AK Group
ร่างสูงของภีมวัจน์ที่กำลังเดินเข้ามาภายในอาคารที่ตั้งของ AK Group นั้นดึงดูดสายตาของพนักงานสาวให้หันไปมองด้วยความตื่นเต้นระคนเขินอายราวกับกำลังถูกสายตาของภีมวัจน์จ้องมองทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยมองใครด้วยซ้ำถึงแม้ใบหน้าของภีมวัจน์จะเย็นชาไร้รอยยิ้มแต่กลับเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่ชวนให้สาวๆแอบมองไม่รู้เบื่อ
บางคนแอบมองเสี้ยวหน้าคมคายอย่างมีความหวังว่าเขาจะหันกลับมามองตนเองบ้างสักครั้งส่วนบางคนก็แอบมองพร้อมคิดวางแผนหาวิธียั่วยวนเพื่อให้เขาหันมาสนใจทั้ง ๆ ที่ทุกคนต่างรู้ดีภีมวัจน์ไม่เคยชายตามองสาวๆในบริษัทของตนเองเลยสักครั้งตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามารับตำแหน่งท่านประธานบริษัทต่อจากบิดาที่ล่วงลับไป
“ก็บอกแล้วไงว่าให้หยุดพักผ่อนจนกว่ามือจะหายดีทำไมแกถึงได้พูดยากแบบนี้นะเตชินทร์”
ถึงแม้น้ำเสียงของภีมวัจน์จะฟังดูเย็นชาคล้ายไม่ใส่ใจแต่เตชินทร์กลับรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่ท่านประธานมีต่อเขาได้เป็นอย่างดี
“ผมเป็นห่วงท่านประธานนี่ครับถ้าหากว่าผมไม่อยู่ท่านจะต้องทำงานจนแทบไม่ได้พักผ่อนแน่นอน อีกอย่างไม่มีใครที่รู้ใจท่านเท่าผมอีกแล้ว จำไม่ได้เหรอครับคนก่อนๆที่มาช่วยงานระหว่างที่ผมป่วยท่านก็บอกว่าชอบทำงานผิดพลาดบ่อยๆไม่ก็ไม่เข้าใจในคำสั่งของท่านประธานบ้าง ทำให้ผมที่กำลังป่วยต้องลุกขึ้นถอดสายน้ำเกลือกลับมาช่วยงานท่านประธานทั้ง ๆ ที่ยังไม่หายดี เพราะฉะนั้นไม่มีใครที่เข้าใจท่านประธานดีมากไปกว่าเตชินทร์คนนี้แล้วครับ”
คำพูดจี้ใจดำของเตชินทร์ทำให้ภีมวัจน์ที่ไม่อยากให้เลขาต้องมาทำงานทั้ง ๆ ที่มือยังคงใส่เฝือกอยู่ถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเพราะดูเหมือนสิ่งที่เลขาคู่ใจของเขาพล่ามมานั้นคือความจริงที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้เลย
“แต่ตอนนั้นกับตอนนี้มันไม่เหมือนกันนะเต ตอนนั้นแกแค่เป็นหวัดไม่สบายไม่ใช่มือใส่เฝือกทำอะไรไม่ถนัดแบบนี้ แค่ขับรถคอยรับส่งฉันเหมือนเดิมแกยังทำไม่ได้เลยนับประสาอะไรกับงานตั้งมากมายที่แกต้องคอยช่วยฉัน แกอย่าลืมนะว่างานบางอย่างไม่ได้ใช้สมองแต่มันต้องใช้การกระทำด้วย”
ภีมวัจน์พูดจบเขาก็เดินเข้าลิฟต์ไปทันทีโดยที่ไม่สนใจเตชินทร์ที่รีบวิ่งตามท่านประธานเข้าไปในลิฟต์ด้วยสภาพทุลักทุเลเพราะมือของเขาข้างหนึ่งใส่เฝือกส่วนมืออีกข้างก็ถือกระเป๋าเอกสารโดยที่ภีมวัจน์ไม่สนใจที่จะช่วยเตชินทร์ถือเลยแม้แต่น้อยเพราะเขาอยากให้เตชินทร์รู้ว่าตอนนี้สภาพร่างกายของตัวเองนั้นอยู่ในช่วงที่ไม่พร้อมทำงานจะได้คิดถอดใจและยอมกลับไปพักผ่อนอยู่ที่บ้านไม่ใช่มาเดินตามเขาต้อย ๆ แบบนี้
“โธ่ท่านประธานครับให้ผมลองทำงานดูก่อนได้ไหมครับ ถ้าผมทำไม่ได้หรือไม่ไหวจริงๆผมจะยอมกลับไปพักตามคำสั่งของท่านประธานทันทีเลยครับ”
“คำสั่งของหมอต่างหากไม่ใช่ฉัน”
น้ำเสียงเอือมระอาที่แฝงไปด้วยความจนปัญญาเอ่ยแก้ต่างคำพูดของเตชินทร์ให้ถูกต้องก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออกภีมวัจน์ก็รีบเดินออกไปทันทีโดยที่มีเตชินทร์ที่รีบวิ่งตามหลังท่านประธานไปด้วยความน่าสงสาร
แผนกบริหารทั่วไป
ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ว่ายินดีหรือยินร้ายของสาวสวยที่สวมชุดเดรสกระโปรงสีดำแบรนด์ดังที่กำลังเดินตามหลังเขมจิราเข้ามาภายในแผนก ทำให้หนุ่มๆที่กำลังเพ่งสมาธิกับงานตรงหน้าถึงกับสติหลุดลอยไปไม่อยู่กับเนื้อกับตัวได้แต่พากันลุกขึ้นมองสาวสวยที่มาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าแผนกด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำ ตรงข้ามกับพนักงานสาวๆที่ต่างลอบสบตากันด้วยความรู้สึกที่มีทั้งยินดีและไม่ยินดีรวมไปถึงอิจฉาริษยาเมื่อผู้มาใหม่นั้นหน้าตาสวยราวกับดารานางแบบแถมรูปร่างดีมากจนพวกเธอรู้สึกไม่ค่อยพอใจ
“ทุกๆคนพี่เขมรบกวนเวลาสักครู่หนึ่งค่ะ”
เขมจิรายกมือขึ้นปรบเบาๆสองสามครั้งเพื่อเรียกให้พนักงานภายในแผนกมารวมตัวกันที่ด้านหน้าเพื่อแนะนำให้รู้จักกับพนักงานฝึกงานคนใหม่ที่ความจริงแล้วต้องเป็นคุณหนูสายขิมลูกสาวของท่านรัฐมนตรีที่เธอรู้จักสนิทสนมกับครอบครัวของท่านเป็นอย่างดี แต่อยู่ ๆ ทางมหาวิทยาลัยกลับส่งเอกสารฝึกงานของเด็กสาวคนนี้มาแทนซึ่งเธอไม่ได้ตรวจทานให้ละเอียดพอถึงเวลาที่ฝ่ายบุคคลตอบกลับเรื่องฝึกงานเธอถึงได้รู้ว่ามีการผิดฝาผิดตัวเกิดขึ้นแล้ว
“พี่ขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับน้องกอหญ้านักศึกษาจากมหาวิทยาลัย A ที่จะมาฝึกงานที่แผนกของเราเป็นเวลา 3 เดือน ยังไงก็ฝากทุกคนช่วยเอ็นดูและช่วยสอนงานน้องหน่อยนะคะ หรือถ้าน้องกอหญ้ามีตรงไหนไม่เข้าใจก็ถามพี่ๆได้ทุกคนเลยนะจ๊ะทุกคนยินดีช่วยเหลือน้องกอหญ้าเสมอ”
หึ ยินดีช่วยเหลือเสมอกะผีน่ะสิ ผู้ชายก็พอว่าไปอย่างท่าทางเป็นมิตรแต่ก็ยังมีงูโผล่ขึ้นมาบนหัวส่วนผู้หญิงก็มองเหยียดเหมือนเธอเป็นกิ้งกือใส้เดือน เธอจะอดทนได้ถึงสิบวันไหมนะกอหญ้า เฮ้อ อาจารย์นะอาจารย์เธออยากจะไปฝึกงานที่บริษัทของพี่ชายเธอต่างหากเธอไม่ได้ต้องการมาฝึกงานที่ AK Group อะไรนี่สักหน่อย
กอหญ้ายิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดในใจแต่ถึงอย่างนั้นคิ้วของเธอกลับไม่ขยับใบหน้าของเธอกลับไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมาเลยแม้แต่น้อยมุมปากของหญิงสาวเพียงยกยิ้มเล็กน้อยพร้อมก้มหน้าลงเพื่อทักทายทุกคนเพียงเท่านั้นทำให้รอยยิ้มของเขมจิราที่กำลังรอคอยให้กอหญ้าแนะนำตัวเองให้ทุกคนได้รู้จักพลันจืดจางลงไปทีละน้อย
“เอ่อ น้องกอหญ้าจะไม่แนะนำตัวหรือทักทายพี่ๆในแผนกหน่อยเหรอคะ”
น้ำเสียงที่เอ่ยบอกกอหญ้านั้นแฝงการตักเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแต่กอหญ้าที่ไม่เคยอยากจะมาฝึกงานที่นี่ตั้งแต่แรกมีหรือที่จะยอมให้อีกฝ่ายข่มตัวเองตั้งแต่ที่ยังไม่เริ่มงาน
“เมื่อสักครู่พี่เขมจิราก็บอกทุกคนไปแล้วนี่คะ ว่าหนูชื่อกอหญ้ามาจากมหาวิทยาลัย A หลังจากนี้หนูจะฝึกงานอยู่ที่นี่เป็นเวลา 3 เดือนถ้าหากหนูมีปัญหาอะไรสามารถสอบถามหรือขอความช่วยเหลือจากพี่ๆได้ทุกคนเลย”
กอหญ้าฉีกยิ้มหวานพร้อมเอ่ยตอบเขมจิราด้วยดวงตาที่เปล่งประกายเจ้าเล่ห์แสนซื่อไร้เดียงสาทำให้เขมจิราถึงกับทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะก่อนที่สายตาของเธอจะเหลือไปเห็นบางคนที่เริ่มมีสีหน้าไม่พอใจเมื่อการแนะนำตัวให้รู้จักกับเด็กฝึกงานของเธอนั้นเกินเวลาสักครู่หนึ่งที่เธอได้บอกไว้
“อ้อ โอเคจ้ะทุกคนแยกย้ายได้”
เขมจิราหันไปบอกทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่ในใจลอบขุ่นเคืองเด็กฝึกงานคนใหม่ไม่น้อยมาถึงวันแรกก็ยอกย้อนเธอได้เจ็บแสบแถมยังแกล้งตีหน้าซื่อใส่เธออีกเด็กแบบนี้เธอจะกลั่นแกล้งให้อึดอัดใจตายไปข้างหนึ่งเลยคอยดู
“พี่เขมจิราคะ พี่คะ”
กอหญ้ายกมือขึ้นโบกไปมาตรงหน้าเมื่อเห็นว่าเขมจิราคล้ายกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดจนไม่อาจจะดึงสติกลับมาคุยกับเธอได้อีก
“อะ โทษทีจ้ะพอดีช่วงนี้งานเยอะนิดหน่อย มาจ้ะตามพี่มาพี่เตรียมโต๊ะทำงานเอาไว้ให้เราแล้ว”
เขมจิราเดินนำหน้ากอหญ้ามาหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานที่เธอจัดเตรียมเอาไว้ให้นักศึกษาฝึกงานก่อนที่เขมจิราจะเรียกนัชชาพนักงานตัวจี๊ดในแผนกให้มาคอยดูแลกอหญ้าในระหว่างที่ฝึกงานโดยที่ก่อนจากไปเขมจิราไม่ลืมขยิบตาให้นัชชาอย่างรู้กันซึ่งการกระทำทุกอย่างของคนทั้งคู่นั้นล้วนอยู่ในสายตาของกอหญ้าทั้งสิ้น
“น้องกอหญ้านั่งก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวพี่นัชไปดูว่ามีงานอะไรที่น้องกอหญ้าพอจะช่วยพวกพี่ได้บ้าง”
คำพูดที่แฝงเจตนาดูถูกอยู่ในทีทำให้กอหญ้ากลอกตาไปมาหนึ่งรอบด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายก่อนที่เธอจะหยิบมือถืออกมาเล่นฆ่าเวลาในระหว่างที่นัชชากำลังกลับไปหางานมาให้เธอช่วยทำ
ห้องท่านประธาน
ในขณะที่ภีมวัจน์กำลังพลิกเปิดเอกสารตรงหน้าดูด้วยความตั้งใจเสียงโทรศัพท์ภายในของเตชินทร์พลันส่งเสียงร้องไม่หยุดโดยที่เขาไม่มีทีท่าว่าจะกดรับแต่อย่างใดเพราะตอนนี้เขากำลังช่วยภีมวัจน์สะสางงานที่กองท่วมโต๊ะด้วยความตั้งใจไม่ต่างจากผู้เป็นเจ้านาย
“จะปล่อยให้มันดังจนฉันหูดับเลยหรือไง”
น้ำเสียงเย็นเยียบที่เอ่ยถามเตชินทร์โดยที่สายตายังคงวาดผ่านตัวหนังสือในเอกสารตรงหน้าอย่างมีสมาธิเช่นเดิมทำให้คนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาตรวจสอบเอกสารช่วยเจ้านายถึงกับสะดุ้งน้อยๆด้วยความตกใจ ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นจากเอกสารตรงหน้าและมองตรงไปยังภีมวัจน์เมื่อเห็นว่าเจ้านายไม่ได้จ้องมองเขาด้วยสายตาดุดันเตชินทร์ก็รีบกดรับโทรศัพท์ทันที
“จะโทรมาอะไรหนักหนาถ้า...”
“แย่แล้วครับพี่เต คุณดารัณพาใครก็ไม่รู้มาที่บริษัทกำลังขึ้นลิฟต์ไปแล้วครับ”
เสียงที่แทรกขึ้นมาทั้ง ๆที่เตชินทร์ยังพูดไม่ทันจบทำให้เจ้านายกับลูกน้องที่ตอนแรกดวงตายังคงจดจ้องอยู่ที่ตัวหนังสือเงยหน้าขึ้นสบตากันด้วยความแปลกใจทันที
“ขอบใจมากที่ส่งข่าว”
เตชินทร์กล่าวขอบคุณปลายสายก่อนที่จะกดปิดเสียงดวงตาของเขาพลันไหววูบเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นที่เตชินทร์ต้องจำใจเรียกว่าแม่กำลังจะมาหาท่านประธานของเขาที่ยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเคยดวงตาที่ลอบสบกันเมื่อสักครู่กลับไปตั้งใจอ่านเอกสารตรงหน้าอีกครั้งราวกับไม่อยากรับรู้เรื่องของดารัณ ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดาเลี้ยงตนเอง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เวลาผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีเสียงเคาะประตูห้องทำงานของภีมวัจน์ก็ดังขึ้นซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่อยู่หน้าประตูคือใครภีมวัจน์เงยหน้าขึ้นพยักหน้าให้เตชินทร์เขาก็รีบลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องทำงานออกทันทีก่อนที่หญิงสาววัยกลางคนที่ท่าทางภูมิฐานดูสง่างามจะเดินเข้ามาในห้องทำงานตามมาด้วยสาวสวยหน้าตาน่ารักเรียบร้อย
ภีมวัจน์ทำเพียงปรายตามองคนทั้งคู่ด้วยสายตาแข็งกระด้างเย็นชาเพียงแวบเดียวเท่านั้นก่อนที่เขาจะก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารในมือต่อทำให้ดารัณกับแพรวรัมภาที่กำลังส่งยิ้มให้ภีมวัจน์ค่อยๆหุบยิ้มลงด้วยสีหน้าเก้อกระดากเมื่อท่านประธานบริษัทไม่คิดที่จะสนใจพวกเธอทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย
“เชิญนั่งครับ”
เป็นเตชินทร์นั่นเองที่เอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบตรงหน้าเมื่อท่านประธานของเขาไม่ยอมเชิญแขกทั้งสองท่านให้นั่งลงตามมารยาทที่พึงมีซึ่งภีมวัจน์ไม่สนใจที่จะทำตามมารยาทกับคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อยไม่เคยต้องการไม่เคยนับถือและไม่เคยผูกพันธ์แล้วทำไมเขาต้องทำตัวมีมารยาทกับคนตรงหน้าให้เสียเวลาด้วย
“ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง แม่ไม่เห็นภีมกลับไปทานข้าวที่บ้านบ้างเลย”
ดารัณเอ่ยถามลูกเลี้ยงที่หยิ่งยโสในสายตาของเธอด้วยใบหน้าที่ยังคงรักษารอยยิ้มเอาไว้ทั้ง ๆ ที่ในใจนั้นรู้สึกไม่พอใจและโมโหกับการกระทำที่คล้ายไม่ยินดีต้อนรับเธอของคนที่กำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่
“มาเพื่อถามเรื่องแค่นี้เหรอครับ”
น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยถามดารัณพร้อมปรายตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างเธอด้วยสายตาเฉยเมยก่อนที่เขาจะตั้งใจอ่านเอกสารตรงหน้าเหมือนเดิม
“เอ่อ เชิญคุยกันตามสบายเลยนะครับ”
เตชินทร์เอ่ยขึ้นขัดจังหวะการสนทนาของคนทั้งคู่ก่อนที่เขาจะรีบออกไปข้างนอกห้องเพื่อสั่งให้พนักงานเตรียมน้ำมาเสิร์ฟให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญทันที
“น้องกอหญ้าจ๊ะ”
เสียงเรียกของนัชชาทำให้กอหญ้าที่กำลังนั่งเล่นมือถือเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่เฉยชาซึ่งนัชชาไม่สนใจแต่อย่างใดถึงแม้ในใจจะรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่เด็กฝึกงานคนใหม่เอาแต่ปั้นหน้าเย็นชาใส่พวกเธอทั้ง ๆที่พวกเธอคือพนักงานของที่นี่
“พอดีว่าพี่มีงานด่วนที่ต้องรีบส่งพี่นัชก็เลยอยากจะวานให้น้องกอหญ้ายกน้ำไปเสิร์ฟแขกของท่านประธานหน่อยจ้ะ”
จากเด็กฝึกงานกลายเป็นเด็กเสิร์ฟน้ำกอหญ้าเธอมาทำอะไรที่นี่?
“ได้ค่ะพี่นัชชา”
กอหญ้าลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินตามหลังนัชชาไปที่ห้องเล็กๆห้องหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นห้องครัวภายในแผนกเพราะในนั้นมีทั้งตู้เย็น กาน้ำร้อน ตู้กดเครื่องดื่มและขนม รวมไปถึงชุดถ้วยชากาแฟและแก้วใส่น้ำสำหรับรับแขก
“พอดีวันนี้คุณแม่ของท่านประธานมาน่ะ ท่านมาโดยไม่ได้แจ้งพี่ก็เลยยังไม่ทันได้เตรียมอะไรพี่วานน้องกอหญ้ายกน้ำส้มกับขนมไปเสิร์ฟให้ทีนะจ๊ะท่านมากับหลานสาว”
กอหญ้าพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนที่นัชชาและส่งยิ้มขอบคุณและเดินกลับออกไปนั่งทำงานตามเดิมกอหญ้าเดินไปเปิดตู้เย็นและหยิบน้ำส้มออกมาเปิดรินใส่แก้วเปล่า 2 ใบพร้อมหยิบขนมคุกกี้มาจัดใส่จานใบเล็กให้ดูสวยงาม ก่อนที่เธอจะยกน้ำส้มและจานใบเล็กใส่ถาดพร้อมกับเดินออกมานอกห้องนัชชาก็รีบลุกขึ้นมาและชี้มือไปทางห้องๆหนึ่งที่ข้างหน้าห้องติดป้ายเอาไว้อย่างชัดเจนถึงตำแหน่งของคนที่อยู่ในนั้น
ห้องท่านประธาน
“มาเพื่อถามเรื่องแค่นี้เหรอครับ”
คำถามของภีมวัจน์ทำให้ดารัณหน้าเสียทันทีปกติแล้วลูกเลี้ยงของเธอก็มักจะพูดจาไม่ไว้หน้าเธออยู่แล้วแต่เธอไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดจาหักหน้าเธอต่อหน้าแพรวรัมภาลูกสาวของเพื่อนสนิทเธอเช่นนี้
“เปล่าจ้ะ พอดีว่าเมื่อวานแม่ได้ยินคุณปู่ท่านบ่นเป็นห่วงงานของภีมเพราะเตชินทร์แขนหักต้องลาหยุดพักยาว แม่ก็เลยไปขอให้หนูแพรวรัมภาลูกสาวของคุณหญิงพิณณราเพื่อนสนิทของแม่ที่เพิ่งเรียนจบบริหารกลับมาจากเมืองนอกมาช่วยงานลูกชั่วคราวจนกว่าเตชินทร์จะหายดี”
ในขณะที่พูดสายตาของดารัณก็มองสบตาของแพรวรัมภาอย่างมีความหมายเธอรู้ว่าลูกสาวของเพื่อนสนิทเธอนั้นแอบชอบภีมวัจน์มาตั้งแต่เด็กๆตอนนี้เด็กทั้งคู่ต่างเติบโตเป็นผู้ใหญ่เธอก็เลยอยากจะทำตัวเป็นแม่สื่อให้เด็กสองคนได้ใกล้ชิดเพื่อเรียนรู้ศึกษานิสัยใจคอของกันและกัน หญิงสาวที่สวยน่ารักและเพียบพร้อมทั้งฐานะและการศึกษาอย่างแพรวรัมภาภีมวัจน์ไม่มีทางไม่สนใจอย่างแน่นอนยิ่งถ้าทั้งคู่เกิดชอบพอกันขึ้นมาจริงๆท่านเปรมชัยคงต้องยกธุรกิจที่มีอยู่ในมือให้ว่าที่ลูกเขยอย่างภีมวัจน์แน่นอนส่วน AK Group แห่งนี้เธอก็จะหาทางยื้อแย่งมาให้ลูกชายของเธอให้ได้
“ผมขอร้องเหรอครับคุณแม่ถึงได้วิ่งไปคุยกับเพื่อนสนิทเพื่อขอตัวลูกสาวของท่านให้มาช่วยงานผม เท่าที่ผมจำได้ตั้งแต่คุณพ่อจากไปผมคุยกับคุณแม่นับประโยคได้”
คำพูดที่จงใจประกาศให้แพรวรัมภารู้ว่าเรื่องนี้เขาไม่เคยร้องขอและไม่ได้สนิทสนมกับดารัณถึงขั้นอนุญาตให้มารดาเลี้ยงคนนี้เข้ามายุ่งวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของเขาทำให้หญิงสาวที่นั่งเงียบด้วยใบหน้าที่ฉายแววคาดหวังพลันรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจก่อนที่เธอจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าคมคายของเขาด้วยแววตาที่เจ็บช้ำไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีเขาก็ยังคงไม่เคยชายตามองมาที่เธอเหมือนเดิมสินะ
“อันที่จริงคุณป้าไม่ได้ขอร้องหรอกค่ะแต่เป็นแพรวเองที่เสนอคุณป้า พอดีแพรวเพิ่งเรียนจบกลับมาก็เลยอยากจะหาประสบการณ์ก่อนที่จะเข้าไปช่วยงานคุณพ่อหวังว่าพี่ภีมจะให้โอกาส”
แพรวรัมภาเอ่ยแก้ต่างให้ดารัณด้วยรอยยิ้มที่สดใสแววตาที่เจ็บช้ำน้ำใจก่อนหน้านี้จางหายไปอย่างรวดเร็วถ้าเป็นแต่ก่อนเธอก็คงแบกความผิดหวังกลับบ้านไปด้วยหัวใจร้าวรานที่ถูกเขาปฏิเสธ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วเธอเติบโตขึ้นและมีความกล้ามากพอที่จะใช้คำพูดขอร้องเขาให้ช่วยเหลือเธอโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้เขาปฏิเสธได้เลย
