ก็มีมือปริศนามาตบโต๊ะอาหารที่ฉันนั่งอยู่จนเกิดเสียงดังลั่น ทุกคนรอบๆ หยุดการเคลื่อนไหวของตัวเองแล้วมองตรงมายังฉันกับเจ้าของมือปริศนา
“จะ...เจ้าชาย” ฉันเรียกเจ้าชายด้วยเสียงสั่นเทา ตื่นเต้นที่สุดเลย เจ้าชายมาอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว >Oห้องสภานักเรียน
“เธอนี่จริงๆ เลย ยืนให้พวกนั้นรังแกแบบนี้ได้ยังไง” พี่บีโอเจ้าของเรือนผมสีเงินพูดขึ้นพร้อมกับมองฉันด้วยแววตาดุๆ
“ฉันขอโทษค่ะ แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องทำยังไง” ฉันก้มหัวขอโทษ ก่อนจะกระชับเสื้อสูทของพี่บีไอที่สวมคลุมอยู่ให้แน่นขึ้น แอร์ห้องนี้เย็นจังเลย...
“บีเอ็ม ปิดแอร์” พี่บีเอ...ผู้ชายที่อยู่ใน ชุดยูคาตะเอ่ยขึ้น พี่บีเอ็มที่หัวเราะตลอดเวลาจึงเดินไปปิดแอร์ทันที
“ขอบคุณค่ะ” ฉันหันไปโค้งหัวให้พี่บีเอเล็กน้อย แต่พี่บีเอกลับหันหน้าหนีไปอีกทางอย่างไม่สนใจ
“เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะจดหมายรักที่เธอส่งให้บีวายใช่หรือเปล่า” พี่บีไอถามพร้อมกับส่งนมอุ่นๆ แก้วหนึ่งให้ฉัน พูดถึงจดหมายรัก...เจ้าชายโมโหขนาดนั้นเพราะจดหมายรักของฉันงั้นเหรอ...
“ค่ะ”
“ไอ้จดหมายที่ขอให้มาเป็นชู้รักกันน่ะนะ อย่าบอกนะว่าของเธอ!”
พี่บีโอชี้มาที่ฉันอย่างตกใจ และดูท่าว่าจะตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อฉันพยักหน้ารับ
“เธอบ้าไปแล้วหรือไง ถึงได้มาชวนเพื่อนฉันเป็นชู้รัก หา!”
“ทำไมล่ะคะ หรือว่าการที่ผู้หญิงขอผู้ชายเป็นชู้รักก่อนมันผิดมาก ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันก็ขอโทษ เพราะฉันไม่รู้ธรรมเนียมของประเทศไทยเลยสักอย่าง” ฉันรีบกล่าวขอโทษขอโพย ลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย บางทีที่ประเทศไทยอาจจะห้ามผู้หญิงไม่ให้ขอผู้ชายเป็นชู้รักก่อนก็ได้
“เธอนี่พูดจาไม่รู้เรื่องว่ะ” พี่บีโอทำหน้าเหยเกก่อนจะลุกขึ้นเดินไปนั่งบนขอบหน้าต่างแทน
“เธอ...ไม่ใช่คนไทยเหรอ” พี่บีเอถามน้ำเสียงเยือกเย็นน่ากลัว ทำไมมีแต่คนแปลกๆ ทั้งนั้นเลยนะ
“ค่ะ ฉันเป็นคนนอร์...”
“.....”
“นอร์เวย์ค่ะ”
“คนนอร์เวย์หน้าตาแบบนี้เหรอ -*-“ พูดจบพี่บีเอ็มก็ก้มหน้าลงมาใกล้ๆ ฉันจนหน้าผากแตะกัน ฉันรีบผลักพี่บีเอ็มออกห่างแล้วกระโดดขึ้นไปนั่งยองๆ อยู่บนโซฟาอย่างตกใจ
“ตกใจเหรอ ฉันขอโทษ แบบว่า...ลืมตัว >_<”
ฉันพยักหน้ารับคำขอโทษ แต่ก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้
“เธอไม่ใช่คนไทย แสดงว่าเขียนภาษาไทยไม่เก่ง แล้วก็รู้คำศัพท์ไทยไม่เยอะน่ะสิ” พี่บีไอถามพลางเดินมานั่งลงข้างๆ เหมือนจะเป็นเกราะกำบังพี่บีเอ็มให้ฉัน นั่งใกล้ๆ พี่บีไอก็ไม่ต่างอะไรจากที่พี่บีเอ็มเอาหน้าผากมาแตะฉันเลยนะ ทำให้ใจเต้นพอกันเลย...
