ขุนนางใหญ่ที่ได้รับมอบหมายมาทำหน้าที่ควบคุมการสอบสวนในครั้งนี้ คือ ตุลาการอู่เซิงหยวน ผู้มีชื่อเสียงด้านความเข้มงวดและยุติธรรมที่สุด เป็นบุคคลที่ฮองเต้ไว้วางพระทัยมากยังกำชับเป็นการส่วนพระองค์ว่าให้สอบสวนอย่างละเอียด เขาถึงกับดูแลการบันทึกรายละเอียดที่เกิดขึ้นและหลักฐานที่มีอยู่ก่อนจะสรุปทุกอย่างเกือบตลอดเวลา
ผลจากการสอบสวนของตุลาการอู่เซิงหยวนไม่ผิดจากที่สวีหวินหลงและคนอื่นคาดเอาไว้ ยังมีข้อมูลความผิดด้านอื่นตลอดเวลาที่เป็นเจ้าเมืองปรากฎขึ้นระหว่างสอบสวนด้วยความบังเอิญอีกด้วย
เจ้าหน้าที่ประจำศาลเรียบเรียงรายละเอียดและผลการสอบสวนมีรายละเอียดว่าเจ้าเมืองฉินอี๋หยวนทำหน้าที่เจ้าเมืองผิดพลาดขาดความรักความเอื้ออาทรต่อชาวบ้านเป็นเหตุให้ลูกน้อง(กุนซือ)กระทำการละเลยต่อเอกสารสำคัญเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ใหญ่ในครั้งนี้ และความผิดส่วนอื่นเพิ่มเติมเข้าไปด้วย
เมื่อยื่นสรุปผลการสอบสวนขึ้นไป เบื้องบนให้ลงโทษตัดเบี้ยหวัดฉินอี๋หยวนหนึ่งปีย้ายไปประจำเมืองสือซานที่เป็นเมืองขอบนอกแถบชายแดนไร้ซึ่งความอุดมสมบูรณ์เช่นในเมืองหลวงให้กอบโกย ส่วนหวังหลูอินด้วยความจงใจละเลยหน้าที่เป็นเหตุให้ชาวบ้านเดือนร้อนหลายครัวเรือนให้ลงโทษโบยห้าสิบไม้ปลดจากตำแหน่งและให้เนรเทศไปกว้านโจว
“เมื่อใดเจ้าจะเลิกเป็นคนที่ไร้เป้าหมายเช่นนี้เสียที สวีหวินหลง”
เหวินเปียวที่เดินตามสวีหวินหลงออกมาจากศาลหลังถูกเรียกไปฟังคำพิพากษาแล้ว เมื่อไร้ความผิดก็พากันกลับออกมาแต่เมื่อได้เห็นท่าทางเดินทอดน่องสบายใจแบบคนไร้กังวลก็อดที่จะโวยวายใส่อีกฝ่ายไม่ได้ อายุน้อยกว่าตนเพียงสองปีแต่ยังไม่มีสตรีที่ต้องใจไร้สาวใช้อุ่นเตียงในเรือน ต่างกับตนที่ปีนี้มีบุตรชายหญิงสองคนแล้ว
“ข้าเป็นอย่างไร”
“เจ้าคิดเรียบง่ายเสียจริง ทำงาน กลับบ้าน ทำงาน กลับบ้าน ชีวิตเจ้าวนเวียนอยู่เพียงเท่านี้ ไม่เบื่อหรือไร เมื่อไหร่เจ้าจะหาสตรีสักคน”
“ท่านพี่เหวินเปียว ตัวข้าภาระมากมายจะหาคนมาร่วมลำบากด้วยได้เยี่ยงไร ปล่อยให้ไปหาคนที่ดีเถอะ อีกอย่างงานที่ทำค่อนข้างเสี่ยงอยู่คนเดียวเช่นนี้ก็เป็นเรื่องดียิ่ง”
“ไม่ต้องหาข้ออ้างไปหรอก ข้ารู้เจ้าจะนำเงินส่วนใหญ่ที่ได้จากการทำงานไปรักษาและเป็นค่ายาของพี่ชายเจ้า แต่เจ้าก็มิอาจละทิ้งการมีครอบครัวและมีบุตรสืบสกุลได้เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ข้าเข้าใจแล้วขอบคุณท่านที่เป็นห่วง”
“ข้าไปก่อนล่ะ”
ที่ทำงานของทั้งสองอยู่คนละเขตกันจึงแยกกันไปคนละทาง ยามกลางวันเวลาปกติสวีหวินหลงจะเข้ามาช่วงสายแล้วกลับไปบ้านพักและกลับเข้ามาที่ทำการยามไฮ่ผ่านไปแล้ว เรียกได้ว่าชีวิตวนเวียนอยู่กับที่ทำการ(งาน)อย่างแท้จริง อีกทั้งการแต่งกายและวางตัวกับผู้อื่นที่ติดจนเป็นนิสัยทำให้ผู้คนต่างลืมตัวตนที่แท้จริงของเขาไปเช่นเดียวกับเหวินเปียวที่ไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเขาเป็นสตรี ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของเจ้าตัวโดยแท้
อากาศร้อนอบอ้าวเช่นนี้ ทุกเมืองล้วนมีไฟไหม้เล็กบ้างใหญ่บ้าง มากบ้างน้อยบ้างเป็นแบบนี้ทุกปี เมื่อว่างเว้นจากการดับไฟกลับเข้าเรือนสวีหวินหลงก็อ่านตำราเท่าที่จะหาได้จากร้านแผงลอยที่ขายตำราเก่าๆ อ่านทุกเล่มที่เงินอันน้อยนิดจะซื้อหาได้ไม่เลือกประเภท นี่เป็นงานอดิเรกยามว่างของสวีหวินหลง ตัวอักษรโบราณนี้ช่างอ่านยากนัก ยังดีที่พออ่านเขียนได้มากขึ้น ต้องยกความดีให้พี่ชายที่สละเวลาเคี่ยวเข็ญในยามเด็กแม้จะชมนางว่าความจำดีเยี่ยมผ่านตาครั้งเดียวก็จำได้ นั่นเพราะในที่ที่นางมีชีวิตอยู่ในอดีตนางเขียนอักษรเหล่านี้ในรูปแบบอักษรย่อที่สั้นและง่ายต่างหาก จึงไม่ยากเกินไปที่จะเรียนรู้เพิ่ม
ตึก ตึก ตึก เสียงย่ำเท้าเป็นจังหวะเบาๆ มาตามทางเดินของเรือน ผู้ที่เดินในเรือนช่วงยามซวีมีเพียงคนเดียว ทั้งยังเป็นเสียงที่คุ้นเคยเขาจึงวางตำราก่อนจะหันกลับไปหาอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาใกล้จุดที่นางนั่งอ่านตำรา
“พี่ใหญ่ ท่านเดินตากน้ำค้างมาหาข้าทำไม หากต้องการพบให้ป้าฉินมาบอกข้าก็พอ”
“เจ้าทำงานมาเหนื่อยทั้งวันแล้ว ข้าเดินมาแค่เรือนเจ้าถือเสียว่าเป็นการออกกำลังกาย ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาร่างกายข้าก็ดีขึ้นมากไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเช่นแต่ก่อนแล้ว”
“ดีแล้วๆที่ท่านแข็งแรง ว่าแต่ท่านนั่งลงก่อนสิมีอะไรค่อยว่ากัน”
“ข้าจะมาบอกเจ้าว่า ข้าตั้งใจจะเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ของปีนี้”
“พี่ใหญ่ ท่านแน่ใจหรือว่าร่างกายท่านจะร่วมการสอบไหว”
“ข้าดูแลร่างกายอย่างดีเจ้าวางใจได้หากปีนี้ไม่ได้เข้าสอบต้องรออีกสามปี ข้ามิอยากรอแล้วข้าไม่อยากให้เจ้าลำบากอีกต่อไป”
“พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ลำบากข้าชอบงานที่ข้าทำอยู่ทั้งยังสนุกอีกด้วย”
“เจ้าไม่ต้องหลอกข้า งานดับไฟงานช่วยเหลือผู้คนเป็นงานที่บุรุษร่างกายแข็งแรงควรกระทำแต่ว่าเจ้า…”
“พี่ใหญ่ ข้าทำมันมาหลายปีชินเสียแล้ว หลายปีนี้ข้ามีตำแหน่งเป็นหัวหน้ากลุ่มอีกไม่นานข้าอาจจะได้เลื่อนขั้นเป็นรองเพียงหัวหน้าหน่วยก็ได้นะ งานไม่ได้ลำบากแค่สั่งให้คนอื่นทำเท่านั้นเงินเดือนก็มาก ท่านไม่ต้องคิดมากหากต้องการสอบก็ลองดู ว่าแต่สอบซิ่วไฉ(ระดับตำบล) กำหนดสอบเมื่อใด”
“เจ้าไม่ต้องกังวลใจ ไม่ต้องลำบากด้วยอีกสิบวันก็จะถึงวันสอบแล้ว ข้าเองก็สมัครเรียบร้อยแล้วรอเพียงไปสอบเท่านั้น”
“หากวันสอบข้าว่างจะไปส่งท่านที่สนามสอบ”
“ได้ๆ ข้ามาบอกเจ้าเท่านี้แหล่ะ”
“ข้าไปส่งท่านกลับเรือน”
“ไม่ต้อง เจ้าพักผ่อนเถอะ อย่ามัวแต่อ่านตำรามิได้จะสอบขุนนางเสียหน่อย”
“ข้าอ่านจนติดเป็นนิสัยเสียแล้วอ่านมากหน่อยจะได้ถูกหลอกน้อยลงยังไงหล่ะพี่ใหญ่”
“เอาหล่ะๆ ตามใจเจ้าแต่อย่าดึกนัก พรุ่งนี้เช้าเจ้ายังต้องรีบไปทำงาน”
“ได้ เดินดีๆนะพี่ใหญ่”
เพราะพ่อแม่ของร่างนี้จากไปตั้งแต่ยังเล็กพี่ใหญ่ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้มีข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงดูนางที่ยังเล็กจนไม่สามารถดูแลตนเองได้ พี่ใหญ่อายุได้สิบสี่ก็ล้มป่วยแต่ก็ยังฝืนทำงานจนอายุได้สิบหกก็สุขภาพไม่แข็งแรง นางมาอยู่ในร่างนี้เมื่ออายุได้สิบปีก็เริ่มออกหางานทำเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระ
หน่วยงานดับเพลิงที่ต้องการคนพอดีด้วยความขยันและตั้งใจทำงานเพียงสามปีก็ได้เลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้ากลุ่มของหน่วยดับเพลิงแห่งนี้มีตำแหน่งขุนนางระดับแปดเรียกได้ว่าต่ำที่สุดแต่ก็ยังดีกว่าลูกน้องอีกหลายคนที่ทำงานมาด้วยกันยังเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ไม่มีตำแหน่งขุนนางใดๆ
“หัวหน้าๆ มีหนังสือสั่งการเข้ามาขอรับ”
“เอามาให้ข้าดู”
จงจือยี่หัวหน้าหน่วยดับเพลิงนครบาล อ่านหนังสือที่ได้รับมาเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนหลังอ่านจบสีหน้าก็ขมวดมุ่น ใจความหนังสือต้องการให้ส่งคนไปช่วยดับไฟป่าในพื้นที่เมืองตงโจวที่ห่างออกไปหกสิบลี้เพราะอากาศแห้งแล้งเกิดไฟป่าลุกลามกินพื้นที่ขนาดใหญ่บางส่วนทำให้บ้านเรือนของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ติดเขตป่าเสียหายลุกไหม้มานับสี่ห้าวันยังไม่สามารถดับได้จึงขอความช่วยเหลือมาที่เมืองหลวงให้หาวิธีการช่วยเหลือ ในการประชุมขุนนางวันนี้มีผู้เสนอให้ส่งคนไปช่วยและให้เมืองที่อยู่โดยรอบของตงโจส่งคนมาช่วยด้วยเช่นกัน หลังจากถกเถียงกันก็สิ้นสุดลง
ตัดสินให้เมืองหลวงส่งคนไปช่วยจำนวนสามสิบคนและจากเมืองอื่นๆด้วย แต่คนในมือที่มีอยู่ก็ดูแลพื้นที่ยามเกิดเหตุในเมืองหลวงนับว่าพอดี หากต้องแบ่งคนออกไปสามสิบคนยามเกิดเหตุจะยิ่งยากลำบาก ทั้งคนที่จะส่งไปก็ต้องมีฝีมือพอสมควร ในมือของเขามีคนที่พอจะไว้วางใจจนส่งไปควบคุมคนให้ดับไฟได้คงมือเพียงสวีหวินหลงเท่านั้น ได้แต่วางหนังสือในมือลงก่อนจะให้คนออกไปเรียกให้มาพบ จากนั้นก็ลงมือเขียนรายชื่อคนที่เขาจะส่งไปพร้อมกันทั้งสามสิบคน