บทที่ 5
เมาเมาประะคองคุณหนูของตนปะปนฝูงชนที่กำลังเดินทางออกนอกประตูเมืองหลวง เนื่องจากใกล้เวลาปิดประตูแล้ว อีกทั้งผู้คนก็พลุกพล่านทำให้ทหารเวรยามหน้าประตูไม่สนใจขอทานสองคนที่เดินผ่านประตูออกนอกเมือง
ดีแล้ว เมืองหลวงจะได้ลดคนชั้นต่ำเช่นนี้ลงได้อีกสองคน ทหารยามคนหนึ่งปรายตามองสตรีสองนางที่เดินผ่านหน้าของตนโดยไม่ขอตรวจเอกสารด้วยซ้ำ
นางทั้งสองแต่งตัวมอซอ เนื้อตัวสกปรก เขาไม่อยากแม้แต่จะเฉียดใกล้พวกนางด้วยซ้ำ
แม้จะปวดบาดแผลที่ยังไม่หายดี หมิ่งหุ้ยก็กัดฟันก้าวเดินไปข้างหน้า ใบหน้าซีกซ้ายของนางเขียวช้ำจนใบหน้าบวมปูด คงจะถูกปลายแส้จากฝีมือหยงอิ่งจง แต่เมื่อใดนั้นนางจำไม่ได้แล้ว แต่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่แย่ หมิ่งหุ้ยมองว่ามันคือข้อดีเพราะนั่นทำให้คนที่รู้จักคุ้นเคยคุณหนูตระกูลหมิ่งจำนางในตอนนี้ไม่ได้
“ไหวไหมเจ้าคะ จ้างรถม้าดีหรือไม่” เมาเมากระซิบถามด้วยความเป็นห่วง พอลุกขึ้นนั่งได้ คุณหนูของนางก็ชวนนางเดินทางออกจากเมืองหลวงทันที แผลบนแผ่นหลังยังไม่หายดีด้วยซ้ำ
“ไม่ เดินไปนี่ล่ะ จ้างรถม้ามีแต่จะเสียเงิน พวกเราจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อวันข้างหน้าลืมแล้วเหรอ”
สมบัติที่หมิ่งหุ้ยมีติดตัวถูกเปลี่ยนเป็นเงินหมดแล้ว ได้เป็นตั๋วเงินมาแค่พันตำลึง ไม่รู้ว่าจะสามารถใช้ดำรงชีวิตไปได้นานเท่าใด แต่นางไม่ท้อ นางช่วยบิดาและพี่ชายค้าขายมาตั้งแต่เด็ก มีเงินหนึ่งพันตำลึง นางจะเอาไปต่อยอดลงทุนให้งอกเงยให้จงได้
“แต่บ้านข้าไกลมากนะเจ้าคะ”
“ตอนกลับไปเยี่ยมบิดาเจ้า เจ้ากลับเยี่ยงไร”
“เดินเท้าไปเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็เดินเท้า”
“แต่ร่างกาย..” พอเห็นสายตาดุที่ส่งมาจากคุณหนูแล้วเมาเมาไม่กล้าเอ่ยขัด
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า แต่เราต้องประหยัดนะเมาเมา อีกอย่างการนั่งรถม้านั่นสะดุดตาสังเกตได้ง่าย หากเดินไปแล้วเหนื่อยก็พัก สภาพเจ้ากับข้าตอนนี้แม้แต่ทหารยามหน้าประตูเมืองยังมองด้วยสายตาเหยียดหยาม ต่อให้ไท่จื่อเฟยนึกขึ้นได้ว่าไม่พบศพของข้า พระนางก็คงคาดเดาไม่ได้ว่าข้าจะกลายสภาพเป็นเช่นนี้ เจ้าใช้ชีวิตอยู่ที่หุบเขามาตั้งแต่เกิด ย่อมรู้ทางลัดเลาะที่ต้องเดินด้วยเท้า หากจ้างรถม้าก็เดินทางผ่านไม่ได้ เสียเงินโดยใช่เหตุ”
เมาเมาพยักหน้ารับ นางรั้งแขนของคุณหนูให้ทิ้งน้ำหนักตัวมาที่นางมากหน่อย จะได้ช่วยทุ่นแรง
“หากไม่ไหวต้องพักนะเจ้าคะ”
หมิ่งหุ้ยพยักหน้ารับ
“คุณหนูไม่เห็นต้องเรียกสตรีสารเลวผู้นั้นอย่างให้เกียรติสักนิด” เมาเมาบ่นอุบอิบ ที่คุณหนูของตนยังคงเอ่ยถึงสตรีใจทรามผู้นั้นอย่างยกย่อง
แม้ตัวนางจะเป็นเพียงสาวชาวบ้านแต่จิตใจไม่ต่ำช้าถึงเพียงนั้น คบชู้สู่ชายก็ย่ำแย่มากพออยู่แล้ว แต่กลับใส่ความคนตระกูลหมิ่งจนต้องตาย เพียงเพราะต้องการครอบครองบุรุษเพียงผู้เดียว ทั้ง ๆ ที่ตนเองนั้นได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่มีสามีแล้ว
