บทที่ 2
ทะลุมิติจริงๆ ใช่ไหม
“โอ๊ย! ทำไมปวดหัวจัง” เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวจี๊ดที่แทบจะระเบิด
“เดี๋ยวก่อนนะ นี่ฉันยังไม่ตาย? ฉันขับรถชนตอม่อตายแล้วนี่น่า ทำไมยังมีเนื้อหนังเหมือนคนปกติแบบนี้ล่ะ”
ก่อนจะมีภาพความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอผุดเข้ามายิ่งกว่าการฉายภาพยนตร์ เธอรู้แน่ชัดแล้วว่าเธอทะลุมิติเข้ามาในร่างของชุยเหมยฮวา ร่างนี้แต่งงานแล้วสามีชื่อเซียวหย่งเสียน แต่งงานเมื่อสามเดือนก่อน เพราะความผิดพลาดบางอย่างจนทำให้ต้องแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก
มีพ่อสามีชื่อเซียวจ้ายซวน และแม่สามีชื่อหลินหลาน ทั้งสองท่านแม้จะรู้ว่าชุยเหมยฮวาร้ายกาจแค่ไหน แต่เมื่อแต่งเข้ามาแล้วก็คือลูกสะใภ้คนหนึ่ง พ่อและแม่สามีจึงดีด้วยไม่น้อย
แต่เพราะความเลวของร่างเดิม พ่อและแม่สามีจึงค่อย ๆ หมดใจ อยากจะทำอะไรก็ทำ ขนาดว่าบ้านแทบไม่มีกินลูกสะใภ้เอาของกลับไปให้แม่เลี้ยงที่บ้านเดิม ท่านทั้งสองคนก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร ยอมกินน้ำข้าวต้มแทน เพราะว่าลูกสะใภ้คนนี้คือลูกสาวของสหายรุ่นน้องที่สนิทและรักไม่ต่างคนในครอบครัว
ส่วนเซียวหย่งเสียนเองก็ไม่พูดอะไร ต่อให้ไม่รักแต่แต่งมาแล้วเขาจึงพยายามทำหน้าที่สามีให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เลว เลวมาก ฉันไม่เคยเห็นใครเลวขนาดนี้มาก่อน มีสามีแต่กลับยังเล่นหูเล่นตากับน้องสามี หากร่างนี้ถึงขั้นนอนแบให้อีตานั่นย่ำยีร่างกาย ฉันจะปาดคอตัวเองตายเสียตอนนี้เลย สรุปแล้วฉันต้องเข้ามาอยู่ในร่างของเธอใช่ไหม ชุยเหมยฮวา”
เธอพูดอย่างปลงตกกับตัวเอง ยังดีที่ต่อให้ร่างนี้ร้ายกาจแค่ไหน แต่ไม่เสียตัวให้คนอื่น ไม่งั้นเธอจะขอปาดคอตัวเองตายอีกครั้งแน่เพราะรับไม่ได้
เมื่อปรับความคิดและได้ความทรงจำมาครบแล้ว ชุยเหมยฮวาที่มีวิญญาณของสุมิตาจึงเดินออกมาสำรวจบ้าน
“โอ้โห นี่ถ้าเข้าหน้าหนาวแล้วหิมะตกหนัก หลังคาจะตกลงมาทับหัวตายอีกรอบแน่ นี่อะไร ข้าวสารกรอกหม้อก็แทบไม่มี อาหารอย่างอื่นก็ไม่เหลือ เฮ้อ...เวรกรรมจริงๆ ที่มีลูกสะใภ้เช่นนี้ เอาว่ะ ในเมื่อมาใช้ร่างนี้แล้วก็ต้องสู้ต่อไป”