เธอชอบเขามากไม่สิเธอหลงรักเขาตั้งแต่เด็กต่างหากเธอจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งผู้ชายของเธอไปทั้งนั้นเขาคือหัวใจของเธอยิ่งได้มาครอบครองยากเท่าไรแพรวรัมภาก็จะทุ่มเทสุดหัวใจเพื่อให้ได้เขามา
“อ้อ น้องแพรวเสนอทั้ง ๆ ที่พี่ไม่ได้ร้องขอสินะครับ”
วาจาเชือดเฉือนของภีมวัจน์ทำให้แพรวรัมภาถึงกับคุมสีหน้าแทบไม่อยู่ในใจเธอรู้สึกเจ็บปวดจนแทบหลั่งน้ำตาแต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าเนียนสวยก็ยังคงส่งยิ้มให้เขาอย่างไร้เดียงสา
“ภีมลูก..”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องทำให้ดารัณกลืนคำพูดกลับคืนลงไปก่อนที่เสียงหวานใสจะเอ่ยขออนุญาตเข้ามาในห้อง
“ขออนุญาตเสิร์ฟน้ำค่ะท่านประธาน”
กอหญ้าพูดจบก็ผลักประตูเปิดเข้ามาทันทีใบหน้าเย็นชาของภีมวัจน์ที่หันสายตาไปมองผู้ที่เข้ามาใหม่พลันแข็งค้างไปชั่วขณะเช่นเดียวกับกอหญ้าที่ก็ตกตะลึงไปเช่นกัน ดวงตาคู่งามพลันไหววูบเล็กน้อยก่อนที่เธอจะปรับสีหน้าให้เรียบเฉยเหมือนเดิมแต่ภีมวัจน์กลับไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้างามของกอหญ้าเลยแม้แต่น้อยถึงแม้ว่าเขาจะตกใจมากแค่ไหนกับการปรากฏตัวของเธอผู้หญิงที่เขาอยากจะวิ่งหนีออกไปให้ไกลมากที่สุด
หลังจากที่เขากลับมาจากโรงแรมเขาเคยภาวนาว่าขออย่าให้ได้เจอะเจอกับผู้หญิงประหลาดคนนั้นอีกเลยคิดไม่ถึงว่าพระพรหมท่านช่างใจร้ายไม่ยอมฟังคำขอของเขาหรืออย่างไรถึงได้ส่งแม่ตัวแสบที่กล้าจ่ายค่าตัวเขาถึงหนึ่งร้อยล้านบาทมาอยู่ตรงหน้าเขาแบบนี้ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ดวงตาของภีมวัจน์พลันทอแสงเป็นประกายด้วยความเจ้าเล่ห์ก่อนที่เขาจะค่อยๆมองตามการเคลื่อนไหวของกอหญ้าสายตายามจ้องมองเต็มไปด้วยความนัยแอบแฝงทำให้แพรวรัมภาที่แอบมองภีมวัจน์อยู่ถึงกับกำหมัดแน่นด้วยความรู้สึกเกลียดชังคนที่เข้ามาใหม่อย่างไม่รู้ตัว
“คุณเข้ามาพอดีเลยผมนั่งรอคุณตั้งนานแหนะ ภีมต้องขอโทษคุณแม่กับน้องแพรวด้วยนะครับสำหรับความหวังดีพอดีภีมได้คนมาช่วยงานในระหว่างที่เตชินทร์ลาพักแล้ว”
จบประโยคภีมวัจน์ก็มองหน้ากอหญ้าที่เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาอย่างพอดีดวงตาสองคู่มองสบตากันราวกับจะมองให้ทะลุเข้าไปถึงกลางใจซึ่งคำพูดของผู้ชายตรงหน้ากอหญ้านั้นเข้าใจดีทุกอย่างนี่เขากำลังยืมมือเธอปฏิเสธคนชัดๆไอ้ผู้ชายเจ้าเล่ห์ หึ ตั้งแต่วันที่เธอเดินหันหลังจากมากอหญ้าเคยบอกตัวเองว่าถ้าหากเธอได้พบกับเขาอีกครั้งเธอจะเอาคืนให้สาสมในเมื่อเขาอยากยืมมือเธอปฏิเสธคนแล้วทำไมเธอจะต้องปฏิเสธให้เสียเวลา