บทที่ 2
“แน่ใจนะว่านหนิงว่าจะแต่งให้ฉันได้” เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนสนิทรออยู่ หลงเหยียนรีบวิ่งไปเปิดประตูให้ว่านหนิงเข้ามา
ว่านหนิงยิ้ม “เชื่อมือสิ แต่ต้องไปทำผมก่อนนะ สภาพคลุกดินโคลนแบบนี้ไม่ไหวจริง ๆ ”
หลงเหยียนทำหน้ายู่แต่พยักหน้าให้กับเพื่อนสาวอย่างว่านหนิง เธอก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ทุกวัน แต่กับหญิงสาวที่แต่งตัวเก่งอย่างว่านหนิงคงจะมองว่าเธอสกปรก ก็ช่วยไม่ได้งานมันรัดตัวนี่นา
นอกจากหัวหน้าทีมที่รับเธอมาทำงานเพราะเห็นความสามารถก็มีว่านหนิงเนี่ยแหละที่เป็นเพื่อนที่ดีของเธอ และครั้งนี้เพราะการจัดงานฉลองไม่ได้ทำแบบธรรมดาแต่จะแต่งเป็นแบบแฟนซีเธอจึงค่อนข้างกังวลเป็นพิเศษจึงต้องขอความช่วยเหลือจากว่านหนิง
คนไม่ค่อยแต่งตัวอย่างเธอจะรู้ได้อย่างไรว่าควรจะแต่งอะไรแบบไหนไป
“หลับไปเลยก็ได้นะ นานแน่นอน”
หลังจากมาถึงร้านหลงเหยียนก็ถูกบอกอย่างนั้น หญิงสาวที่เอาแต่ทำงานย่อมเหนื่อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ขนาดกลางกองดินเธอยังหลับได้ ตอนนี้นอนให้คนสระผมสบาย ๆ จะไม่หลับได้อย่างไร
ว่านหนิงที่เห็นเพื่อนสาวของตัวเองหลับสนิทก็หันไปกระซิบบอกให้ช่างทำผมทำเต็มที่เธอคิดลุกนี้มาทั้งคืนอยากจะเซอร์ไพรส์หลงเหยียนและค่อนข้างมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะชอบแน่ ๆ แต่กลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น
“กรี๊ดดดดดดดด นี่มันอะไรกันเนี่ย”
หญิงสาวที่ปกติไม่ใช่คนโวยวายขนาดนี้กรีดร้องจนคนในร้านตกใจ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” ช่างทำผมเร่งเข้ามาดูแล เธอและลูกน้องทำเต็มฝีมือตามที่เพื่อนของหญิงสาวบอกเอาไว้เลย
“ทำไม ทำไมผมฉันกลายเป็นสีขาวอย่างนี้ล่ะ” หลงเหยียนโวยวายแต่ว่านหนิงที่เป็นตัวตั้งตัวตีขยับเข้ามาใกล้
“สวยออก ไหน ๆ ได้แต่งตัวบ้างก็แต่งให้มันสุด ๆ ไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ เข้ากับธีมงานวันนี้เลยนะ”
คำพูดของว่านหนิงทำให้หลงเหยียนอยากจะบ้า
สุด ๆ เหรอ
แต่นี่มันก็สุดเกินไปหน่อยเพราะผมที่เคยดำขลับของเธอกลายเป็นสีขาวเป็นประกายแม้จะดูสวยดี แต่นี่มันไม่เหมือนพวกปีศาจผมขาวพันปีอะไรแบบนั้นเหรอ
“ช่างเถอะ” เพราะไม่อยากแตกหักกับเพื่อนที่กำลังขอโทษขอโพยตัวเองอยู่ ถึงจะเสียใจที่ถูกเปลี่ยนลุกกะทันหันอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่มันก็แค่สีผม อีกไม่นานก็กลับมาเป็นสีเดิมได้ หลงเหยียนไม่อยากแตกหักกับเพื่อนสนิทเพราะเรื่องงีเง่าแค่นี้จึงไม่สนใจและปล่อยผ่านทุกอย่างไป
