ปึก!!แรงกระแทกแก้วเหล้าลงกับโต๊ะกระจกทำให้แดนและครามต่างพากันตกใจ เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนของตัวเองไปเก็บกดจากที่ไหนมา พอมาถึงก็ไม่ยอมพูดจาอะไร ติณณ์ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มไม่หยุดใบหน้านิ่งของติณณ์ทำให้ทั้งสองไม่กล้าล้อเล่นหรือถามอะไรไปมากกว่านี้ ถ้าเพื่อนเขาพร้อมเล่าเดี๋ยวก็พูดมาเอง
“พวกมึงคิดว่า ถ้าได้แต่งงานกับกูจะมีคนปฏิเสธรึเปล่าวะ” คำถามที่เอ่ยขึ้นจากปากติณณ์ทำให้ครามและแดนเริ่มงุนงงกับคำถามหรือว่าเพื่อนของเขาเมากันแน่ หลายวันที่ผ่านมาติณณ์ดูหงุดหงิดเป็นพิเศษเพราะปกติติณณ์จะนิ่งและเก็บอาการความรู้สึกของตัวเองได้เป็นอย่างดีไม่มีใครสามารถสังเกตได้แต่ตอนนี้แม้แต่เด็กน้อยยังรู้เลยว่าเพื่อนของเขาอารมณ์ไม่ดี
“ใช่จะปฏิเสธมึง นอกจากว่าเขามีผัวแล้วแค่นั้นแหละ” ครามตอบเพื่อนรักออกไปด้วยความสัตย์จริง เพราะเพื่อนของเขาเฟอร์เฟคไปทุกอย่าง หล่อ รวย แถมยังมีดีกรีเป็นถึงสาวในฝันที่ผุ้หญิงอยากแต่งงานด้วยอีก ทำไมถึงยังมีคนกล้าปฏิเสธเพื่อนเขาอีก เพราะที่ผ่านมาเขาเห็นมีแต่ผู้หญิงวิ่งเข้าหาเพื่อนเขาแต่ไม่เคยเห็นเพื่อนตัวเองสนใจผู้หญิงที่ไหนเห็นก็คงมีแต่เรื่องงานซึ่งเขาเห็นเพื่อนติดต่อกับเลขาเรื่องงานตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อนเขาก็มักจะติดต่อไปหาเลขาที่แดนปลื้มอยู่ตลอด
“แล้วถ้าเขายังโสด”
“ก็คนมีคนแบบนี้หนึ่งในล้านเท่านั้นแหละ”
“ทำไมวะ”
“ถามใคร ถามพวกกูแล้วพวกกูจะรู้มั้ย” น้ำเสียงเหมือนคนละเมยของติณณ์ทำให้แดนไม่แน่ใจว่าติณณ์ถามเขารึเปล่า แดนจึงชี้ตัวเองว่าถามให้แน่ชัดว่าเพื่อนกำลังถามเขาอยู่รึเปล่า!! ก่อนที่ติณณ์จะพยักหน้ารับรู้ว่าเขานั้นถามแดนนั่นแหละ
“กูจะรู้มั้ย ผู้หญิงเข้าใจยากจะตาย มึงอย่าถามหาคำตอบจากเธอเลย” ก็คงเป็นอย่างที่แดนพูด เขาไม่เคยเข้าใจผู้หญิงขนาดเสือผู้หญิงอย่างไอ้แดนยังไม่สามารถเข้าใจได้เลย เมื่อหาคำตอบไม่ได้ติณณ์ก็ยกแก้วเหล้าดื่มด้วยความเซ็งอย่างหนัก
ผมนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันที่เลขาของเขาปฏิเสธไม่ยอมแต่งงานกับผม ปฏิเสธแบบไม่ต้องคิดเธอค้านหัวชนฝา ทำให้คนที่มั่นใจในตัวเองผมของผมพังทลายลงความหงุดหงิดเข้ามาแทรก ช่วงนี้ผมหงุดหงิดบ่อย ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าตัวเองหงุดหงิดบ่อยแต่ผมไม่สามารถห้ามอารมณ์ตัวเองได้เลย สมองผมสับสนและประมวลผลได้ยากลำบาก เพราะเวลาผมคิดอะไรใบหน้าของเลขาก็จะลองเข้ามาทุกครั้งและยิ่งเธอดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนตอนที่ผมนัดดูตัวแถมยังเป็นคนนัดให้ผมด้วยตัวเอง ยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดใจ
ผู้หญิงมากมายที่พร้อมจะเข้ามาหาผมที่เงินและชื่อเสียงเว้นก็แต่ปุณที่พยายามค้านขนาดแม่ของผมขอให้ช่วยเธอยังทำท่าทางคิดและยังไม่ให้คำตอบ ถ้าเป็นปุณปกติเธอจะตอบตกลงช่วยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ผมอยากถามเธอเหมือนกันทำไมถึงปฏิเสธข้อเสนอของแม่ผม แต่ผมไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามเธอแม้แต่น้อย
ปุณคือผู้หญิงที่สวยและทำงานเก่งตั้งแต่ทำงานด้วยกันมา ผมประทับใจในตัวเธอหลายอย่างจริง ๆ ผมเคยเจอเธอก่อนที่เธอจะมาสมัครงานที่บริษัทผมอีก ภายเหตุการณ์วันแรกที่ผมเจอเธอที่ห้างของตัวเอง วันนั้นผมไปตรวจงานพอดีและพบกับเธอเข้า
“ไอ้ปุณรอ เดี๋ยว!!รอฉันด้วย” ภาพผู้หญิงที่เดินทำหน้าบึ้งตึง เธอมีเพื่อนเดินตามหลังด้วยความรีบร้อนไม่รู้ว่าเพื่อนของเธอไปทำอะไรให้เธอโกรธกันแน่ ผมยังคงยืนฟังบทสนาของทั้งสองเงียบ ๆ ซึ่งปกติผมไม่ชอบยุ่งเรื่องของใครอยู่แล้วแต่ไม่รู้ว่าทำไมผมอยากจะรู้ว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้งอลเพื่อนตัวเองได้
“มึงนัดใครมากินข้าวด้วย ห๊า!! ยัยมิ้น” เสียงโวยวายของเธอบวกกับท่าทางการงอลของเธอ ทำให้ผมไม่อาจละสายตาได้เลย
“ก็ฉันอยากให้แกลองเปิดใจไง เขาโปรไฟล์ดีและอีกอย่างพี่เขาสนแกไง”
“เดี๋ยวฉันถีบเข้าให้”
“ขอโทษ เลี้ยงเบียร์หนึ่งอาทิตย์เลยอ้าว!!”
