“โอ๊ย! ปวดหัวโว้ย”
เพราะเมื่อคืนจัดหนักจัดเต็มไปหน่อย เช้าวันนี้สาวปาร์ตี้ในร่างอาซิ้มเลยรู้สึกเวียนหัวอย่างหนัก เพลงจันทร์กะพริบเปลือกตาเพื่อไล่ความง่วงงุนแล้วมองไปรอบๆ ห้องที่ดูแค่แวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ห้องนอนที่บ้านเธอ
“ตื่นแล้วเหรอจ๊ะ”
เจ้าของห้องตัวจริงอย่างจรรยาซึ่งดูจะไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่กรอกเข้าไปเมื่อคืนเลยสักนิด เพราะหน้าตาดูสดชื่นแจ่มใสแตกต่างจากเธอยิ่งนัก
“กี่โมงแล้วเจ้”
“อีกสิบนาทีเที่ยง นี่ว่าจะมาตามแกไปกินข้าว”
“เดี๋ยวฉันล้างหน้าแปรงฟันแป๊บ”
กว่าจะหอบสังขารและร่างอันโคตรเน่าของตัวเองกลับมายังบ้านได้ เพลงจันทร์ก็ต้องปาดเหงื่อไปหลายรอบ หญิงสาวรีบอาบน้ำชำระร่างกายก่อนจะหอบงานลงมาทำที่โต๊ะทำงานซึ่งอยู่ตรงกลางของตัวบ้านชั้นล่าง อากาศในช่วงบ่ายถึงแม้จะมีลมพัดบ้างแต่ก็จัดได้ว่าร้อนอบอ้าวพอสมควร แอร์คอนดิชั่นจึงเป็นทางเลือกที่หญิงสาวเลือกใช้
“ตาหวาน สบายเลยสิแกน่ะ”
เพลงจันทร์เหลือบมองเจ้าหมาร่างหมูที่นอนอยู่ใกล้ๆ กับเธอ ก็อดที่จะเอ่ยปากแซวไม่ได้
ชีวิตมนุษย์เงินเดือนที่ต้องรีบแหกขี้ตาตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวแต่เช้าเพื่อเข้าตอกบัตรให้ทัน แต่คุณเลขาฯ สาววันนี้รีบมาทำงานก่อนเวลาถึงหนึ่งชั่วโมง เพราะต้องรีบมาเตรียมการประชุมให้บอสของเธอ แม้จะมาเช้าก็จริง แต่เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาหญิงสาวได้ชาร์จพลังเต็มที่ ทำให้เช้านี้เจ้าหล่อนรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าพร้อมทำงานอย่างเต็มที่
“แคมเปญส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของเราที่จัดทำโปรโมชั่นลดราคาให้ลูกค้า ผมได้ทำแผนเสนอมาเรียบร้อยแล้วครับ ผมเห็นว่า..”
“ผมยังไม่อนุมัตินะ แคมเปญแบบนี้ทางเราจัดมาสองปีแล้ว แต่สองปีที่ผ่านมาทางเราไม่ได้ประโยชน์จากแคมเปญเลย”
เรื่องที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากแคมเปญก็ส่วนหนึ่ง แต่เหตุผลอีกข้อที่ทำให้คีรียังไม่อนุมัติก็เพราะมีคนบางกลุ่มใช้แคมเปญนี้หาผลประโยชน์มหาศาลเข้ากระเป๋าตนเอง แต่ตอนนี้หลักฐานยังไม่มากพอ ตัวเขาเองจึงทำอะไรไม่ได้ นอกจากสั่งระงับโครงการและพยายามหาหลักฐานเพื่อเอาผิดคนกลุ่มนั้น
“แต่..”