“ค่ะ ฉันพูดภาษาไทยได้อย่างเดียว แต่ยังเขียนและอ่านไม่ค่อยได้ คำศัพท์ก็รู้ไม่เยอะด้วย” ฉันตอบเสียงอ่อนตามความจริง ที่ประเทศของฉันมีนักท่องเที่ยวชาวไทยมาเที่ยวเยอะ เสด็จแม่ก็เลยให้ฝึกพูดภาษาไทยไว้บ้าง ฉันเลยพอพูดได้แม้จะไม่เก่งเหมือนเจ้าของภาษาก็ตาม
“งั้นก็เป็นไปได้ที่คำว่าชู้รักนั่นเธอจะเขียนผิด”
ฉันรีบส่ายหน้าเมื่อพี่บีเอพูดจบ ฉันดูมาดีแล้ว คำนั้นต้องเป็นคำว่าชู้รักไม่ผิดแน่!
“ไม่นะคะ ฉันมั่นใจว่าฉันเขียนถูก เจ้าชาย...เอ่อ...รุ่นพี่ยังอ่านออกเสียงมาว่าชู้รักอยู่เลย!”
“นี่เธอจะบอกว่าเธอตั้งใจจะขอเพื่อนฉันเป็นชู้รักจริงๆ เหรอ ยัยโรคจิต!”
ฉันเอียงคอมองพี่บีโออย่างงงๆ ที่จู่ๆ ก็โมโหขึ้นมาอีก
“นี่...ฟังนะมู่หลาน คำว่าชู้รัก ที่ประเทศไทยน่ะมันหมายถึง...แอบคบกับผู้หญิงที่มีสามีแล้ว หรือไม่ก็แอบคบกับผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว” พี่บีไออธิบาย
“เอ๋! ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย และฉันก็ยังไม่มีพระสวามีด้วย”
“พระสวามี?”
“ฉันหมายถึงสามีน่ะค่ะ” ฉันรีบพูดใหม่ พักหลังฉันลืมตัวบ่อยเหลือเกิน ขืนเป็นแบบนี้หลายๆ ครั้งเข้าต้องแย่แน่ๆ เลย
“งั้นเธอตั้งใจจะเขียนคำว่าอะไรเหรอ” พี่บีเอ็มที่แยกไปนั่งกับพี่บีโอถาม
“ฉันตั้งใจจะเขียนบอกรุ่นพี่ว่า...มา...มาเป็นแฟนกัน...แบบนั้นน่ะค่ะ” ฉันก้มหน้าตอบ เขินจังเลย...
“แฟน? หรือเธอตั้งใจจะเขียนคำว่า...คู่รัก?” พี่บีเอถาม
“อ๊ะ! ต้องเป็นคำนั้นแน่ๆ เลยค่ะ ใช่แล้ว คำว่าคู่รักน่ะค่ะ” ฉันเงยหน้ายิ้มอย่างดีใจ ในที่สุดก็รู้แล้วว่าเขียนผิดคำไหนไป เฮ้อ...โล่งอก
“โอ๊ย...ประสาทจะกิน อยู่กับยัยนี่นานๆ ฉันต้องบ้าตายสักวันแน่ๆ”
“พี่บีโออยากทานปราสาทเหรอคะ? นั่นมันทานไม่ได้นะ! ปราสาททำจากอิฐจากปูน ขืนทานเข้าไปล่ะท้องเสียแย่เลย” ฉันรีบแย้งอย่างตกใจ แต่พี่บีโอกลับทำหน้าเหมือนคนอยากจะตาย ฉันพูดอะไรผิดอีกหรือเปล่านะ T_T ก็ปราสาทมันทานไม่ได้จริงๆ นี่นา มนุษย์เขาไม่ทานกันหรอก...
“งั้นแบบนี้ก็เป็นไปได้ว่า...คำว่าฉันลากเจ้าชายต้นตอแยกพบ อาจจะหมายถึง...” พี่บีไอพูดค้างไว้
“ฉันรักเจ้าชายตั้งแต่แรกพบ มาเป็นคู่รักกันได้มั้ยคะ” พี่บีเอต่อประโยคให้จนจบ
“ใช่แล้วค่ะ ประโยคนี้แหละที่ฉันจะเขียน” ฉันรีบบอกอย่างดีใจ จะว่าไปก็ผิดไปแค่ไม่กี่คำเองนี่นา แสดงว่าฉันก็ยังพอมีหัวเรื่องภาษาไทยอยู่บ้าง ดีใจจัง! สเตล่าต้องภูมิใจแน่ๆ
“อ๋อย +_+ น้องคนนี้ทำเอาฉันหมดแรงเลยว่ะ มึนตึ้บ!” พี่บีเอ็มพูดขึ้นก่อนจะเกาะกำแพงไว้เหมือนคนหมดแรง
“พี่บีไอ ฉันทำอะไรผิดเหรอคะ?” ฉันเอียงคอถามพี่บีไอที่ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ มาให้
เอ๋? ตกลงฉันทำอะไรผิดล่ะเนี่ย...
