สายฟ้าศิมันตรา 8

1800 Words
ชายสองคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านพอได้ยินเสียงร้องกรี๊ดจึงรีบเดินขึ้นไปบนบ้าน ก่อนจะเห็นน้ำมนต์นั่งร้องไห้อยู่บนที่นอนมียศจึงรีบเข้าไปกอดปลอบขวัญหลาน ด้านเจ้าของดวงตาคมกริบผู้เก่งกาจด้านอาคมและไสยเวทมองกลุ่มก้อนสีดำลอยพ้นออกไปจากบ้าน... ซึ่งไม่ต่างจากสายฟ้าขณะขับรถกลับไปยังบ้านมียศ สายตาก็มองเห็นกลุ่มก้อนสีดำลอยไปทางทิศใต้ของหมู่บ้าน ดวงตาคมกริบไม่ต่างจากพ่อจ้องมองเขม็งพร้อมกับขบกรามแน่นจากนั้นก็รีบบิดมอเตอร์ไซค์มุ่งไปข้างหน้าให้เร็วที่สุด ชายต่างวัยสองคนเดินลงจากชั้นสองหลังจากมียศปลอบขวัญน้ำมนต์แล้วบอกเธอว่าเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น แม้น้ำมนต์จะเชื่อสนิทใจแต่ถึงยังไงเธอก็ยังขวัญเสียอยู่ดีเพราะเกิดมายี่สิบสองปีไม่เคยฝันน่ากลัวเท่านี้มาก่อนเลย แต่เพราะมันยังเป็นเวลาเพียงแค่สองยามด้วยความง่วงเธอจึงหลับไปอีกครั้ง ชั้นหนึ่งของบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้นั้นเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเพราะไม่รู้จะเอายังไงต่อ ทางด้านพ่อครูนั่งนึกย้อนถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาเนิ่นนาน ช่วงเวลานั้นลูกชายพ่อครูวัยสิบเอ็ดขวบกำลังจะเรียนจบชั้นประถม พ่อครูพายุจึงพาสายฟ้าไปดูโรงเรียนที่กรุงเทพเนื่องจากแม่และยายของสายฟ้าอยากให้ไปเรียนต่อที่นั่น ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติกระทั่งวันที่พ่อครูเดินทางกลับถึงหมู่บ้าน เขายังจำได้ดี หมู่บ้านที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและน่าอยู่กลับหมองหม่นบรรยากาศดูอึมครึมไม่น่าอยู่เหมือนเคย บ้านเรือนของชาวบ้านแต่ละหลังปิดเงียบสงบ พอมืดลงแทบไม่มีชาวบ้านออกมาเดินเพ่นพ่านเลย พ่อครูได้แต่สงสัยว่ามันเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นกับหมู่บ้านของเขา กระทั่งรับรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งเป็นครูอัตราจ้างแท้งลูกเสียชีวิตภายในบ้านพักแถมศพยังไร้ญาติ ทางโรงพยาบาลจึงส่งศพเธอกลับมาที่หมู่บ้านเพื่อให้ชาวบ้านนำไปทำพิธีฌาปนกิจศพต่อ แต่เพราะเป็นความเชื่อของชาวบ้านที่ว่าหากศพนั้นตายทั้งกลมจะต้องมีการทำพิธีตัดสายสัมพันธ์แม่ลูกก่อนถึงจะนำไปประกอบพิธีได้ไม่เช่นนั้นดวงวิญญาณนั้นจะเฮี้ยนมาก ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นช่วงเวลาที่ผู้เก่งกาจและสามารถทำพิธีนี้ได้ไม่อยู่บ้านพอดี ชาวบ้านไม่รู้จะทำยังไงจึงจำเป็นต้องเก็บศพนั้นไว้ในโลงเพื่อรอพ่อครูกลับมาทำพิธี แต่เหมือนว่าทุกอย่างจะช้าเกินเพราะผ่านไปไม่นาน หลังจากพ่อครูกลับมาก็เกิดเรื่องโศกเศร้ากับอีกหนึ่งครอบครัว ซึ่งการตายของคนในครอบครัวนั้นหาสาเหตุไม่ได้แถมยังเกิดเหตุไล่เลี่ยกับศพตายทั้งกลมอีกด้วย จึงทำให้ชาวบ้านคิดไปต่าง ๆ นานาจนเสียขวัญไปตาม ๆ กัน พ่อครูจึงต้องรีบหยุดเรื่องราวทั้งหมดให้เร็วที่สุด จึงรีบทำพิธีผ่าท้องศพตายทั้งกลมเพื่อตัดสายสัมพันธ์แม่ลูก จากนั้นก็แยกไปฝัง โดยความเชื่อศพลูกนั้นต้องฝังแม้จะเสียชีวิตแบบไหนก็ตาม