เมื่อปรับความคิดและอารมณ์ตัวเองแล้ว จึงคิดว่าควรจะทำอะไรกินดีเพราะทั้งบ้านไม่มีวัตถุดิบให้เธอเลย ก่อนจะเห็นดอกเหมยที่ฝ่ามือ ทำให้เธอคิดว่าตัวเองน่าจะมีมิติเหมือนในนิยายที่เคยอ่านหรือเปล่า จึงหลับตาและตั้งสมาธิเพ่งมอง และแล้วเธอก็เห็นร้านอาหารของตัวเอง มีห้องเก็บของและห้องเย็นด้านหลังร้าน รวมถึงชั้นบนยังเป็นห้องนอนที่เธอใช้ในยุคก่อน
“ดีหน่อยที่มีมิติติดตัวมาด้วย แค่นี้ก็ไม่อดตายแล้ว”
เธอพูดอย่างดีใจ แม้ว่าจะจนหากมีสองมือสองเท้าและไม่ขี้เกียจเธอก็สามารถทำให้ความเป็นอยู่ของทุกคนดีขึ้นได้ ตอนนี้ยังไงก็ไม่อดตายแล้ว ดีหน่อยที่ยังเช้าอยู่ทุกคนยังไม่มีใครกลับมาจากไร่นาในที่ดินทำกิน เธอจึงกล้าที่จะเอาอาหารและข้าวสารรวมทั้งเครื่องปรุงต่างๆ ออกมาไว้ หากใครถาม ก็ค่อยบอกว่าซื้อมาจากอำเภอตอนที่ทุกคนไปทำงานก็แล้วกัน
จากนั้นจึงก่อไฟตั้งหม้อหุงข้าว วันนี้เธอตั้งใจจะทำอาหารเพียงสองสามอย่าง ในเมื่อพ่อแม่และสามีไปทำงานที่ไร่คงจะเหนื่อยไม่น้อย เธอจึงตั้งใจทำอาหารดีๆ ให้กิน
เธอหยิบหมูสามชั้นออกมาและตุ๋นด้วยซีอิ๊ว ก่อนจะใส่เครื่องเทศลงไปเรียกง่ายๆ คือสามชั้นตุ๋นพะโล้ จากนั้นจึงหยิบไก่ออกมาสับและทำแกงไก่อีกหนึ่งอย่าง สุดท้ายคือผัดกะหล่ำปลีใส่กุนเชียง คิดว่าสามอย่างคงพอให้ทั้งสามคนได้กินจนอิ่ม
หลังจากที่ทำทุกอย่างจนเสร็จชุยเหมยฮวาจึงเข้ามิติไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่เพื่อที่จะเอาอาหารไปให้สามีและพ่อแม่สามีที่ไร่ในที่ดินทำกินอันน้อยนิดที่ทางรัฐแบ่งให้ เพราะไม่มีเงินมากพอที่จะขอเช่าซื้อที่ดินเพิ่ม
ชุยเหมยฮวาเอากับข้าวทุกอย่างใส่ถ้วยและนำไปใส่ไว้ในตะกร้า พร้อมกับตักข้าวสวยร้อนๆ ใส่หม้อใบเล็ก จากนั้นจึงเดินออกจากบ้านและปิดประตูอย่างแน่นหนาก่อนจะเดินไปในหมู่บ้านเพื่อไปหาสามีและทุกคน
ระหว่างเดินเธอไม่สนใจว่าใครจะมองยังไง ในเมื่อนี่คือชีวิตเธอขอแค่ใครอย่ามาหาเรื่องก็พอ แม้ว่าชุยเหมยฮวาคนนี้จะไม่ร้ายและกลับตัวกลับใจเป็นคนดีเพื่อสามีและครอบครัว แต่ใช่ว่าจะร้ายไม่เป็น
ชาวบ้านหลายคนเห็นชุยเหมยฮวาถือตะกร้าคล้ายกับอาหารเดินไปทางที่ดินทำกินของบ้านใหญ่เซียวซึ่งเป็นบ้านของสามี แต่ละคนจึงทำได้เพียงแต่แปลกใจ คิดว่าวันนี้ตะวันขึ้นผิดฝั่งหรือไม่ที่เธอเดินไปทางนั้น โดยปกติหากไม่ไปทางบ้านเดิม ก็ต้องไปบ้านรองเซียวเพื่อไปมองหาอดีตคนรักไม่ใช่เหรอ