หลังจากเคลียร์เรื่องในจดหมายเสร็จเรียบร้อย พี่บีไอก็อาสามาส่งฉันที่ห้องเพราะกลัวนักเรียนคนอื่นๆ จะรังแกฉันอีก ส่วนเจ้าชายของฉัน...เขาหายไปเลยตั้งแต่เอาจดหมายรักมาคืน เขาต้องโกรธมากแน่ๆ ที่ฉันเขียนภาษาไทยผิด
“พี่บีไอคะ?”
“คะ? ว่าไง”
“เจ้าชาย เอ่อ...รุ่นพี่โกรธฉันมากเลยเหรอคะ”
พี่บีไอหยุดเดิน เขาก้มหน้าลงจนฉันรู้สึกว่าบรรยากาศมันหม่นๆ ลงไปเยอะ แสดงว่าเจ้าชายต้องโกรธฉันมากแน่ๆ เลย พี่บีไอถึงได้คอตกซะขนาดนี้...
“ไม่หรอกค่ะ บีวายมันโกรธคนน่ารักอย่างมู่หลานไม่ลงหรอก ไม่ต้องเครียดนะ เดี๋ยวพี่จัดการทุกอย่างให้เอง ^^”
ฉันหลับตาเมื่อพี่บีไอยื่นมือมายีหัวฉันเบาๆ ความอบอุ่นประหลาดที่ฉันไม่เคยสัมผัสมาก่อนแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ถ้าเจ้าชายของฉัน...อ่อนโยนแล้วก็อบอุ่นแบบพี่บีไอก็คงดีน่ะสิ อย่างน้อยก็สักครึ่งหนึ่ง ไม่ใช่ใจร้ายเหมือนพ่อมดแบบนั้น เฮ้อ...
หลังจากไปสงบสติอารมณ์ที่เดือดพล่านของตัวเองบนดาดฟ้าที่ประจำแล้วบีวายก็กลับเข้ามาที่ห้องสภานักเรียน ซึ่งมีเพื่อนๆ ของเขานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่ทั้งสี่คนเห็นบีวาย บีไอเป็นคนแรกที่เดินไปลากคอเขามานั่งด้วยกัน
“อะไรของแกวะ นึกอยากลากฉันอีกคนหรือไง =_=”
“ลากไปฆ่าน่ะสิไอ้เวร แกรู้ตัวมั้ยวะว่าทำอะไรลงไป” บีไอตวาดเสียงดังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บีวายหันมองเขาด้วยใบหน้างุนงง เพราะบีไอไม่เคยขึ้นเสียงใส่เขาแบบนี้
“ฉันทำอะไร =_=”
“ไปด่าน้องมู่หลาน ฉีกจดหมายน้องเขาแถมยังปาใส่หน้าอีก ใจร้ายเกินไปมั้ยวะ!”
ตอนนี้ไม่ใช่แค่บีวายแล้วที่เริ่มมองบีไอด้วยความแปลกใจ บีโอ บีเอ และบีเอ็มก็มองเขาด้วยสายตาเดียวกัน
“แล้วทำไมแกต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจอะไรด้วย ชอบยัยเด็กนั่นหรือไง =_=” บีวายมองบีไอลอดแว่นตาอย่างจับผิด บีไอรีบปฏิเสธเป็นพัลวันพลางลุกขึ้นแล้วเดินไปอีกทางอย่างลุกลี้ลุกลน
“เปล่านะเว้ย ฉันก็แค่...สงสารน้องเขา มู่หลานไม่ใช่คนไทย เธอเพิ่งย้ายมาจากนอร์เวย์ เพื่อนก็ไม่มีสักคน กินข้าวคนเดียวมาสามวันแล้วด้วย แถมยังโดนคนอื่นๆ แกล้งอีก แกไม่สงสารน้องเขาบ้างเหรอวะ” บีไอพยายามหาเหตุผลหลังจากที่เขาเฝ้ามองมู่หลานตลอดสามวันที่ผ่านมา
“เพราะนิสัยประหลาดก็เลยไม่มีใครคบน่ะสิ ว่าแต่...ทำไมแกรู้ดีจัง ทำอย่างกับเฝ้ามองยัยเด็กเพี้ยนนั่นอยู่ตลอดงั้นแหละ” บีวายจู่โจมต่ออีกหนึ่งประโยค ทำเอาบีไอสะอึกไปทันที
“บีวายพูดถูกว่ะ หรือว่า...แกแอบชอบยัยเด็กลักลอบเข้าประเทศนั่น!” บีเอ็มแกล้งแซว แต่กลับโดนบีไอฟาดไม้เบสบอลเข้าที่กลางหลังจนล้มกลิ้งไปกับพื้น
“หุบปากไปเลยไอ้เพี้ยน!”
“บีไอง่ะ ใจร้ายยยย T^T”