บทที่ 2 : มีจระเข้ในน้ำ!

1900 Words
“จะ จระเข้คุณ มีจระเข้ในน้ำ!” นิ้วเรียวชี้ไปที่ลำธาร ใบหน้าซบไหล่กว้างพลางหลับตาปี๋ ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยเจอสัตว์ดุร้ายในระยะกระชั้นชิดขนาดนี้มาก่อน ทั้งงูทั้งจระเข้ อีกหน่อยเธอจะต้องเจอตัวอะไรอีก “ใจเย็นก่อน จระเข้ตัวนั้น มันไม่กัดหรอก” ฮะ!? อะไรคือไม่กัด แล้วนี่เขารู้อยู่แล้วเหรอ ว่ามีจระเข้!? “นี่คุณรู้ว่ามีจระเข้ แต่หลอกให้ฉันลงไปอาบน้ำ อย่างงั้นเหรอ?” เพนนีเบิกตา จ้องเขม็งเจ้าของร่างใหญ่ ที่กำลังอุ้มเธออยู่ “ใครหลอกคุณ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แลดูไม่ตกใจเท่าไหร่นัก “ก็คุณไง ถ้าเกิดจระเข้เขมือบฉันขึ้นมาล่ะ จะทำยังไง!?” “ก็บอกอยู่นี่ไง ว่ามันไม่กัด” “จะบ้าเหรอ นี่จระเข้นะ ไม่ใช่ยีราฟ มันเป็นสัตว์กินเนื้อ!” “หยุดโวยวาย แล้วฟัง” สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ทำให้เพนนีต้องระงับอารมณ์โกรธ “จระเข้ตัวนั้น อยู่ในลำธารมาตั้งนาน ถ้ามันจะเขมือบใครสักคน ผมคงเป็นเหยื่อรายแรกที่โดนเขมือบ อีกอย่างนะ มันแก่มากแล้ว เขี้ยวหลุดเกือบจะหมดปาก สิ่งที่มันกินคือปลาตัวเล็กตัวน้อย ไม่ใช่มนุษย์ตัวโตแบบคุณ” เพนนีตั้งใจฟัง แต่เดี๋ยวนะ นี่เขาจะบอกว่าเธอตัวใหญ่จนจระเข้กินไม่ได้ อย่างนั้นเหรอ!? “นี่คุณว่าฉันเหรอ?” เพนนียืดตัว หรี่ตาคาดโทษ ทว่าอีกฝ่ายกลับกดสายตาลงต่ำ กลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที “ฉันผิดตรงไหน ที่ฉันกลัวจระเข้กิน?” ใบหน้าสวยพริ้งมองตาม อย่างเค้นคำตอบ แต่ก็ลืมไปว่าสภาพของเธอในตอนนี้ ไม่มีเนื้อผ้าปิดบังเรือนร่าง แม้แต่ชิ้นเดียว “กรี๊ดดด อุ๊บ!” ฝ่ามือหนายกขึ้นมาปิดปากไม่ให้เธอกรีดร้องเสียงดัง “ผมไม่ได้อยากเห็น แต่คุณเป็นคนกระโดดขึ้นมากอดผมเอง” เพนนีหน้าแดงซ่าน ก่อนจะรีบกระโดดลงจากร่างใหญ่กำยำ “คนบ้า” ไม่วายด่ากลับแก้เขิน จากนั้นรีบวิ่งไปหยิบเสื้อของเขามาสวมใส่ เสื้อค่อนข้างตัวใหญ่มาก ใส่ทีนึกว่าชุดเดรส แต่ดีตรงที่ปิดสัดส่วนได้ถึงหัวเข่า “ต่อไปนี้ ฉันจะไม่เชื่อใจคุณอีกแล้ว” พูดจบ เธอก็เดินนำกลับไปทางเดิม ไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่าย เพราะยังรู้สึกขวยเขิน ที่เขาได้เห็นหน้าอกหน้าใจเต็มสองตา “บ้า บ้า บ้า บ้าที่สุด!” เดินไปบ่นไป หงุดหงิดหลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ปานนี้พ่อแม่ของเธอเริ่มตามหาหรือยัง หรือพวกเขายังหมกมุ่นอยู่แต่กับธุรกิจ จนลืมสนใจ ว่าลูกสาวเพียงคนเดียวได้หายตัวไปแล้ว (เหอะ! แต่ก็คงเป็นอย่างที่คิด เพราะที่ผ่านมา เธอไม่ได้น่าสนใจ มีเพียงหน้าที่แต่งงานสานต่อธุรกิจกับคนที่พ่อแม่เลือกให้ ถ้าไม่ติดว่าเธอเองก็ชอบคู่หมั้นป่านนี้คงหนีไปนานแล้ว) พูดถึงคู่หมั้น เขาจะแคร์ที่เธอหายตัวไปไหม? หรือว่าดีใจ ที่ได้คบหากับอีนังนั่น สมใจอยาก “โอ๊ย! หงุดหงิด” ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด อยากกลับไปชำระแค้นจะแย่ “นี่คุณ” เพนนีหันหลังกลับไป แต่สิ่งที่พบกลับมีเพียงต้นไม้ “คุณ!” เธอตะโกนเรียกชายแปลกหน้า ที่ตอนนี้หายไปแล้ว “จะแกล้งอะไรฉันอีกเนี่ย คุณ!” เพนนีรีบเดินกลับไปทางเดิม แต่ขาเจ้ากรรมก็ดันรู้สึกเจ็บแปล๊บ จนทำให้ตัวเธอทรุดลงไปนั่งบนพื้นดิน นัยน์ตาสั่นระริก กวาดมองโดยรอบ หวังว่าเขา จะเดินออกมาจากตรงไหนสักแห่ง “ฉะ ฉันยังไม่พร้อมตายตั้งแต่วันแรกนะคุณ!” เธอเปล่งเสียงตะโกน จนคอแทบแตก ทว่ากลับไม่มีเสียงผู้ใดตอบกลับ หรือแม้กระทั่งเสียงเดินเหยียบกิ่งไม้ใบหญ้า ก็ไม่มี ริมฝีปากอวบอิ่มขบเม้มติดกันแน่นจนห้อเลือด ดวงตาสีนิลสั่นไหว เหมือนจะร้องไห้ในอีกไม่ช้า ทว่าเธอกลับเงยหน้ามองท้องฟ้าให้หยาดน้ำตาจางหายไป ก่อนจะพยายามชันตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ถึงจะเจ็บแต่เธอก็อดทน จนสามารถประคองตัวยืนได้ “เก่ง” คำชมมาจากคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขาคลายวงแขนที่เคยกอดอก ก่อนจะเดินนำไปในทางที่ถูกต้อง เธอเองก็ลากสังขารตามไปแบบเงียบๆ ไม่พูดไม่จากับเขาแม้แต่คำเดียว (โกรธมาก!) “มา” กางแขนให้เธอเข้าไปกอด เพื่อที่จะพาขึ้นบ้านต้นไม้ ไอ้โกรธก็โกรธอยู่หรอกนะ แต่ถ้าให้ปีนขึ้นไปเอง มีหวังได้ตกลงมาคอหักตาย ฉะนั้นต้องเก็บอารมณ์ร้าย แล้วทำตามคำสั่ง พรึบ! ร่างใหญ่วางคนตัวเล็กลงบนพื้นไม้ไผ่ ก่อนที่เธอจะเดินดุ่มๆ ไปนั่งไขว่ห้างบนเตียง แต่หันไปทางอื่น (เดี๋ยวหวอออก) “จะลงไปหาของป่า อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม?” เพนนีไม่ตอบ กลับยกมือขึ้นมาแกะเล็บตัวเอง “ถ้าพลบค่ำแล้วยุงหาม ก็หยิบยาในขวดนั้นมาทาตัว (ชี้ไปที่ขวดยาสีใส ด้านในบรรจุน้ำสีเขียว เหมือนจะเป็นน้ำสมุนไพรอะไรสักอย่าง) ส่วนยาแก้ปวด ผมจะลงไปหายาสมุนไพรมาต้มให้ดื่ม รวมถึงอาหารของคุณด้วย” สาวสวยผงกหัวรับแบบส่งๆ แล้วปล่อยให้ชายหน้าตาอัปลักษณ์ปีนกลับลงไปข้างล่าง พอเสียงเดินเงียบหายไป ร่างเล็กก็เริ่มสำรวจข้าวของภายในบ้าน ว่ามีอะไรที่สามารถช่วยให้เธอ ออกไปจากเกาะนี้ได้ “ไม่มีเครื่องมือสื่อสารเลยหรือไงนะ” คนตัวเล็กค้นหาตามหีบเหล็กที่มีทั้งหมดสามใบ ใบแรกใส่เสื้อผ้า ที่มีแต่ชุดคล้ายคลึงกับชุดที่เขาสวมใส่ ส่วนใบที่สอง จะเป็นกล่องเครื่องมือ อุปกรณ์การช่าง ค้อน ตะปู ไขควง และอีกหลายอย่าง ไม่รู้ว่าเขาไปเอามาจากไหน แต่ช่างเถอะ ใบต่อไปคือใบที่สาม เป็นใบที่เปิดยากทั้งที่ไม่มีอะไรล็อกไว้ ฮึบบบ! นาทีนี้ ออกแรงยกสุดแรงเกิด แต่ก็ยังเปิดไม่ได้อยู่ดี “ทำไมมันเปิดไม่ได้ล่ะเนี่ย!?” เพนนีแผดเสียงดังอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบปิดปากกั้นเสียง แล้วคลานไปหาหีบกล่องสอง เพื่อหาเหล็กมาช่วยงัดหีบใบที่สาม “ถ้าไม่มีอะไรล่ะหน้าดู ฮึบบบ!” ออกแรงสุดพลังจนหน้าแดง แต่ฝาหีบก็ยังเปิดออกไม่ได้ พรึบ เคร้ง! สุดท้ายเธอก็ต้องถอดใจ แล้วโยนเหล็กงัดกลับคืนหีบสอง “ไม่ปงไม่เปิดมันแล้ว!” ความหงุดหงิดเพิ่มขึ้นทวีคูณ ถ้าเธอยังอยู่ในเมือง ปานนี้คงไปขับรถแข่งระบายอารมณ์ หรือไม่ก็ไปช็อปปิ้งแบรนด์เนม ผลาญเงินพ่อแม่ให้สบายใจ แต่นี่ เธอกลับมาติดอยู่ในป่า บนเกาะร้างที่มีมนุษย์เพียงสองคนจะทำอะไรก็ทำไม่ได้เลยสักอย่าง เพนนีนั่งมุ่ยหน้า มือเสยผมยาวสลวยสีดำขรับที่ยังคงเปียกหมาดๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบผ้าขาวม้า มาเช็ดผมตัวเอง แต่เอ๊ะ! เขาบอกว่าถูกน้ำทะเลซัดมา แล้วทำไมถึงได้มีของพวกนี้ติดมาด้วย ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยในตัวผู้ชายคนนั้น หากเขาเป็นคนไม่ดี แล้วหลบหนีมาอยู่ที่นี่ มีโอกาสที่เธอจะถูกฆ่าซ้ำสอง ทางด้านคู่หมั้น “เพนนีถูกลักพาตัวจริงๆ นะคะ แหม่มเห็นกับตา!” ผู้จัดการสาวสองให้ปากคำกับตำรวจอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหก ถึงแม้ว่าเพนนีจะสร้างเรื่องราวใหญ่โตก่อนจะหายตัวไป แต่การตามหาก็เป็นสิ่งที่ควรพึงกระทำ “แล้วเห็นป้ายทะเบียนรถคันนั้นหรือเปล่าครับ?” “เห็นค่ะเห็น แหม่มจดเลขทะเบียนเอาไว้แล้ว!” แหม่มรีบตอบกลับในทันที กระชากสายตาของชายหนุ่มด้านหลังที่กำลังยืนกอดอก กัดสันกรามปูดนูนอย่างเอาเรื่อง เขาคลายวงแขนก่อนจะเดินออกไปจากห้องสอบปากคำ พร้อมกับส่งสายตาให้เหล่าลูกน้อง จัดการปิดปากใครก็ตาม ที่รู้เห็นเรื่องนี้ “พี่พยัคฆ์!” นักแสดงสาวสวยวิ่งลงมาจากรถ พร้อมเรียกชื่อ ‘คนรัก' “เพนนีเป็นยังไงบ้างคะ ตำรวจพบเบาะแสบ้างหรือยัง?” “ยังเลยค่ะ” ชายหนุ่มตอบกลับ พลางคลี่ยิ้มให้หญิงสาวอันเป็นที่รัก “แต่ตอนนี้รินควรเป็นห่วงตัวเองก่อนนะคะ พี่บอกแล้วไง ให้นอนดูอาการที่โรงพยาบาลสักอาทิตย์ เผื่อมีตรงไหนบอบช้ำ หมอเขาจะได้รักษา” เสียงทุ้มพูดพร้อมกับยกมือลูบหัวคนตัวเล็ก ภายใต้ใบหน้าที่แสนอบอุ่น กลับมีความร้ายกาจซ่อนอยู่ “รินไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ” “ไม่เป็นไรก็ต้องไปพักนะคะ ถ้ามีความคืบหน้าเกี่ยวกับเพนนี พี่จะรีบบอกรินเป็นคนแรกเลย” ชายหนุ่มใช้ถ้อยคำหว่านล้อมให้คนรัก ถอยห่างจากเรื่องนี้ การที่เพนนีหายตัวไป ถือว่าเป็นผลดีกับเราทั้งคู่ เขาจะได้ไม่ต้องแต่งงาน กับผู้หญิงที่ไม่ได้รัก “ไปค่ะ เดี๋ยวพี่ไปส่งนะคะ” “ค่ะ” หญิงสาวตอบรับความหวังดี พลางส่งยิ้มให้แฟนหนุ่ม ทั้งสองแอบคบหากัน ปีนี้เป็นปีที่แปดแล้ว รินลณีรู้ว่าอีกฝ่ายมีพันธะคู่หมั้นกับคนในวงการเดียวกัน จึงได้รอเวลาที่จะพูดคุยและตกลงกันอย่างสันติ แต่ก็เพิ่งมารู้ทีหลัง ว่าเพนนีก็แอบรักคู่หมั้นไม่น้อย จึงไม่ยอมปล่อยให้สถานะนี้หลุดมือมาอยู่ที่เธอ “ริน” “คะ?” เสียงหวานตอบรับแฟนหนุ่มขณะที่เขากำลังขับรถ “แต่งงานกับพี่นะคะ” “แล้ว…เพนนีล่ะคะ?” “ตอนนี้พี่มีโอกาสเลือกแล้ว รินให้โอกาสพี่ไม่ได้เหรอ?” “ระ รินให้โอกาสพี่พยัคฆ์อยู่แล้วค่ะ แต่ว่า…เพนนีเป็น” “เพนนีไม่ใช่คู่หมั้นของพี่แล้วค่ะ เพนนีทำชื่อเสียงของวงตระกูลเสื่อมเสีย มิหนำซ้ำยังทำให้ธุรกิจหลายพันล้านหุ้นตกฮวบ พ่อแม่ของพี่เลยอยากถอนหมั้น แล้วให้โอกาสพี่ได้เลือกผู้หญิงที่พี่รักและอยากแต่งงานด้วยจริงๆ” ชายหนุ่มพูดพลางปล่อยมือจากพวงมาลัยหนึ่งข้าง เพื่อหยิบกล่องแหวนเพชรกำมะหยี่สีแดง “แต่งงานกับพี่นะคะ” “พี่พยัคฆ์” “อย่าปฏิเสธพี่เลยนะ” “รินไม่ปฏิเสธอยู่แล้วค่ะ แต่ว่า…” “ถ้ารักพี่ อย่ามีแต่ได้ไหมคะ พี่ขอ” ฝ่ายหญิงคิดไม่ตก ถ้าตอบรับ จะเหมาะสมหรือเปล่านะ? “ริน” “ค่ะ รินจะแต่งงานกับพี่พยัคฆ์” เมื่อได้รับคำตอบที่ชัดเจน ฝ่ายชายก็คลี่ยิ้มกว้าง แล้วหักพวงมาลัยรถจอดเข้าข้างทาง ก่อนจะจัดการสวมแหวนเพชรให้ว่าที่ภรรยา จากนั้นก็บรรจงมอบรสจูบแสนหวานแทนคำขอบคุณ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD