EP.5 SLAVE TO LOVE ♥
ตอน พ่อเลี้ยงคนใหม่
เมื่อต่างคนต่างนิ่ง ๆ บรรยากาศภายในห้องก็เงียบสงัดขึ้นมาอย่างฉับพลัน
รอยยิ้มของผู้เป็นพ่อเองก็ค่อย ๆ จางหายไปเช่นกัน
คลินต์เลือกที่จะเงียบอยู่นาน เพื่อที่เขาจะได้หยุดคิดไตร่ตรองคำพูดของตัวเองก่อน คลินต์เป็นคนที่พูดตรงพูดแรง เขาจึงกลัวว่าถ้าพูดออกไปแบบไม่คิด เขาอาจจะทำร้ายความรู้สึกของพ่อตัวเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“พ่อ...ทำให้คลินต์ลำบากใจใช่ไหม” ผู้เป็นพ่อเองท่านก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของลูกชายเพียงคนเดียวของเขา
“ไม่ ไม่ ผมไม่ได้ลำบากใจ” คลินต์ส่ายหน้าและฝืนยิ้มตอบไปทันทีอย่างโกหก
“ผมเข้าใจ...พ่อเองก็คงอยากมีใครสักคนมาคอยดูแล เอาใจและคอยอยู่เป็นเพื่อน” คลินต์รีบพูดออกไปทันทีเพราะกลัวว่าพ่อของเขาจะคิดมาก
“แต่ว่า...พ่อไม่ต้องแนะนำให้ผมรู้จักก็ได้นะ” ร่างสูงพูดขึ้นด้วยอย่างหลบสายตาของคนตรงหน้า สายตาของเขาดันไปมองยังรูปครอบครัวบนโต๊ะทำงาน ซึ่งถ่ายเอาไว้เมื่อตอนเขายังเป็นเด็กและมีแม่ของเขาอยู่ในรูปนั้นด้วย
สำหรับคลินต์แล้วเขายินดีมาก ๆ หากพ่อจะมีเด็กสาว ๆ เข้ามาทำให้กระชุ่มกระชวยหัวใจ แต่เขายังไม่ได้เตรียมใจและไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งพ่อจะหาใครคนหนึ่งมาแทนที่แม่ของเขาได้จริง ๆ
“พ่อแค่อยากมีคลินต์อยู่ด้วยจริง ๆ และทุก ๆ การตัดสินใจของพ่อ...พ่อก็อยากให้คลินต์มีส่วนร่วมด้วยเสมอ” คิมหันต์เสียงอ่อนลงและจ้องมองเข้าไปในแววตาของลูกชายนิ่ง ๆ
หลังจากที่เปิดใจคุยกันได้ไม่นาน ทั้งสองก็ต่างฝ่ายต่างเงียบกันไปอีกครั้ง เพราะเรื่องที่เขาคุยกันมันช่างละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของพวกเขาทั้งคู่อยู่ไม่น้อยเลย
“กับคนนี้...พ่อจริงจังมากเลยเหรอ?” คลินต์ตัดสินใจถามกลับไปตรง ๆ เพราะพ่อไม่เคยเข้ามาคุยกับเขาอย่างจริงจังแบบนี้มาก่อน
“...” ผู้เป็นพ่อพยักหน้ารับเบา ๆ อย่างยอมรับกับลูกชายไปตามตรง
“จริง ๆ พ่อขอเธอแต่งงานแล้วล่ะ...แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนกันจริงจัง”
“ตอนนี้พ่อกำลังคิดว่าจะชวนเธอกับลูกสาวย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของเราด้วย” ผู้เป็นพ่อพูดออกมาอย่างเบา ๆ และไม่กล้าจะสบตาของลูกชายตัวเองเลยจริง ๆ
“แต่พ่อกลัวคลินต์จะไม่โอเค ก็เลยอยากมาขออนุญาตคลินต์ก่อน” คิมหันต์เงยหน้ามองลูกชายอย่างลุ้น ๆ ในคำตอบ
“แต่ถ้าคลินต์ไม่โอเคจริง ๆ พ่อก็จะไม่ให้พวกเขาย้ายเข้ามา” ผู้เป็นพ่อพูดออกมาอย่างชัดเจน เพราะยังไงซะสำหรับคิมหันต์แล้ว คลินต์คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขา ไม่มีใครสำคัญไปกว่าลูกชายเพียงคนเดียวคนนี้แน่นอน เพียงแต่เขาก็แค่ชายแก่คนหนึ่งที่อยากจะลองมีความรัก... อยากมีคู่ชีวิตดูอีกสักครั้งหนึ่งก่อนตายจากโลกนี้ไป
“ไม่ได้ใช่ไหม?” หนุ่มใหญ่ถอดใจเมื่อได้เห็นท่าทีและสีหน้าของลูกชายสุดที่รัก ที่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่โอเคกับการพาเมียใหม่และลูกติดย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านสักเท่าไร
“ผมโอเคพ่อ” คลินต์ฉีกยิ้มตอบไปอย่างฝืน ๆ
“พ่อทำตามที่พ่อต้องการได้เลยนะ...” คลินต์พยักหน้ารับและพร้อมกับฝืนยิ้มกว้างมากขึ้น
“โอเคทุกอย่างเลย” คลินต์ย้ำอีกครั้งเพื่อให้พ่อของเขาสบายใจมากขึ้นว่าเขาไม่คัดค้านหรือขัดขวางในความรักครั้งใหม่ของพ่ออย่างแน่นอน
“อีกอย่างผมก็ไม่ได้กลับบ้านมานานหลายปีแล้ว” ร่างสูงเอ่ยตอบพ่อเขาไปตามตรง เพราะคลินต์เองก็ย้ายออกมาอยู่คอนโดตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย และตอนนี้เขาก็ย้ายเข้ามาประจำอยู่ที่โรงแรมแทนเพราะเรื่องงาน เขาแทบไม่มีข้าวของส่วนตัวอะไรเลยในบ้านหลังนั้น นอกจากของใช้ในวัยเด็ก
“แต่ผมขอพ่อแค่อย่างเดียวนะ...ขอให้เขาอยู่แค่ในที่ของเขา”
“และผมก็ขออยู่แค่ในที่ของผม” ลูกชายสุดที่รักเอ่ยขอร้องไปตามตรง เพราะเขาไม่ต้องการเจอกับว่าที่ภรรยาคนใหม่ของพ่อจริง ๆ และเขาคิดว่าเขาเองคงไม่สามารถจะเข้าหน้ากับเมียใหม่ของพ่อได้แน่ ๆ
“ก็ได้ลูก...แค่ลูกโอเคในบางเรื่องพ่อก็ดีใจมากแล้ว” หนุ่มใหญ่รีบพยักหน้าอย่างรับปากกับลูกชายอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ
“พ่ออยากบอกว่า...ยังไงพ่อก็รักคลินต์มากที่สุด และไม่มีใครมาแทนที่คลินต์ได้ทั้งนั้น” เขาไม่ลืมที่จะบอกรักลูกชายและโผเข้ากอดทันทีด้วยความดีใจที่ลูกชายไม่ได้สั่งห้ามใด ๆ
“ผมรู้...ผมก็รักพ่อมากที่สุดนะ” คลินต์กอดตอบพ่อไปอย่างอบอุ่น
“และถ้าพ่อเลือกแล้วจริง ๆ...พ่อก็ต้องมีความสุขมาก ๆ นะ” ร่างสูงกอดพ่อของเขาไว้แน่นและเอ่ยอย่างห้วน ๆ แต่แฝงด้วยความห่วงใย
“รู้ไหม?” คลินต์มองดูพ่อของเขาอย่างนึกดีใจที่พ่อกำลังจะมีความสุขอีกครั้ง
ปีนี้พ่อเขาอายุเกือบ ๆ 60 ปีแล้ว และแม่ของเขาก็จากโลกนี้ไปนานมากแล้ว การที่พ่อได้แต่งงานใหม่ มันก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีซะมากกว่าจะมานั่งเสียใจ อย่างน้อยก็มีคนคอยดูแลและอยู่เป็นเพื่อนพ่อตลอดเวลา
_________________________________________
ณ บ้านหลังใหญ่ย่านชานเมือง
เซลีนเดินเปิดประตูเข้ามาในบ้านของตัวเองอย่างเหน็ดเหนื่อย เนื่องจากวันนี้เธอต้องวิ่งวุ่น ๆ เพื่อเข้าสัมภาษณ์ฝึกงานกับทางโรงแรมชื่อดังอย่างคิงส์ตัน ทางโรงแรมได้คัดนักศึกษาจากหลักร้อย เหลือแค่หลักสิบคนเท่านั้น เกณฑ์การคัดเลือกของโรงแรมนี้ค่อนข้างจะสูงมาก ๆ จนเธอเองก็นอนไม่หลับเพราะกังวลใจเรื่องการเตรียมตัวอยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายแล้วเซลีนก็สามารถผ่านเข้าไปได้ด้วยความรู้ความสามารถของตัวเธอเอง...
ภายหลังการสัมภาษณ์ฝึกงาน เมื่อผ่านเข้ารอบแล้วเธอก็ต้องนั่งอบรมต่ออีกครึ่งค่อนวันได้ เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการฝึกงานอย่างหนักหน่วงที่โรงแรมคิงส์ตันสามเดือนเต็ม ๆ และสาขาที่ทางกรรมการเลือกให้เซลีนไปฝึกงานก็คือ...สาขาที่เขาใหญ่...
แต่อีกหนึ่งปัญหาของเธอก็คือ...แล้วใครจะส่งเธอไปฝึกงานที่เขาใหญ่กันละเนี่ย เพราะตอนนี้เธอไม่มีรถยนต์ส่วนตัวใช้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เนื่องจากเจ้ามินิคู่ใจคันเก่าคันแก่ของเซลีนยังจอดนอนอยู่ที่อู่ซ่อมอย่างไม่มีทีท่าว่าจะได้กลับบ้านง่าย ๆ เลย เนื่องจากทางอู่ซ่อมยังไม่สามารถหาอะไหล่รถรุ่นเก่า ๆ มาเปลี่ยนให้เธอได้เลยในตอนนี้
แอ๊ด~ พอเปิดประตูเข้าไปในบ้านก็ถึงกับตกใจเล็กน้อย เพราะแม่ของเธอทาสีด้านหน้าบ้านใหม่เอี่ยม และดูสะอาดสะอ้านผิดปกติ แถมยังตัดแต่งสวนและต้นไม้จนสวยขึ้นมาแบบผิดหูผิดตาไปเลย
“วันนี้เปิดน้ำพุหน้าบ้านด้วยเหรอเนี่ย...แปลกชะมัด” เธอเดินเข้ามาในบ้านอย่างประหลาดใจเบา ๆ
ภายในบ้านหลังใหญ่นี้อาจจะดูเก่าและโทรมอยู่หน่อย เนื่องจากมีอายุยี่สิบปีกว่า ๆ ได้ บ้านหลังนี้สร้างเสร็จเมื่อตอนที่เซลีนคลอดออกมาพอดี และมันเป็นมรดกตกทอดจากครอบครัวของคุณพ่อเธอที่ยังคงเหลือเอาไว้ เดิมทีตระกูลฝั่งคุณพ่อของเซลีนเป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีฐานะดีและมีหน้ามีตาทางสังคม หรือสมัยนี้จะเรียกว่าเป็นไฮโซเก่าก็ได้ แต่ก็เนื่องจากการผิดใจกันระหว่างพี่กับน้อง ศึกสายเลือดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หลังจากที่ปู่กับย่าเสียชีวิตไปแล้ว ทั้งพ่อของเซลีนและพี่ชายของเขาก็แย่งชิงสมบัติมหาศาลของปู่ย่า ทั้งแย่งชิง ทั้งโกงกันไปมาสารพัดเพื่อหวังจะฮุบมรดกทั้งหมดไว้ฝ่ายเดียว จนในที่สุดก็ลงเอยด้วยโศกนาฏกรรมที่น่าเศร้าสลดใจ เมื่อพ่อของเธอกับพี่ชายตัวเองฆ่ากันตายในบ้านหลังนี้ เรื่องราวฉาว ๆ ในครอบครัวกลายเป็นข่าวใหญ่โตอยู่ไม่น้อยเลย
ภายหลังจากพ่อและลุงคนเดียวของเธอได้จากไปก่อนวัยอันควร พวกเขาก็ทิ้งทรัพย์สมบัติเอาไว้มากมาย เนื่องจากไม่มีใครสืบสายเลือดต่อ เซลีนจึงเป็นหลานเพียงคนเดียวของตระกูลนี้และเป็นผู้ที่ได้รับมรดกทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งมรดกก็จะมีทั้งเงินที่ได้จากประกันชีวิตและค่าที่ทางห้องเช่าต่าง ๆ รายเดือนรายปี และเงินมรดกเหล่านี้แหละ ที่ทำให้ทั้งสองแม่ลูกไม่ได้ลำบากอะไรมากมายนัก หลังจากที่ผู้เป็นพ่อจากไป แต่คำว่าเงินจากมรดกตกทอด นับวันก็ลดน้อยลงไปทุกที ๆ ค่าเช่าที่ทางต่าง ๆ ก็ไม่ได้เพียงพอสำหรับสองแม่ลูกสักเท่าไร และพวกเขาก็คงไม่สามารถอยู่ด้วยเงินก้อนนี้ไปจนตายได้แน่ ๆ