“ผมให้เวลาสามวัน แผนแคมเปญใหม่ต้องมาวางที่โต๊ะของผม วันนี้ปิดการประชุมได้”
เมื่อบอสของเธอลุกออกจากห้องประชุมท่ามกลางมวลประชาที่กำลังด่าเขาผ่านทางสายตา มีหรือที่เพลงจันทร์จะนั่งเสนอหน้าอยู่
นาฬิกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะบอกเวลาว่าเลยเลขหกมาเกือบสามสิบนาทีแล้ว แต่เพลงจันทร์ก็ยังไม่ได้กลับบ้านเพราะต้องรีบทำรายงานการประชุมให้เสร็จ เนื่องจากพรุ่งนี้ช่วงเช้าเธอต้องพาดวงแขไปหาหมอตามที่หมอนัด จึงได้ขอลางานครึ่งวัน
“อ้าวคุณ ทำไมยังไม่กลับอีกล่ะ”
“ดิฉันทำรายงานการประชุมให้บอสยังไม่เสร็จน่ะค่ะ”
“ผมใช้งานคุณหนักไปหรือเปล่าเนี่ย ถ้าแม่ผมรู้ผมต้องโดนดุแน่เลย”
“ไม่เลยค่ะ มันเป็นหน้าที่ของดิฉันอยู่แล้ว อีกอย่างพรุ่งนี้เช้าดิฉันจะพาแม่ไปหาหมอเลยขอลาครึ่งวัน รีบทำวันนี้ให้เสร็จ พรุ่งนี้จะได้สบายใจว่างานในส่วนของตัวเองเรียบร้อย”
“งั้นเดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อน ทั้งชั้นตอนนี้เหลือแค่เราสองคน”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ดิฉันอยู่ได้”
“คุณเคยได้ยินประวัติของโรงแรมผมมาบ้างไหม”
เพลงจันทร์มองชายหนุ่มที่ทำหน้าสยดสยอง จึงอดนึกหวั่นๆ ไม่ได้
“งั้นบอสรอแป๊บนะคะ ดิฉันจะรีบทำให้เสร็จภายในยี่สิบนาที”
เพลงจันทร์มองชายหนุ่มที่นอนอยู่บนโซฟาเบด ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปปลุก เพื่อจะบอกบอสว่าเธอจะกลับบ้านแล้ว ครั้นจะรอให้เขาตื่นเองก็ไม่รู้ว่าตอนไหน
“บอสคะ”
หญิงสาวเรียกเบาๆ แต่คีรีก็ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวเลยสักนิด เธอจึงเพิ่มระดับความดังขึ้นอีกนิด แล้วใช้มือสะกิดที่ต้นแขนของเขาเล็กน้อย
“อร้าย!”
เพลงจันทร์กรี๊ดออกมาสุดเสียงเพราะตกใจที่จู่ๆ คนที่ตัวเองคิดว่ากำลังหลับกลับคว้าเอวของเจ้าหล่อนแล้วเหวี่ยงร่างให้ขึ้นมานอนบนที่ว่างข้างๆ
“คุณจะทำอะไรผม”
แม้จะรู้อยู่แล้วว่าสาวน้อยตรงหน้าเข้ามาปลุกเพื่อจะบอกอะไร แต่คนที่รอโอกาส 'แกล้ง' เจ้าหล่อนมานาน ก็ไม่พลาดที่จะใช้โอกาสนั้น
“ฉันปะ..เปล่านะ”
“แล้วเข้ามาในห้องส่วนตัวผมทำไม”
คีรีก้มลงไปกระซิบถามใกล้ๆ กับใบหูของเจ้าหล่อน พลางแอบสูดเอากลิ่นหอมอ่อนๆ ที่หอมเหมือนกลิ่นกุหลาบจากซอกคอของหญิงสาว
“ฉันจะเข้ามาบอกบอสว่างานเสร็จแล้ว และกำลังจะกลับ”
“เหรอครับ”
“ปล่อยฉันเถอะค่ะ”
หลังจากที่คีรีคลายวงแขนที่โอบรัดเจ้าหล่อนไว้ เพลงจันทร์ก็รีบเด้งตัวเองขึ้นจากที่นอนแล้ววิ่งมายืนที่หน้าประตูห้องเล็กทันที
“ดิฉันกลับก่อนนะคะ”
“ก็ไปสิ ใครห้ามไว้ล่ะ”
คีรีบอกหน้าตายทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังส่งสายตากะลิ้มกะเหลี่ยใส่เธออยู่แท้ๆ เพลงจันทร์ยกมือไหว้ ก่อนจะรีบไปเก็บของแล้วเผ่นกลับบ้านทันที ตอนนี้หญิงสาวรู้แล้วว่าบอสของเธอน่ากลัวยิ่งกว่าผีเสียอีก