“ข้าไม่ได้ให้เกียรติคนเยี่ยงนั้น ข้าเพียงเรียกขานให้ติดปากปิดบังความเกลียดชังที่ข้ามีต่อพระนาง หากวันหนึ่งต้องเผชิญหน้ากัน ข้าจะไม่มีวันให้พระนางมีช่องมาเล่นงานข้าได้อีก ข้าไม่ลืมความแค้นที่สุมอยู่ในอกหรอกนะเมาเมา ไม่ว่ากี่วัน กี่เดือน กี่ปี ข้าก็จะกลับมาแก้แค้น” หมิ่งหุ้ยไขความกระจ่างให้สาวใช้คนสนิทน้ำเสียงที่เอ่ยเต็มไปด้วยความคับแค้น
หมิ่งหุ้ยหมุนตัวกลับมามองประตูเมืองหลวงที่ค่อย ๆ ปิดลง นางมองทะลุผ่านประตูเหล็กกล้า ทะลุผ่านไปจนถึงวังบูรพา ความแค้นที่ถูกสังหารทั้งตระกูล แม้กระทั่งเด็กที่ไม่รู้เรื่อง หยงอิ่งจงก็ยังลงมือ
นางมองเขาผิดไปได้ถึงเพียงนี้ ต่อจากนี้นางจะไม่มองผู้ใดที่ภายนอกอีกแล้ว ต่อให้โตมาด้วยกันคิดว่ารู้นิสัยใจคอแล้วก็ตาม นางจะเผื่อใจหากวันหนึ่งคนผู้นั้นจะกลายเป็นคนไม่ดี
ดูอย่างเหล่าขอทานในตรอกข้างตลาด ชีวิตที่ต้องถูกผู้คนหยามเหยียด เดินผ่านผู้ใดก็มีแต่คนเบือนหน้าหนี
บ้างก็ขับไล่ให้ไปพ้น ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จัก พวกเขาไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร เพียงขอเศษเงินเศษอาหารประทังชีวิต แต่พวกเขากลับมีน้ำใจช่วยเหลือคนใกล้ตายที่ไม่มีผลประโยชน์อะไรกับพวกเขา เพราะนางในตอนนี้แค่เอาตัวเองยังไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ แต่นางก็จะสู้ สู้จนกว่าจะได้แก้แค้น
หมิ่งหุ้ยแม้จะไม่เหลือสิ่งใดอีกแล้ว ในมือมีเพียงความแค้น หากเป็นผู้อื่นคงจะหลบหนีเพื่อเอาตัวรอดเพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่มิอาจต่อกรด้วยได้ นางกับไท่จื่อเฟยต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่นางจะวางความแค้นนี้ลงได้อย่างไร มิอาจทำได้เลยจริง ๆ
“ข้าในตอนนี้เหมือนตายทั้งเป็น ที่ยังเห็นยืนอยู่ก็แค่กายเนื้อที่ต้องดิ้นรนต่อไปเพื่อแก้แค้นให้ทุกคนในสกุลหมิ่ง ใช้ความแค้นเป็นแรงผลักให้กายหยาบนี้ยังหายใจเพียงหวังแม้เพียงเศษเสี้ยวว่าจะต้องล้างแค้น ข้าก็มีแรงที่จะเดินต่อ”
เมาเมามองคุณหนูของตน ดวงตาของนางแดงรื้น นางพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาอย่างสุดกำลัง ขนาดคุณหนูของนางยังไม่ร้องแล้วนางจะร้องได้อย่างไร นางเองที่เคยเห็นมารดาล้มป่วยจนสิ้นใจไปต่อหน้ายังร้องไห้ฟูมฟายแทบขาดใจ
แต่คุณหนูของนางที่ต้องสูญเสียครอบครัวไปอย่างโหดร้ายเพียงชั่วข้ามคืนกลับไม่มีน้ำตาสักหยด ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มสดใสตลอดเวลาในตอนนี้กลับปูดบวมจนน่าเกลียด
ไม่เหลือเค้าเดิมของสตรีที่งดงามจนบุรุษที่เดินสวนกันต้องเหลียวหลัง แววตาที่เคยสดใส เต็มไปด้วยความอาฆาต ภายในใจของคุณหนูคงแตกสลายไม่มีชิ้นดี เมาเมาแม้มปากกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้
“อยากร้องก็ได้เถิด หรือจะร้องแทนข้าก็ได้”
สิ้นคำนั้นเมาเมาก็ปล่อยโฮออกมา โถมทั้งร่างโอบกอดคุณหนูของตนเอาไว้ คุณหนูของนางตัวก็แค่นี้กลับต้องมาพบเจอเรื่องโหดร้าย นางเองที่แค่ได้ยินเสียงกรีดร้องในวันนั้นยังหวาดกลัวจนเก็บเอาไปฝัน เห็นร่างนายท่านและฮูหยินยังอดเวทนาไม่ได้ สตรีตัวเล็ก ๆ ผู้นี้ต้องเผชิญสิ่งเหล่านั้นด้วยตนเอง