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้สโรชินีพยายามใช้หน้าตาและฐานะของอดีตสามีเก่า ออกงานสังคมดี ๆ เพื่อได้รู้จักกับคนรวย ๆ มากหน้าหลายตา เผื่อว่าวันที่มรดกของสามีเก่าหมดแล้ว เธอกับลูกก็ยังจะอยู่ได้สุขสบายต่อไปเรื่อย ๆ
“กลับมาแล้วเหรอลูก?” คุณแม่ยืนดักรออยู่ที่หน้าบ้านพอดี
“รีบไปอาบน้ำแต่งตัวซะ เดี๋ยวแขกคนสำคัญของแม่จะแวะมาทานข้าวที่บ้านเราด้วย” เธอพูดพร้อมกับจัดแต่งทรงผมตัวเองให้คงความเป็นลอน ๆ ธรรมชาติ
“แม่น่าจะจำได้นะ...ว่าหนูไม่ทานมื้อเย็น” เซลีนตอบไปอย่างไม่ใส่ใจ และเดินสวนกับแม่เพื่อเตรียมจะเข้าบ้าน
“ไม่ทานก็ต้องมานั่งร่วมโต๊ะ...เพราะคุณคิมหันต์เขามาเพื่อแนะนำตัวกับลูก” เธอพูดกับลูกสาวอย่างกดดัน
“งั้นแม่ก็บอกเขาไปสิคะ ว่าหนูไม่อยู่บ้าน” เซลีนพยายามจะเลี่ยงการพบเจอกับว่าที่สามีของแม่ แต่ทว่ายังไม่ทันจะพูดจบดีเลย...
ติ๊งต่อง ๆ เสียงกดออดหน้าบ้านก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะพอดิบพอดี
“คุณคิมแน่ ๆ เลย“ สโรชินีเอ่ยขึ้นเบา ๆ
หมับ! เธอรีบคว้าแขนของลูกสาวเอาไว้ทันที
“ฟังนะ เซลีน! ถ้าลูกอยากมีอนาคตที่ดีกว่านี้...ลูกก็ต้องเปิดใจรับพ่อเลี้ยงคนใหม่ซะ”
“แม่ขอร้องล่ะ...ยิ้มต้อนรับและทำหน้าตาดี ๆ อย่าแสดงกิริยาไม่น่ารักกับคุณคิมหันต์เด็ดขาด”
“เรื่องกิริยามารยาทแม่คงไม่ต้องสอนลูกตอนนี้หรอกนะ...ถือว่าเห็นแก่หน้าแม่บ้างก็แล้วกัน” สโรชินีอ้อนขอร้องให้ลูกสาวเธอยอมทำตามในสิ่งที่เธอขอ ก่อนจะกดเปิดประตูรั้วบ้านทันที
ประตูรีโมตค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ
“รู้ใช่ไหมว่ามรดกของพ่อลูก มันไม่ได้เหลือมากพอที่ลูกกับแม่จะใช้ไปจนตายหรอกนะ” ผู้เป็นแม่มองของใช้แบรนด์เนมต่าง ๆ ที่ลูกสาวใช้ประโคมร่างกายและไลฟ์สไตล์ของเธอที่หรูดูแพงอยู่ทุกวันนี้ ก็ได้มาจากมรดกเก่าของพ่อทั้งนั้น
“...” เซลีนไม่ตอบอะไรกลับไป เพราะสุดท้ายเธอก็ถูกบีบบังคับ และเธอจำต้องยืนเล่นละคร คอยต้อนรับพ่อเลี้ยงคนใหม่ ทั้ง ๆ ที่เธอไม่ได้ยินดีเลยสักนิดกับการแต่งงานใหม่อีกครั้งและอีกครั้งของแม่ตัวเอง
ฟุ่บ! เซลีนแกะมือแม่ของเธอออกจากแขนเบา ๆ
ซึ่งทางสโรชินีก็ยังคงมองหน้าลูกสาวตัวเองด้วยความหวาดระแวง กลัวลูกจะแสดงอาการอะไรไม่ดีออกไปต่อหน้าว่าที่สามีคนใหม่ล่าสุดของเธอ
รถหรูเปิดประทุนสีดำเงาวับคันใหม่ป้ายแดงขับตรงเข้ามาเทียบตรงหน้าบริเวณบ้าน ซึ่งก็ตรงกับเซลีนและแม่ยืนอยู่พอดี ด้านหน้ารถยังมีริบบิ้นสีแดงผูกหน้ากระโปรงรถมาราวกับของขวัญอย่างไงอย่างงั้น
