บทที่ 2
ตรวจสินค้า (1)
ลู่ฟางเหนียงป้อนยาให้ผู้เป็นบิดาเสร็จก็เดินออกมาที่สวนหลังบ้าน ผักที่นางปลูกเอาไว้ก่อนหน้าถูกเก็บเกี่ยวไปเกือบหมดแล้ว คาดว่าคงขายอีกเพียงไม่กี่วันก็น่าจะหมดแล้ว แต่ที่สำคัญตอนนี้นางไม่มีสถานที่ที่จะไปขายผักขายไข่แล้ว
“พี่ใหญ่”
เสียงลู่ฟางหรงน้องสาววัยสิบสามปีของลู่ฟางเหนียงเอ่ยเรียกขานด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“ท่านพ่อหลับแล้วหรือหรงเอ๋อร์”
ลู่ฟางเหนียงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มบางๆ แต่ลู่ฟางหรงรู้ดีว่าภายใต้รอยยิ้มผ่อนคลายของพี่สาวนั้นนางมีความกังวลใจเพียงใด
“หลับแล้วเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ท่านมีเรื่องไม่สบายใจใช่หรือไม่”
“เด็กโง่ ข้าจะมีเรื่องไม่สบายใจอะไรกัน”
ลู่ฟางเหนียงเอ่ยบอกพร้อมกับเดินเข้าไปหยิบจอบเพื่อเตรียมขึ้นแปลงผักอันใหม่ทดแทนแปลงเดิมที่นางเก็บไปหมดแล้ว แม้ตอนนี้นางยังหาสถานที่สำหรับขายผักขายไข่ไม่ได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอนาคตนางจะหาไม่ได้เสียหน่อย ลู่ฟางหรงเห็นผู้เป็นพี่บ่ายเบี่ยงไม่เอ่ยบอกความทุกข์ใจนางก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อให้มากความ เร่งหยิบจอบเล็กอีกอันเดินตามผู้เป็นพี่ไปขึ้นแปลงผักอีกคน
เพียงแต่ผ่านมาเจ็ดวันแล้วลู่ฟางเหนียงก็ยังไม่สามารถหาสถานที่ใหม่เพื่อตั้งแผงขายผักขายไข่ได้ มือบางวางที่เอวเล็กสัมผัสถุงเงินที่อยู่ด้านในด้วยใจกังวล หากในอีกเจ็ดวันนางไม่อาจหาเงินมาเติมใส่ถุงนอกจากไม่อาจซื้อยามารักษาบิดาเกรงว่าแม้แต่ข้าวสารก็คงไม่มีให้หุงกินคนตัวเล็กเดินทอดน่องอยู่ในตลาดหางตาพลันเห็นป้ายรับสมัครสาวใช้ชั่วคราวของสกุลหลิว นางหยุดอ่านอยู่ชั่วครู่ก็ขวดคิ้วเล็ก ก้าวเท้าเดินไปยังทางเดินต่อพลางขบคิด
“นี่พวกเจ้าเห็นประกาศรับสมัครสาวใช้สกุลหลิวแล้วหรือยัง”
เสียงหญิงสาวกลุ่มหนึ่งเอ่ยสนทนากันที่หน้าร้านขายเครื่องประทินโฉมดึงความสนใจของลู่ฟางเหนียงให้หยุดชะงักเท้าลอบแอบฟัง
“แน่นอนว่าข้าไปลงชื่อเรียบร้อยแล้ว เจ้าเล่าไปลงชื่อไว้หรือยังได้ยินว่าฮูหยินหลิวใจกว้างมีเมตตายิ่ง สาวใช้ในเรือนล้วนไม่เคยมีใครถูกโบยหรือทำร้ายร่างกายเลยสักคน”
“แน่นอนว่าข้าลงชื่อไปแล้ว”
ลู่ฟางเหนียงลอบฟังคนสนทนาด้วยใจสับสน ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น นางไม่อยากเป็นสาวใช้ของผู้อื่น แต่ที่บ้านยังมีเรื่องต้องใช้จ่าย ถึงแม้นางไม่อยากรับใช้ผู้อื่นแต่ก็ย่อมดีกว่าพากันอดตายไปทั้งเรือน สุดท้ายสามวันถัดมาลู่ฟางเหนียงก็มาอยู่ในจวนสกุลหลิวในฐานะสาวใช้คนใหม่ของจวน
“เจ้าทำอะไรได้บ้าง”
“ข้าทำความสะอาดเรือนได้ ช่วยทำอาหารได้ และอ่านหนังสือได้เจ้าค่ะ”