“โอเค ดิล” รอยยิ้มหวานปรากฏที่ใบหน้าสวย ทำให้ผมที่ตรวจงานอยู่บริเวณนั้นได้ยินทุกประโยค ก่อนที่เธอจะเดินออกไปจากบริเวณ
“พี่เขารวยมากนะแก พิจารณาเอาไว้เถอะ” ร่างสมส่วนไม่ได้ตอบอะไรเพื่อนกลับไป เธอเดินไปข้างหน้าและโบกมือให้เพื่อนรักและเดินออกไป ยิ่งทำให้ผมหันไปมองตามเธอจนสุดท่าเดินอย่างไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครมาก่อน สรุปเรื่องทั้งหมดคือเพื่อนของเธอนัดผู้ชายให้และเจ้าตัวไม่พอใจจึงงอลเพื่อนไปเรื่องง่าย ๆ ขนาดเพื่อนเธอบอกว่าผู้ชายคนนั้นรวยแต่ไม่สามารถเรียกความสนใจให้คนตัวเล็กได้แม้แต่น้อย มันเริ่มให้ผมอยากรู้แล้วสึกว่าเธอจะชอบผู้ชายแบบไหนและตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้เจอเธออีกเลยจนกระทั้งเธอมาสมัครงานที่บริษัทผมและผมก็จำเธอได้เป็นอย่างดี
“ไอ้เหี้ยติณณ์ เป็นห่าอะไรวะ” เสียงของไอ้ครามทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ตัวเอง
“เปล่า ๆ”
“กูเห็นมึงนิ่งไป นึกว่าวิญาณออกจากร่างไปแล้ว” สีหน้าตื่นตะหนกของเพื่อนรักทำให้ติณณ์ต้องเปลี่ยนเรื่องคุยและนั่งดื่มกับเพื่อนทั้งสองต่อและพูดคุยเรื่องต่าง ๆ แต่ส่วนมากจะคุยเรื่องธุรกิจกันมากกว่า เพราะพวกเขาคือนักธุรกิจที่มีเรื่องหาลือกันตลอดอยู่แล้ว ยิ่งมีเพื่อนที่ดีที่สามารถช่วยและค่อยให้คำปรึกษาทำให้เขาโชคดีในระดับหนึ่ง
“แยกย้ายกันกลับ ขับรถดี ๆ นะพวกมึง” หลังจากที่คุยกันเรียบร้อยพวกเขาก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน เวลายามดึกรถไม่ค่อยวิ่งผ่านกันเท่าไหร่ ทำให้รถไม่ติดและถนนโล่ง รถยนต์คนหรูของติณณ์มุ่งไปยังบ้านของตัวเอง เขาแยกออกมาอยู่ตัวคนเดียวแต่อยู่บริเวณใกล้กับบ้านพ่อและแม่อยู่ดี เพราะเขาชอบความเป็นส่วนตัวจึงขอแยกออกมาอยู่เองดีกว่า
ถนนที่โล่งทำให้รถสามารถขับได้เร็วกว่าปกติ ติณณ์ที่ชื่นชอบความเร็วอยู่แล้วทำให้เขาขับรถด้วยความเร็วเกินกฎหมายกำหนดบนท้องถนนในเวลากลางคืน ที่มีแสงไฟสีส้มรายล้อมตลอดทางและด้วยความเร็วรถที่เขาขับเกินกว่ากฎหมายกำหนด
สายตาคมโฟกัสเห็นสองคนแม่ลูกกำลังเดินจับมือกันข้ามถนนในยามดึกและระยะกระชั้นชิด ทำให้ติณณ์ตัดสินใจเหยียบเบรกกะทันหัน รถที่ขับมาด้วยความเร็วไม่สามารถประคองตัวเองไว้ได้ทำให้รถหมุนสามรอบก่อนจะฟาดเข้าไปยังเสาไฟฟ้าข้างทาง
เอี๊ยดดด!! โครม
สภาพรถที่พังยับเยินเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วมาก ติณณ์ที่นอนอยู่ภายในรถด้วยอาการสะลึมสะลือ สายตาที่เริ่มเลือนราง มองเห็นสองคนแม่ลูกยืนยิ้มให้เขาอยู่ด้วยใบหน้าที่ดูสะใจอย่างบอกไม่ถูก มือถือที่ตกอยู่ภายในรถยนต์ทำให้ติณณ์พยายามควานหามือถือของตัวเองแต่ด้วยอาการมึนทำให้สติของเขาดับวูบไปทันที