แต่ก็ไม่นึกว่าเธอจะต้องมีปัญหากับว่านหนิงจริง ๆ ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่คิด คัมภีร์ที่เธอเป็นคนเจอและแปลไปกว่าครึ่ง ร่วมถึงสิ่งของต่าง ๆ ถูกโชว์อวดโฉมอยู่ในตู้กระจกนิรภัยอย่างดี แต่สิ่งที่หญิงสาวนึกไม่ถึงเลยก็คือชื่อที่แปะเป็นเจ้าของผลงานนั่น และยิ่งทึ่งกว่าเมื่อพิธีกรบนเวทีประกาศเรียกเพื่อนสนิทของเธออย่างว่านหนิงแทนที่จะเป็นเธอ
ว่านหนิงไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าเธอด้วยซ้ำตอนที่ไฟส่องมาที่หญิงสาว อีกฝ่ายนำเรื่องราวที่เธอเคยเล่าให้ฟังไปเล่าให้ทุกคนฟังราวกับก๊อบปี้วาง สถานการณ์ที่พลิกจากฝ่อมือเป็นสิ่งที่หลงเหยียนไม่อยากจะเอ่ยถึง ทำให้ หลงเหยียนที่อุตส่าห์แต่งชุดมาอย่างดีเพื่อมาฉลองในเรือยอช์ตหรูลำสวยของอาจารย์ เธอปลีกตัวออกมาอยู่ที่ท้ายเรือเพียงลำพัง
แค่ได้เห็นเพียงรอยยิ้มยินดีที่ได้รับรางวัลของว่านหนิงบนเวที ได้ฟังเพียงแค่ประโยคแรกของพิธีกรเท่านั้น แค่ฟังก็รับรู้ได้แล้วว่าที่เขาบอกกันนั้นมันจริง
อย่าไว้ใจใคร แม้แต่คนใกล้ตัว
ความเสียใจถาโถมเข้ามาจนน้ำตาตกใน มันเจ็บที่ถูกเพื่อนและคนร่วมงานหลอก แต่มันจุกจนร้องไม่ออกมากกว่า ว่านหนิงเป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและเป็นเพื่อนสนิทที่เรียนมาด้วยกัน เธอไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ทำกับเธอแบบนี้จะเป็นคนที่เธอไว้ใจที่สุด หากอาจารย์จะเคลมเอาผลงานทั้งหมดของเธอไปเป็นของตัวเองเธอคงไม่เสียใจขนาดนี้
งานทั้งหมดที่อดมื้อกินมื้อ นอนกลางดินทรายเพื่อเฝ้าสิ่งที่ขุดเจอ หรือแม้กระทั่งหนังสืออ้างอิงนับสิบนับร้อยเล่มที่ต้องเปิดดูทั้งหมดที่ทุ่มเทถูกแย่งไปแล้ว
“เหลือแค่นี้สินะ” หญิงสาวถือของชิ้นหนึ่งเอาไว้ในมือ เธอไม่ได้ตั้งใจจะแยกมันเก็บเอาไว้ แต่เพราะกำลังจะระบุเรื่องราวของมันลงในบันทึกจึงแยกออกมาตรวจสอบ
สร้อยหินเส้นเล็กที่เธอพบในสุสาน ตอนที่ย้อนกลับเข้าไปเดินดูอีกครั้งตอนที่ทุกคนกำลังนอนพัก นอนนิ่งอยู่ในฝ่ามือของเธอ มองดูแล้วก็คล้ายกับจี้ที่ชายหนุ่มในความฝันของเธอถือเอาไว้
“ข้ารอเจ้าอยู่”
เสียงนุ่มทุ้มที่ลอยมากับสายลมทำให้หลงเหยียนหันมองซ้ายขวาแต่กลับไม่พบอะไร แต่เสียงนั้นก็คลายจะดังใกล้ขึ้นมาอีกราวกับกระซิบอยู่ข้างหู หลงเหยียนหันไปตามเสียงนั้นเพราะคิดว่าจะมีเพื่อนร่วมงานมาตามเธอให้กลับเข้าไปในงานหรือเปล่า แต่ก็ไม่ ตรงที่เธอหันไปนั้นว่างเปล่า