“อ่านหนังสือได้ด้วยรึ”
ลู่ฟางเหนียงก้มหน้าขานรับตอบคำถามพ่อบ้านสกุลหลิว แม้นางจะเป็นเพียงชาวบ้านที่ยึดอาชีพทำนา ปลูกผัก เลี้ยงไก่ แต่บิดาของนางเคยเรียนหนังสือมาก่อน เพียงแต่ครอบครัวบิดานั้นยากจน ยามที่บิดาต้องไปสอบเป็นขุนนางนั้นไม่มีเงินส่งเสริม วันเวลาผ่านไปนานวันเข้าบิดาของนางก็ถอดใจแล้วหันกลับมาลงแรงทำนา ปลูกผักแทน ดังนั้นตัวนางที่นอกจะทำนา ปลูกผักได้แล้ว เรื่องอ่านเขียนอักษรก็ล้วนได้บิดาสอนสั่งมาตั้งแต่เริ่มจำความได้
“เช่นนั้นเจ้าก็รับหน้าที่ทำความสะอาดที่ห้องหนังสือคุณชายใหญ่ก็แล้วกัน”
นับจากวันนั้นมาลู่ฟางเหนียงก็มาทำงานที่จวนสกุลหลิวในฐานะสาวใช้ชั่วคราว โดยสถานะสาวใช้ชั่วคราวนี้จะทำงานแบบเช้ามาเย็นกลับ ไม่ได้อยู่รับใช้ตลอดเช่นสาวใช้ที่ขายขาดให้จวนสกุลหลิว เพียงแต่ทำงานมาร่วมเจ็ดวันแล้วนางกลับไม่เคยพบคุณชายทั้งสามของจวนเลย
................................
ฮูหยินหลิวเอนกายให้สาวใช้คนสนิทบีบนวด ดวงตาเฉียบคมปิดลงพร้อมกับเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ
“วันนี้อาคังจะกลับมากินข้าวเย็นที่จวน เจ้าไปบอกคนครัวให้ทำของโปรดของเขาสักสี่ห้าอย่าง”
“เจ้าค่ะ”
ฮูหยินหลิวเอ่ยจบก็หลับตาลงนอนพักผ่อน ตัวนางนั้นแม้มีบุตรชายถึงสามคนแต่ก็เหมือนไม่มีสักคน ด้วยเพราะกิจการสกุลที่มากมายทำให้บรรดาลูกชายทั้งสามของนางต้องออกไปควบคุมดูแล โดยจะผลัดเปลี่ยนกันกลับบ้านมาอยู่ที่บ้านคนละเจ็ดวันต่อเดือนเพื่อไม่ให้มารดาเช่นนางรู้สึกเหงาจนเกินไป และวันนี้ก็เป็นกำหนดการของหลิวเฉินคังลูกชายคนโตของนางที่ต้องกลับมาอยู่บ้าน
................................
ต้นยามเซิน (ยามเซิน เท่ากับ เวลา 15.00 น. จนถึง 16.59 น.) รถม้าประทับตราสกุลหลิวก็ขับมาหยุดที่หน้าจวน หลิวเฉินคังก้าวลงจากรถม้าโดยมีห้าวอี้หอบเอกสารอีกกองใหญ่เดินตามหลัง
“เอาไปเก็บที่ห้องหนังสือ ข้าจะแวะไปคำนับท่านแม่ก่อนแล้วจึงจะตามไป”
ห้าวอี้รับคำแล้วเดินแยกไปทางเรือนพักของคุณชายใหญ่ ขณะที่หลิวเฉินคังแยกตัวไปหามารดาหลังสนทนาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอยู่ครึ่งชั่วยามจึงกลับไปพักที่เรือนของตน (หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง)
ลู่ฟางเหนียงเก็บหนังสือของคุณชายใหญ่ที่นางเอามาตากแดดตั้งแต่ยามเช้าใส่ตะกร้าใบใหญ่ยกขึ้นใส่บ่าเล็กก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในห้องหนังสือของคุณชายใหญ่อีกครั้ง เพียงแต่ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาคิ้วเล็กก็พลันขมวดมุ่น
หนังสือพวกนี้มาจากที่ไหนกัน หรือท่านพ่อบ้านจะเอาหนังสือของคุณชายใหญ่มาให้ข้าเก็บเพิ่ม