“สวัสดีครับ สองสาวสวย” หนุ่มใหญ่ภูมิฐานบุคลิกดีเดินลงจากรถและเอ่ยทักสองแม่ลูกอย่างเป็นกันเอง
“สวัสดีค่ะ” เซลีนยกมือไหว้หนุ่มใหญ่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่อ่อนน้อม
“ที่รักมาถึงไวมากกว่าที่เรานัดกันไว้อีกนะคะ” แม่ของเธอรีบเดินเข้าไปกอดแขนหนุ่มใหญ่คนนั้นอย่างออดอ้อน
“พอดีรถที่สั่งเอาไว้ ได้ไวกว่าที่คิดน่ะครับ” เขาเอ่ยตอบแม่ของเธออย่างสุภาพ
“นี่คงเป็นหนูเซลีนใช่ไหม?” คุณลุงตรงหน้าเอ่ยทักทายเธออย่างยิ้มแย้ม
“ใช่ค่ะ” เธอพยักหน้ายิ้มตอบไปตามมารยาท
“ลุงชื่อคิมหันต์นะลูก...เออ พอดีลุงได้ยินแม่ของหนูบอกว่า รถของหนูเสีย”
“วันนี้ลุงก็เลยถือโอกาสไปแวะถอยรถคันใหม่มาให้ ถือซะว่าเป็นของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการเจอกันครั้งแรกของเราก็ได้นะ” คุณคิมหันต์พูดไปยิ้มไปอย่างใจดีพร้อมกับยื่นกุญแจรถหรูเปิดประทุนสีดำสนิทให้กับเธอทันที
“…เอ่อ...” เซลีนหันไปมองทางแม่ของเธอเล็กน้อย ยอมรับว่าตกใจมาก เพราะมันเป็นการเจอกันครั้งแรก และสามีของแม่คนที่ผ่าน ๆ มาแทบไม่เคยสนใจลูกติดอย่างเธอเลย หรือถ้าสนใจก็สนใจเพียงเพราะเรื่องชู้สาวทั้งนั้น
“ที่รักขา~ คุณใจดีกับลูกสาวของฉันจังเลยนะคะ” คุณแม่ยังสาวพูดขึ้นอย่างตกใจไม่แพ้กัน แววตาของเธอเปล่งประกายเมื่อเห็นกุญแจรถหรูในมือของเขา
“ผมกลัวเซลีนจะไม่มีรถขับไปเรียนน่ะครับ...อ้อแล้วส่วนรถของโรส เดี๋ยวผมพาไปเลือกด้วยกันวันหลังนะครับ” หนุ่มใหญ่ลูบหัวของว่าที่ภรรยาอย่างทะนุถนอม
จะว่าไปแล้วพ่อเลี้ยงคนใหม่กับคุณแม่ยังสาวของเซลีนดูแล้วน่าจะอายุห่างกันเกือบ ๆ จะ 20 ปีได้เลยเหมือนกัน เซลีนยังคงยืนมองอย่างพิจารณา ๆ สามีใหม่ของแม่เธอ ซึ่งเขาเองก็ดูท่าทางจะใจดี แถมยังเป็นคนที่มีสง่าราศีมากกว่าอดีตสามีของแม่เธอที่ผ่าน ๆ มา
“ขอบคุณนะคะที่รัก คุณใจดีกับโรสและลูกมากเลยจริง ๆ” แม่ของเธอรีบก้มลงกราบแทบแผ่นอกของเขาอย่างไม่มีเขินอายใด ๆ เลย แม้ว่าเซลีนจะยืนอยู่ตรงนี้ด้วยก็ตาม
“เราไม่เคยมีใครดูแลและใส่ใจเราสองแม่ลูกเลยมาตั้งแต่พ่อของเขาเสียไป” แม่ของเธอเริ่มตีหน้าเศร้า ๆ และน้ำตาคลอ ๆ
“ไม่เป็นไรนะ...ตอนนี้ผมขอดูแลโรสกับหนูเซลีนเอง” คุณคิมหันต์เอ่ยกับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ในอ้อมแขนของเขาด้วยความอบอุ่น
เซลีนยืนมองทั้งสองคนแสดงความรักต่อกันนิ่ง ๆ เพราะเธอรู้ดีว่าแม่ของเธอเป็นคนยังไง...
แม่ของเธอไม่เคยเศร้าเรื่องที่พ่อจากไปเลยสักนิด...เซลีนจำได้ดีว่าในวันที่พ่อตาย แม่ของเธอไม่เคยร้องไห้เสียใจใด ๆ และไม่มีน้ำตาไหลออกมาเลยแม้แต่หยดเดียว