“ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์มาเจอผม เชิญนั่งก่อนครับ”
เพลงจันทร์มองรอยยิ้มของคนที่ชื่อนาวา แล้วรู้สึกได้เลยว่าตอ.. เอ๊ย! เสแสร้ง
“ผมขอแนะนำให้รู้จักกับเลขาฯ ของผมก่อนนะครับ นี่เพลงจันทร์ครับ” คีรีเอ่ยแนะนำเลขา ฯ สาวที่กำลังนินทานาวาทางสายตา
“สวัสดีครับ ผมนาวา ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณเพลงจันทร์”
“เช่นกันค่ะ” เจ้าหล่อนมอบรอยยิ้มที่แสนจะจริงใจ (ประชด) ให้ผู้ชายที่ชื่อนาวา
อาหารหลายอย่างทยอยนำมาเสิร์ฟ ถ้าดูเผินๆ การนัดเจอกันครั้งนี้เหมือนจะเป็นการนัดกินข้าวกันธรรมดา แต่เพลงจันทร์ลอบสังเกตหลายทีแล้วว่า ทั้งทางฝั่งคีรีและนาวาดูเหมือนกำลังหยั่งเชิงฝ่ายตรงข้ามอยู่ แต่นาวาเองคงจะทนเล่นสงครามจิตวิทยาไม่ไหว จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาก่อน
“ผมขอเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะ ผมเห็นว่าทางดิคลาสเซ่กรุ๊ปมีโครงการที่จะก่อตั้งโรงแรมที่สามเหลี่ยมทองคำ”
“โครงการนี้ยังไม่ได้เป็นรูปเป็นร่าง แค่ทางฝ่ายคณะกรรมการเสนอมาน่ะครับ”
“ผมทราบดีนะครับว่าทางดิคลาสเซ่เป็นอาณาจักรที่มั่นคง แต่การก่อสร้างในพื้นที่เศรษฐกิจแบบนั้นต้องลงทุนสูงพอสมควร ผมจึงอยากจะขอมีส่วนร่วม โดยการขอเป็นหุ้นส่วนของโรงแรม แล้วช่วยคุณคีบริหาร”
ทำไมชายหนุ่มจะไม่รู้ว่าที่นาวาต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารดิคลาสเซ่สาขาสามเหลี่ยมทองคำเพราะอะไร นักธุรกิจวัยกลางคนที่ร่ำรวยมหาศาลขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี ทั้งที่ก่อนหน้านั้นธุรกิจส่งออกอาหารลุ่มๆ ดอนๆ มาโดยตลอด นั่นก็เพราะว่านาวาไม่ได้ขายแค่อาหารกระป๋องอย่างเดียว แต่ยังส่งออก ‘เนื้อสด’ อีกด้วย
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งนะครับที่วันนี้คุณนาวาเชิญผมมาร่วมรับประทานอาหาร แต่เรื่องหุ้นและเรื่องการเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหาร ผมคงต้องขอปฏิเสธ”
“ผมจะให้เวลาคุณคิด ยังไม่ต้องตัดสินใจตอนนี้ก็ได้”
“อะไรที่ได้ออกจากปากผม นั่นคือสิ่งที่ผมตัดสินใจดีแล้วครับ”
เพลงจันทร์ที่กำลังจะคีบกุ้งเทมปุระเข้าปากแอบชำเลืองมองบอสใหญ่แห่งดิคลาสเซ่ ก่อนจะแกล้งปัดแก้วน้ำชาที่อยู่ข้างขวาซึ่งเป็นฝั่งที่นาวานั่งอยู่
“ขอโทษค่ะ ขอโทษ”
หญิงสาวมองหน้านาวาอย่างรู้สึกผิดก่อนจะยกมือไหว้ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ แต่ก็ยังมิวายที่จะใช้กระเป๋าสะพายข้างปัดแก้วของเจ้าหล่อนล้มตามลงไปด้วยอีก ทำให้ตอนนี้ทั้งโต๊ะอาหารและตัวนาวาเองเลอะเทอะไปหมด
“ไม่เป็นไรครับ คุณเพลงจันทร์คงไม่ได้ตั้งใจ”
แม้ใบหน้าจะยิ้ม แต่แววตากลับกรุ่นไปด้วยความไม่พอใจ เพราะเพลงจันทร์เป็นคนที่ทำให้การเจรจาครั้งนี้ต้องล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า
“ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ ไปคุณจันทร์”
คีรีคว้ามือเพลงจันทร์เดินออกจากห้องไป ก่อนจะพาเจ้าหล่อนไปล้างมือล้างปากที่ห้องน้ำ
“บอสเอาฉันมาเป็นไม้กันหมา”
“เปล่าซะหน่อย”
“อย่ามาปฏิเสธเลยค่ะ”
“ผมไม่ได้ปฏิเสธ ผมเอาคุณมาป่วนต่างหาก”
“บอส!”
“ล้อเล่นน่า อ่ะนี่เช็ดปากหน่อย”
เพลงจันทร์รับทิชชูจากมือของชายหนุ่มก่อนจะมาเช็ดปากตัวเอง พลางส่งค้อนให้ผู้ชายตัวสูงที่กำลังยืนยิ้มปนขำอยู่ข้างเธอ ด้วยเพราะเคืองที่รู้ว่าถูกนำมาเป็นไม้กันหมาในการเจรจาครั้งนี้
“มานี่มาผมเช็ดให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเช็ดเองได้”
“เช็ดเองได้อะไรกัน แบบนี้เช็ดทั้งชาติก็ไม่สะอาด”
คีรีโน้มตัวลงแล้วใช้มือจับที่คางของเจ้าหล่อน ก่อนจะใช้ทิชชูเช็ดที่มุมปากซึ่งมีเศษอาหารติดอยู่ ทำงานร่วมกันมาก็ตั้งหลายเดือนแต่เขาไม่ได้มีโอกาสสังเกตเลขาฯ ของตัวเองใกล้ๆ แบบนี้มาก่อน ถึงเพลงจันทร์จะไม่ใช่ผู้หญิงที่สวยจัดชนิดที่ว่าถ้าเขาเห็นต้องพุ่งเข้าใส่ แต่ทุกอย่างบนใบหน้าของเจ้าหล่อนเป็นส่วนผสมกลมกลืนที่ถ้าเป็นอาหารก็คลุกเคล้าจนได้รสชาติที่กลมกล่อม ปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อเคลือบด้วยลิปสติกบางๆ ดวงตากลมโตล้อมกรอบไปด้วยแพขนตาหนางอนดูเป็นธรรมชาติ จมูกเล็กโด่งเชิดแล้วยังมีแก้มป่องๆ ที่น่าหอมซะมัด
“ขอบคุณนะคะ”
เมื่อรู้ตัวว่าถูกจ้องมอง เพลงจันทร์จึงขยับใบหน้าเล็กน้อยเพื่อให้เขาปล่อยมือที่จับคางเธออยู่ ก่อนจะถอยออกมาเพื่อไม่ให้อยู่ในระยะที่ใกล้เกินความจำเป็น
“กลับเลยไหม เดี๋ยวผมไปส่งที่บ้าน”
“คือรถของฉันจอดอยู่ที่โรงแรมน่ะค่ะ เดี๋ยวฉันนั่งรถไฟฟ้ากลับไปเอาเองดีกว่า”
“ได้ไงคุณ ผมพาคุณมาก็ต้องพาคุณกลับสิ”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะบอส”
“เถียงอีกคำ ลดโบนัสปลายปีเหลือหนึ่งเดือน”
“งั้นขึ้นรถเลยค่ะบอส”