ลู่ฟางเหนียงคาดเดาได้เช่นนั้นก็ไม่ติดใจอะไรอีก นางจัดการนำหนังสือที่นำออกไปตากไล่ความชื้นเก็บเข้าที่ก่อนจะเดินกลับมาที่หนังสือกองใหม่ มือบางค่อยๆ เปิดอ่านหนังสือตรงหน้าทีละเล่มเพื่อจัดการแยกหมวดหมู่
ยอดสั่งซื้อ... บัญชีร้านหรือ
คิ้วเรียวขมวดสงสัย นางเองก็เป็นคนค้าขาย แม้ไม่ได้มีกิจการใหญ่โตแต่เรื่องการคิดคำนวณนั่นนางนับว่ารวดเร็วไม่น้อย ที่สำคัญนางยังชื่นชอบเป็นพิเศษ ดังนั้นยามเห็นยอดต่างๆ ในบัญชีตรงหน้าสายตาหวานก็กวาดมองแล้วขบคิดตามอย่างเพลิดเพลิน
หลิวเฉินคังเดินมาถึงหน้าห้องหนังสือของตนเองแล้วพลันชะงักเท้าทันทีที่เห็นประตูห้องหนังสือเปิดอยู่ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น ลางสังหรณ์บางอย่างเกิดขึ้นในใจสองเท้าจึงเร่งก้าวเร็วขึ้น และทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องหนังสือของตน สายตาคมดุก็มองเห็นสตรีนางหนึ่งกำลังลอบอ่านเอกสารบัญชีร้านของเขา
บัญชีร้านที่เขานำมาตรวจสอบวันนี้ลงรายละเอียดการซื้อขายเอาไว้อย่างละเอียด และทุกสิ่งล้วนเป็นความลับสูงสุดของสกุลหลิว เช่นนี้แล้วนางย่อมเป็นสายลับที่สกุลอื่นส่งมาสืบความลับของเขาอย่างแน่นอน สองเท้าหนักพุ่งตรงไปหานางในทันที ลู่ฟางเหนียงที่กำลังจมอยู่กับการคิดคำนวณตัวเลขในบัญชี ไม่ทันรู้ตัวข้อมือเล็กที่กำตำราก็ถูกกระชากอย่างแรงจนนางหมุนตัวตามแรงฉุดรั้งนั้น ใบหน้างามกระแทกเข้ากับอกแกร่ง หนังสือในมือก็พลันหลุดตกไปที่พื้น
“เจ้าเป็นใคร!”
หลิวเฉินคังเอ่ยน้ำเสียงก้าวร้าวดุดัน สายตาคมมองใบหน้ากลมหวานที่ดูคุ้นเคยตรงหน้าก่อนจะนึกได้ว่านางคือหญิงขายผักหน้าร้านข้าวสารสกุลหลิว เขาขบกรามแน่น ดวงตาคมจดจ้องนางอย่างคาดคั้น
ที่แท้นางแอบติดตามสืบความเขามาโดยตลอด
“ใครส่งเจ้ามา"
หลิวเฉินคังเอ่ยถามลอดไรฟัน ใบหน้าคมดุดันมองนางราวกับจะสังหารนางเพียงกะพริบตา ลู่ฟางเหนียงที่มึนงงกับเหตุการณ์กะทันหันตรงหน้า ถูกแรงบีบที่ข้อมือซ้ายทำให้สติกลับคืนมาโดยเร็ว ประเมินจากการแต่งกายแล้วคนตรงหน้าย่อมไม่ใช่บ่าวในจวน เช่นนั้นแล้วบุรุษที่แต่งกายดี มีท่าทางทรงอำนาจ และสามารถเดินเข้ามาในเรือนคุณชายใหญ่ได้เช่นนี้ คนผู้นี้ย่อมต้องเป็น…
“เรียนคุณชาย ข้าเป็นสาวใช้ชื่อลู่ฟางเหนียง ท่านพ่อบ้านส่งข้ามาทำความสะอาดเรือนของคุณชายเจ้าค่ะ”
ลู่ฟางเหนียงตอบคำถามทั้งสองประโยคของเขาในประโยคเดียว ใบหน้างามก้มลงมองต่ำ เอ่ยน้ำเสียงนอบน้อมด้วยท่าทางถ่อมตน ได้ยินว่าบรรดาคุณหนูคุณชายไม่ชอบให้บ่าวรับใช้เช่นพวกนางมองหน้า เช่นนั้นเพื่อมิให้ตนเองตกที่นั่งลำบากลู่ฟางเหนียงจึงเลือกที่จะก้มหน้าหลบสายตาอีกฝ่าย เพียงแต่เพราะท่าทางของอีกฝ่ายแฝงไปด้วยความกดดันร่างกายของนางจึงตื่นกลัวสั่นระริกอย่างมิอาจควบคุม
“โกหก!”
หลิวเฉินคังเห็นท่าทางตื่นกลัวหลบสายตาของนางก็ตวาดเสียงดังก้อง
แค่โกหกยังทำได้ย่ำแย่ คนเช่นนี้เอาความกล้าใดมาเป็นสายลับสืบความให้ผู้อื่นกัน
สาวใช้ในเรือนเขามีไม่มากและเขาจดจำได้ว่าไม่มีคนใดแซ่ลู่ มือหนาเพิ่มแรงบีบที่ข้อมือเล็กมากขึ้นจนดวงตาหวานมีหยาดน้ำตาคลอ ทว่าก็ยังคงข่มกลั้นก้อนสะอื้นในอกเอาไว้ แล้วเอ่ยยืนยันความบริสุทธิ์ของตน
“ขะ... ข้าไม่ได้โกหกเจ้าคะ”
ลู่ฟางเหนียงเริ่มหวาดกลัวคนตรงหน้ามากขึ้นมา สองเท้าจึงพยายามขยับถอยห่างตามสัญชาตญาณ เพียงแต่ในยามที่ในใจมีความหวาดกลัวครอบงำจนตัวสั่น จากคนที่ระมัดระวังรอบคอบก็กลายเป็นคนซุ่มซ่ามยกเท้าไม่พ้นพรมเสียหลักล้มหงายหลังลงบนพื้นกลางห้อง มือเรียวเร่งไขว่คว้าหาหลักยึด สุดท้ายจึงคว้าไปที่ต้นคอของคนตรงหน้าตามสัญชาตญาณ หลิวเฉินคังไม่ทันตั้งตัวถูกคนซุ่มซ่ามดึงรั้งกะทันหันก็เสียหลักล้มลงทับร่างบาง
“อ่ะ!”
ร่างกายของคุณชายใหญ่หลิวร้อนผ่าวไปทั้งตัว เมื่อตระหนักได้ว่าสิ่งที่รองรับใบหน้าของเขามิให้กระแทกพื้นคือ...
หน้าอก! นางตัวเล็กแค่นี้เหตุใดหน้าอกจึงใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้
หลิวเฉินคังสลัดความคิดอันชั่วร้ายของตน แล้ววางมือลงบนพื้นเรือนหมายใจดันตัวขึ้น หากแต่ร่างกายคล้ายไม่ฟังคำสั่งเขาชั่วคราว ใบหน้าคมก็ไม่ยอมขยับถอย อีกทั้งยังขยับไปมาบนอกนุ่ม จนสาบเสื้อตัวนอกของนางหลุดลุ่ยเผยเนินเนื้อขาวเนียน
"อ่ะ! คะ... คุณชาย ทะ... ท่านลุกขึ้นก่อนเจ้าค่ะ ข้า... ข้าหายใจไม่ออก"
ลู่ฟางเหนียงเอ่ยบอกเสียงแผ่วด้วยทั้งตัวถูกคนตัวหนาทาบทับจนหายใจติดขัด มือบางดันไหล่กว้างพร้อมขยับตัวไปมา หากแต่หลิวเฉินคังที่เวลานี้คล้ายถูกเนินเนื้อนุ่มล่อลวงจนหูอื้อกลับคล้ายไม่ได้ยินเสียงนาง ยิ่งลู่ฟางเหนียงพยายามขยับตัวไปมา อกอวบอิ่มก็ยิ่งแนบชิดจมูกและริมฝีปากร้อน หลิวเฉินคังร้อนรุ่มไปทั้งตัว ขนกายรุกชันร่างกายเร่าร้อน มือหนาที่ดันบนพื้นขยับปลดผ้ารัดเอวของคนใต้ร่างโดยที่นางไม่รู้ตัว เพียงแต่มิทันดึงรั้งเสื้อผ้ารุ่มร่ามเกะกะของนางออก เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าเรือน
“คุณชาย!”
........................................