ส่วนศพแม่โดยปกตินั้นต้องเผาไม่เช่นนั้นวิญญาณจะเฮี้ยนมากแต่เพราะเป็นศพไร้ญาติพ่อครูจึงจำต้องสะกดดวงวิญญาณนั้นไว้แม้จะไม่อยากทำเลยก็ตาม แต่เพราะแรงอาฆาตพยาบาทของเธอที่ต้องการจะพรากอีกหนึ่งชีวิตไปเขาจึงจำเป็นต้องทำ... “พ่อครูสิสะกดมันไว้อีกเบาะ” (พ่อครูจะสะกดมันไว้อีกไหม) พ่อครูถอนหายใจออกมาเบา ๆ กับคำถามที่ยากจะตอบ แต่เพราะคิดและไตร่ตรองมาดีแล้วจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นบ่งบอกว่าจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความคิดแน่นอน “บ่” (ไม่) “คั่นหลานข่อยตายไปอีกคนล่ะ” (ถ้าหลานฉันตายไปอีกคนล่ะ) แม้จะไม่พอใจกับคำตอบของพ่อครูที่เหมือนจะไม่ช่วยแต่มียศก็ทำได้เพียงแค่ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองทว่าไม่ได้ลุกขึ้นโวยวายแต่อย่างใด “ให้มันจบกันเพียงชาตินี้เถาะ อย่าได้ตามติดไปฮอดชาติอื่นเลย” (ให้มันจบกันเพียงชาตินี้เถอะ อย่าได้ตามติดไปถึงชาติอื่นเลย) มียศได้ยินแบบนั้นจึงเลือกไม่พูดอะไร แม้หลังจากนี้ไม่รู้จะทำยังไงต่อก็ตาม “มื้ออื่นบอกหลานผู้ใหญ่ ไปเฮือนข่อยแหน่เด้อ” (พรุ่งนี้บอกหลานผู้ใหญ่ ไปบ้านฉันหน่อยนะ) มียศพยักหน้าตอบเบา ๆ พ่อครูเหลือบมองครู่หนึ่งแล้วเดินออกไปนอกบ้านเห็นสายฟ้านั่งรออยู่บนรถมอเตอร์ไซค์จึงถามถึงสิ่งที่ให้กลับไปเอาที่บ้าน “ได้มาบ่ของที่พ่อบอก” (ได้มาไหมของที่พ่อบอก) สายฟ้าไม่ตอบแต่เบี่ยงสายตาไปยังใบหนาดที่คนเป็นพ่อบอกให้เขาขับรถไปเอามา ทางด้านพ่อครูเห็นสายตาลูกชายมองไปที่รั้วหน้าบ้าน จึงมองตามไปทำให้เห็นต้นหนาดสองต้นตั้งวางอยู่ คิ้วสองข้างจึงขมวดขึ้นแล้วเอ่ยถามออกไปด้วยสีหน้าสงสัย “พ่อบอกให้เอามาสองใบบ่แม่นเบาะ เป็นหยังคือเอามาสองต้น?” (พ่อบอกให้เอามาสองใบไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงเอามาสองต้น?) “กะย่านบ่พอเนอะ” (ก็กลัวไม่พออะ) คำตอบของสายฟ้าทำเอาพ่อครูหลุดยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ แต่ก็เลือกไม่พูดอะไร ก่อนจะเดินไปเด็ดใบหนาดมาหนึ่งใบ หยิบขี้ผึ้งในถุงย่ามออกมาแล้วเขียนยันต์ลงให้เรียบร้อยจากนั้นก็ยื่นให้มียศ “เอาไปไว้ในห้องนอนหลานผู้ใหญ่ ส่วนต้นมัน ว่างตอนได๋ก็เอาไปปลูกมันคงบ่ตายเร็วดอก มาทั้งรากทั้งโคนปานนั้น” (เอาไปไว้ในห้องนอนหลานผู้ใหญ่ ส่วนต้นมัน ว่างเมื่อไหร่ก็ค่อยเอาไปปลูกมันคงไม่ตายเร็วหรอกมาทั้งรากทั้งโคนขนาดนั้น) พ่อครูพูดจบก็หันไปมองลูกชายตัวเองที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์รออยู่ทำเหมือนไม่สนใจแต่รับรู้ทุกอย่าง ทางด้านสายฟ้าเมื่อเห็นพ่อเขาเสร็จธุระแล้วก็รีบเก็บโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋าดวงตาช้อนขึ้นมองยังห้องนอนน้ำมนต์ครู่หนึ่ง ก่อนจะสตาร์ตรถเตรียมพาพ่อเขากลับบ้าน เมื่อพ่อครูนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เรียบร้อยก็รีบเอื้อมมือไปจับเหล็กกั้นกันตกไว้ทันทีแล้วเอ่ยบอกสายฟ้าที่กำลังจะขับรถออกจากบ้านมียศ “บ่ต้องพาพ่อซิ่งคือจั่งตอนมาเด้อ” (ไม่ต้องพาพ่อซิ่งเหมือนตอนมานะ) สิ้นเสียงพ่อครูสายฟ้าก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ก่อนจะบิดคันเร่งออกจากบ้านมียศทันที... ตะวันสาดแสงเข้ามาภายในห้องกระทบลงบนใบหน้าทำร่างเล็กที่กำลังหลับใหลอยู่ลืมตาขึ้น ขณะกำลังปรับสายตาก็ได้ยินเสียงเหมือนใครขุดอะไรบางอย่างดังมาจากหน้าบ้าน น้ำมนต์จึงดันตัวลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่างเห็นตาของเธอกำลังปลูกต้นไม้อยู่ น้ำมนต์จึงเดินไปเก็บที่นอนหมอนมุ้งให้เรียบร้อย แม้เรื่องเมื่อคืนจะยังติดอยู่ในใจไม่หายแต่ก็เลือกไม่ใส่ใจเพราะคิดว่าเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น จากนั้นก็เดินลงไปข้างล่างเพื่อล้างหน้าแปรงฟันแล้วไปทำกับข้าว เมื่อทำกับข้าวเสร็จน้ำมนต์ก็ไปอาบน้ำแล้วมานั่งกินข้าวกับตาของเธอสองคนเหมือนเช่นทุกวัน ขณะร่างเล็กกำลังจะเก็บจานไปล้าง มียศก็เอ่ยบอกว่าสาย ๆ จะพาเธอไปบ้านพ่อครูเนื่องจากพ่อครูจะให้ของดีเอาไว้ติดตัวเป็นของขวัญวันเกิด ซึ่งน้ำมนต์ก็ไม่คิดจะปฏิเสธอยู่แล้วเพราะในใจเธอก็อยากไปเจอใครบางคนเหมือนกัน... หลังจากตกลงกันเรียบร้อยน้ำมนต์ก็ถือจานเข้าไปล้างในครัวโดยมีตาเธอมองกระทั่งพ้นสายตาแล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ กับเรื่องราวมากมายที่หายไปเนิ่นนานค่อย ๆ หวนกลับมาอีกครั้ง... ตอนนั้นหลังจากเรื่องราวทั้งหมดจบลง มียศก็ขอให้หนึ่งพี่สาวของสองลูกเขยเขาพาน้ำมนต์ไปอยู่ที่กรุงเทพด้วย แม้ตัวมียศจะไม่อยากให้น้ำมนต์ไปเลยสักนิดเพราะกลัวคิดถึงหลานแทบขาดใจ เนื่องจากเห็นน้ำมนต์มาตั้งแต่เกิดแล้ววันหนึ่งก็ต้องห่างกัน แต่ก็ต้องจำยอมเพราะยังหวั่นเกรงกลัวน้ำมนต์จะมีชะตากรรมเหมือนแม่ของเธอ หลังจากทำอะไรเสร็จสรรพสองตาหลานก็เดินทางไปบ้านพ่อครู ทว่าขณะกำลังขับรถอยู่จู่ ๆ ก็มีสายโทรเข้ามาบอกให้มียศไปวัดด่วน จึงต้องรีบขับรถไปส่งน้ำมนต์ที่บ้านพ่อครูส่วนตัวเขาจะรีบไปทำธุระที่วัด เสร็จแล้วถึงจะกลับมารับหลาน... ร่างเล็กยืนมองรถกระบะสีดำขับออกไปจากบ้านเรือนไทยหลังใหญ่กระทั่งพ้นสายตา เธอจึงหันกลับไปมองบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ที่ดูเงียบสงบประหนึ่งว่าไม่มีคนอยู่บ้านเลย น้ำมนต์ยืนมองครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินตรงไปยังบันไดบ้าน เท้าเล็กกำลังจะก้าวขึ้นบันไดแต่ก็ต้องชะงักค้างกลางอากาศหน้าเกือบทิ่มเมื่อได้ยินน้ำเสียงแข็งกร้าวดังจากทางด้านหลัง “ขึ้นบ้านคนอื่นมั่วซั่วระวังโดนผีหลอกไม่รู้เรื่อง” เพียงแค่ได้ยินคำว่าผีน้ำมนต์ก็รีบถอยกรูดออกมาให้ห่างจากบันไดแล้วหันไปมองคนด้านหลังที่สวมใส่แค่กางเกงขายาวตัวเดียวช่วงบนเปลือยเปล่าโชว์รอยสักยันต์เต็มหน้าอกและแขนแทบไม่มีที่ว่างหลงเหลือ น้ำมนต์ช้อนตาขึ้นสบกับดวงตาคมกริบที่มองเธอไม่ละไปไหน ขณะที่มือเขายังจับผ้าผืนเล็กเช็ดผมที่เปียกหมาด ๆ ไปพลาง ๆ น้ำมนต์เห็นแบบนั้นก็ใบหน้าเห่อแดงจึงรีบหันหน้าไปทางอื่น กระทั่งคนตัวสูงเดินผ่านเธอพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งขณะที่ใบหน้าไม่ได้หันมามองเธอสักนิด “ตามมา”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD