ตอนนี้ฉันกลับมาหอพักแล้วหลังกลับมาจากไปส่งเอกสารที่ห้องวิชาการและเจอเหตุการณ์แปลก ๆ
ฉันได้แต่สงสัยว่าพวกเขาเข้าไปทำอะไรกันในนั้น แม้ในใจจะอดคิดไม่ได้ว่าพวกเขาอาจจะเข้าไปทำเรื่องอย่างว่า แต่นั่นมันในมหา’ลัยไง แถมยังในห้องเรียนด้วย เฮ้อ ช่างมันเถอะ ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก ไม่ใช่เรื่องของฉันสักหน่อย
แม้จะคิดดังนั้น แต่ทำไมฉันถึงยังลืมสายตาคู่นั้นไม่ได้เลยนะ สายตาของผู้ชายคนนั้นที่ฉันเผลอสบตาไปแค่สองครั้งแต่ลบออกไปจากสมองไม่ได้เลย
เช้าวันต่อมา
วันนี้คือวันที่ 2 ของการเปิดเรียน และตอนนี้ฉันก็กำลังนั่งอยู่ในห้องเรียน ฉันมาเรียนก่อนถึงเวลาเรียนหลายนาที สักพักยัยแพรก็เดินเข้ามาในห้องอย่างอารมณ์ดี
“มอนิ่ง เพื่อนรักคนใหม่ของกู” ยัยแพรเอ่ยทักทายฉัน
“แฮะ ๆ มึงพึ่งรู้จักกูได้สองวันเองนะ” ฉันหัวเราะแห้ง ๆ ให้มันไป เพราะเราเพิ่งรู้จักกันแค่ 2 วันเอง แต่มันทำราวกับรู้จักฉันมาหลายปีแล้วอย่างนั้นแหละ
“ใช่ไง ต่อไปนี้มึงคือเพื่อนรักกูตลอดไป มึงห้ามทิ้งกูหรือหนีกูไปไหนเด็ดขาด! เพราะกูไม่ยอม ฮ่า ๆๆ”
“ฮ่า ๆๆๆ จ้าาา”
ฉันพูดเล่นกับยัยแพรอยู่สักพักหนึ่ง อาจารย์ก็เดินเข้าห้องมาในห้องและเริ่มต้นสอน
“ขอเข้าห้องครับ”
อาจารย์สอนไปได้สักพักหนึ่ง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะการสอนของอาจารย์
“มาสายไปสิบห้านาทีนะ หัดมาเร็ว ๆ บ้าง วันนี้เปิดเรียนวันแรก ฉันจะยังไม่เช็กสายละกัน แต่ต่อจากนี้ไปใครมาสายเกินสิบห้านาทีจะเช็กสายหมด เข้าใจไหม?”
“ครับ/ค่ะ”
“เอ้า เข้ามา”
อาจารย์หันไปพูดกับนายคนนั้น ซึ่งเขาก็คือนายที่ตามหาห้องประชุมกับฉันเมื่อวานนั่นแหละ สีหน้านายนั่นดูเบื่อโลกมากอ่ะ พอเข้าห้องมาก็ฟุบหลับทันทีจนหมดคาบเรียน ชิลล์จริง ๆ เลย
“หม่อน กูอยากกินลาเต้เย็นว่ะ พาไปคาเฟ่หน้าคณะนิติหน่อยดิ”
“มึงต้องแบกสังขารไปถึงคณะนิติเลยเหรอวะ คณะตัวเองก็มีร้านกาแฟ”
“กูไม่ชอบนี่หว่า มันไม่โดนใจ อยากกินกาแฟนิติ เผื่อกูจะได้หนุ่มนิติสักคนสองคนมาเป็นผัว ฮ่า ๆๆ”
โอ๊ย! ดูความคิดมัน พอพูดเรื่องผู้ชายขึ้นมานี่ดูดี๊ด๊าเชียว ทีตอนเรียนนี่หงอยเป็นไก่คอตก
“เออ ๆ ไปก็ไป มึงนี่นะ”
“กูไปด้วยคน”
“ฮะ!/ฮะ!” ฉันกับยัยแพรอุทานออกมาพร้อมกัน เพราะตกใจไม่น้อยที่อยู่ดี ๆ นายนั่นที่เข้ามาหลับในห้องก็เดินมาขอไปร้านกาแฟกับพวกฉันด้วย
“เดี๋ยวๆ มึงสนิทกับพวกกูอ่อ?” ยัยแพรเลิกคิ้วถามเขากลับไป เขาจึงตอบพลางทำหน้าตากวนประสาทให้ยัยแพรกลับไป
“ไม่ แต่กูอยากแดกกาแฟ ไปด้วยไม่ได้?”
“ดะ..ได้” ชั้นตอบนายนั่นไปแบบอึ้ง ๆ
“กูงงกับมึงนะนิ่” ยัยแพรว่าพลางทำหน้างง
“งงไร ไปดิ”
เราสามคนเดินมาถึงคาเฟ่หน้าคณะนิติศาสตร์ ระหว่างทางที่มานายนั่นไม่พูดอะไรสักคำ มีแค่ฉันกับยัยแพรที่ชวนกันคุย และยังงงไม่หายที่อยู่ ๆ เขาก็ขอมาด้วย
ตอนนี้เรานั่งอยู่ในคาเฟ่แล้ว กำลังรอน้ำที่สั่งไปมาเสิร์ฟอยู่
“มึงชื่อไร?” ในที่สุดยัยแพรก็ถามนายนั่นออกไป
“ซี...ที่แปลว่าทะเล (Sea)”
“......”
“โห ชื่อมึงยาวดีนี่หว่า”
“กวนตีนล่ะมึง” เขาแยกเขี้ยวใส่ยัยแพรที่พูดจากวนเขา
“ฮ่า ๆ กูหยอกเล่น กูแพรนะ นี่ชื่อใบหม่อน”
“เออ ๆ” ซีพยักหน้าเข้าใจ สีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ดูตื่นเต้นหรือยินดีที่ได้รู้จักพวกฉันสักเท่าไหร่
“ว่าแต่นายทำไมมาเรียนคณะนี่อ่ะ?” ฉันถามออกไปด้วยความอยากรู้ เพราะดูจากภาพลักษณ์ของซีแล้ว เขาดูเหมือนไม่ค่อยอยากเรียนคณะนี้สักเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นคงไม่เข้าไปหลับในห้องเรียน
“พ่อกูบังคับอ่ะดิ บอกเรียนไว้ช่วยงานธุรกิจที่บ้าน”
“โห กูว่าล่ะ หน้ามึงแม่งไม่เหมาะกับคณะนี้สุด ๆ เหมือนโดนบังคับมาเรียนจริงแหละ ไม่เศร้านะเพื่อน ไว้ไปตี้กัน” แพรพูดพลางตบบ่าซีเบา ๆ คล้ายปลอบใจ
“เดี๋ยว ๆ แพร มึงใจเย็น กูอายุยังไม่ถึงยี่สิบเลย” ฉันพูดขัดยัยแพรขึ้นเมื่อมันพูดถึงการไปสังสรรค์ในสถานบันเทิง แต่พวกเรายังอายุไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์กันเลยด้วยซ้ำ
“กูมีร้านเด็ด ไม่ถึงยี่สิบก็เข้าได้ ฮ่า ๆๆ”
“เป็นเด็กเป็นเล็กหัดเที่ยวแดกเหล้า แดกลาเต้มึงไปนี่” ซีพูดพร้อมเอาลาเต้วางกระแทกหน้ายัยแพร ทำเอาฉันอดขำไม่ได้
สองคนนี้พึ่งรู้จักกันก็ตีกันเก่งซะแล้ว ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะไอ้แพรมันก็ชิลล์ ๆ ไง แล้วยิ่งมาเจอซีที่ชิลล์และติสท์ไม่ต่างกัน ก็เป็นธรรมดาแหละเนอะ ฮ่า ๆๆ
หลังเรียนคลาสบ่ายเสร็จ ฉันที่ร่ำลาแพรกับซีเสร็จก็เดินนวยนาดมาที่ป้ายรอรถเพื่อขึ้นรถเมล์กลับหอ ตอนแรกไอ้แพรอาสาจะไปส่งที่หอนะ แต่ฉันเกรงใจก็เลยปฏิเสธไป
รออยู่ได้สักพักหนึ่งรถเมล์ก็มาพอดี ฉันเลยนั่งรถเมล์มาลงตรงปากซอยทางเข้าหอ แต่จะว่าไปแวะซื้อผ้าอนามัยสักหน่อยดีกว่า ใกล้จะถึงวันที่ควรจะเป็นประจำเดือนแล้วด้วย
ฉันเลือกผ้าอนามัยเสร็จก็เดินมาจ่ายเงินที่แคชเชียร์ แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นผู้ชายข้าง ๆ ใส่แว่นตาดำและกำลังยืนเลือกกล่องถุงยางอนามัยอยู่ พนักงานแคชเชียร์ก็มัวแต่ยืนส่งยิ้มหวานและสายตาวาววับให้เขาไม่หยุด ไม่สนใจฉันเลยสักนิดเดียว
“คิดเงินหน่อยค่ะ”
“......” พนักงานไม่สนใจฉันเลย นี่ไม่เห็นฉันในสายตาบ้างเลยหรือไงฮะ!
“คิดเงิน...หน่อยค่ะ!” ฉันพูดเสียงดังขึ้นเมื่ออดกลั้นไม่อยู่ ชักเริ่มหงุดหงิดแล้วนะ
“ค่ะ ๆ” พนักงานสะดุ้งแล้วรีบหันมาคิดเงินให้ฉันอย่างลุกลี้ลุกลน
ผู้ชายคนนั้นเองก็หันมามองฉันแวบหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหันกลับไปสนใจถุงยางอนามัยต่อ จะว่าไปทำไมฉันรู้สึกคุ้นเขาจังเลยนะ
“ทั้งหมดเก้าสิบหกบาทค่ะ”
เสียงพนักงานคิดเงินบอกฉัน ฉันจึงยื่นแบงก์ร้อยให้ พอได้เงินทอนเสร็จก็เดินออกจากร้านทันที
แต่เดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวฉันก็ชะงักฝีเท้าเมื่อเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมซื้อถุงเท้าขาวถูกระเบียบไว้ เพราะพรุ่งนี้มีซ้อมเชียร์ต้องแต่งกายให้ถูกระเบียบ และตอนนี้ฉันก็มีแต่ถุงเท้าลายการ์ตูนน่ารักมุ้งมิ้งนะสิ ตอนซื้อแรก ๆ ก็ลืมคิดไปเลยว่าต้องเข้าเชียร์ด้วย
คิดได้ดังนั้นฉันก็หมุนตัวจะกลับไปที่ร้านค้าอีกรอบ แต่ใบหน้าก็ไปชนเข้ากับแผงอกของใครบางคนก่อน
“โอ๊ย!”
หน้าอกของคนที่ฉันชนแข็งมาก จนฉันต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บ นี่คนหรือหินเนี่ย!
“เป็นไรไหม?”
“ไม่ค่ะ ๆ”
ฉันโบกมือไปมาปฏิเสธ และเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองคู่กรณีก็พบว่าเขาคือคนที่ฉันเจอตอนออกมาจากห้องนั้นเมื่อวานนี้ ตอนอยู่ในร้านสะดวกซื้อเขาใส่แว่นตาดำฉันก็เลยจำไม่ได้ เพราะฉันจำได้แค่สายตาของเขา ตอนนี้เขาถอดแว่นแล้ว ฉันจึงจำได้
“เจอกันอีกแล้วนะ”
“คะ?” ฉันเลิกคิ้วสูงและเอียงคอมองเขาด้วยความแปลกใจ
“เธอเจอฉันไม่ใช่เหรอเมื่อวาน”
“เอ่อ...มั้งคะ” ฉันหลุบตามองต่ำไม่อยากสบตากับเขานะสิ เขาจำฉันได้ด้วยเหรอเนี่ย แต่พอก้มไปเห็นกล่องถุงยางในมือของเขาแล้วภาพเมื่อวานก็ลอยเข้ามาในหัวเลย เขาคงเข้าไปทำเรื่องอย่างว่ากับผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ แน่เลยอ่ะ
“บังเอิญ หรือว่า...”
“คะ?”
“...พรหมลิขิต”
“......”
“หึ” เขากระตุกยิ้มมุมปากและขำเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะโน้มตัวลงมาให้อยู่ระดับเดียวกับใบหน้าของฉัน แล้วมองจ้องหน้าฉันแบบตาไม่กะพริบ
ใบหน้าของเรามันอยู่ใกล้กันมาก มากจนฉันรับรู้ลมหายใจของเขาได้ อยู่ ๆ หัวใจเจ้ากรรมของฉันมันก็ดันเต้นแรงขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
“อย่าบอกใครเรื่องที่เธอเจอเมื่อวานล่ะ”
“......” ฉันทำตัวไม่ถูก เพราะกำลังตกใจกับระยะห่างระหว่างใบหน้าของเราสองคนที่มันอยู่ใกล้กันมาก ไหนจะหัวใจดวงน้อยที่เต้นแรงอยู่นี่ด้วย
“เข้าใจไหม ยัยหน้าบาน”
เขาขยับใบหน้าออกห่างจากฉัน แล้วขำในลำคอเบา ๆ อย่างชอบใจพร้อมกับแสยะยิ้มมุมปากมาให้ฉัน แต่ที่ทำให้ฉันช็อกสุด ๆ คือเขาบอกว่าฉันหน้าบาน
ฉันไม่ได้หน้าบานนะเว้ย! ฉันแค่หน้ากลมเฉย ๆ
“เดี๋ยวนะ...นาย!” ฉันกำลังจะอ้าปากด่านายนั่นไป แต่ยังไม่ทันได้พูดนายนั่นก็รีบเดินชิงหนีฉันไปขึ้นรถยนต์ที่จอดอยู่ไม่ไกลซะก่อน จากนั้นก็ขับออกไปอย่างรวดเร็ว
แงงงง ไอ้บ้านี่!!! บังอาจมากที่มาหาว่าฉันหน้าบาน
ฉันยืนหัวเสียอยู่หน้าร้านสะดวกซื้ออยู่นาน เมื่ออารมณ์คุกรุ่นสงบลงก็เดินกลับเข้าไปซื้อถุงเท้าอีกรอบ พอซื้อเสร็จก็รีบกลับหอมาเลย
พอมาถึงห้องฉันก็ส่องกระจกดูใบหน้าของตัวเอง พิจารณาดูแล้วฉันว่าฉันก็ไม่ได้หน้าบานนะ ออกจะกลมนิดหน่อย น่ารัก ๆ สไตล์สาวเกาหลีอ่ะ
งื้อออ ทำไมต้องเก็บคำพูดของนายนั่นมาคิดด้วยก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ช่างหน้าฉันก่อนเถอะ ฉันอยากรู้ชื่อนายนั่นมากกว่า เคืองสุด ๆ อ่ะบอกเลย
ฉันเลื่อนหาดูข้อมูลของแก๊ง EXTRA ไปเรื่อย ๆ เริ่มจากในโซเชียลมีเดีย จนไปเจออินสตาแกรมของหนึ่งในสมาชิกแก๊งนี้ เขาน่าจะชื่อติณมั้ง ฉันเลยกดเข้าไปส่องและหารูปที่ถ่ายรวมแก๊งเพื่อจะดูแท็ก และไม่นานฉันก็เจออินสตาแกรมของนายนั่น ฉันไม่รอช้ารีบกดเข้าไปส่องแบบทันที
อ้อ! ชื่ออีธานนี่เอง เขาดูหล่อและดูดีมาก แถมสายตาของเขามันดูเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดฉัน...บางอย่างที่ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงทำให้ฉันเอาแต่นึกถึงเขาอยู่ตลอดเวลา
เขาทำฉันหงุดหงิดไม่หายเลย!