“สะใภ้เซียว นั่นหล่อนจะไปไหน?” นางหวั่นซื่ออดใจที่จะถามออกมาไม่ไหว วันนี้สะใภ้บ้านใหญ่เซียวผิดแปลกไปจากเดิม
“เอาอาหารไปให้พี่หย่งเสียนและพ่อแม่สามี ป้าถามฉันทำไม” ในเมื่อถามมา ชุยเหมยฮวาพร้อมที่จะตอบ แต่ถ้าด่ามาเธอด่ากลับด้วยเช่นกัน
นางหวั่นซื่อรวมถึงชาวบ้านได้แต่ทำหน้าเหมือนเห็นผีและมองหน้ากันเลิ่กลั่ก วันนี้คงจะตะวันขึ้นผิดฝั่งแน่ๆ ที่ชุยเหมยฮวาเอาอาหารไปให้สามีและครอบครัวสามี หากเป็นบ้านชุยหรือบ้านรองเซียวพวกเธอคงจะเชื่อ
“ปะ...เปล่า ปกติเห็นไม่เคยเดินมาไปทางนั้น ฉันเลยถามดู ไม่มีอะไร ไปเถอะ” นางหวั่นซื่อรีบปฏิเสธ เพราะคิดว่านี่คือความฝัน เธอคิดว่าตัวเองคงต้องไปพักผ่อน อาจจะเหนื่อยจนเกิดภาพหลอน
“มีใครจะถามอะไรฉันอีกไหม?”
เธอถามและกวาดสายตามองบรรดาป้าว่างงานทั้งหลาย ที่มักจะนั่งจับกลุ่มแทะเมล็ดฟักทองนินทาชาวบ้าน แต่ละคนรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน เพราะกลัวสายตาของเธอที่มองมา แม้จะยิ้มแต่สายตานั้นกลับไม่ยิ้มด้วย
เมื่อปลีกตัวออกมาจากกลุ่มของป้าที่ว่างงานแล้วเธอจึงมุ่งหน้าไปหาสามีและพ่อแม่สามีทันที ใกล้จะถึงแล้วแท้ๆ สงสัยตอนออกจากบ้านเธอลืมดูว่าก้าวเท้าไหนออกมาทำให้เจอกับอดีตคนรักของร่างนี้เรียกไว้
“เหมยฮวารอก่อน”
เซียวเจี้ยนซูร้องเรียก แม้ว่าจะไม่ได้ชอบชุยเหมยฮวาแต่เพราะหญิงสาวมักจะมีอะไรมาให้เสมอ ทำให้เขาทิ้งหรือตัดความสัมพันธ์กับเธอไม่ลง แต่ยิ่งเรียกเท่าไหร่ชุยเหมยฮวาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดคุยกับเขาเหมือนที่ผ่านมา ทำให้ชายหนุ่มรีบวิ่งมาดักหน้าและเตรียมจะคว้าแขนเธอ กลับเป็นชุยเหมยฮวายกเท้าถีบไปที่กลางลำตัวเข้าอย่างจัง
พลั๊ก! ตุ๊บ! “โอ๊ย! เหมยฮวาคุณเป็นบ้าอะไร ถีบผมทำไม” ชายหนุ่มร้องเสียงหลงทั้งเจ็บและจุก ไม่คิดว่าหญิงโง่คนนี้จะกล้าทำร้ายเขา ทั้งๆ ที่เธอหลงเขาอย่างหัวปักหัวปำ
“ขอโทษนะฉันเป็นคนบ้าจี้และซุ่มซ่าม เท้าเลยกระตุก ว่าแต่คงไม่เจ็บหรอก แรงของฉันคงไม่ทำให้ชายหนุ่มรูปร่างยังกับวัวแบบคุณเจ็บใช่ไหม”
ชุยเหมยฮวาลอยหน้าลอยตาตอบ พอดีว่าเท้ากระตุกแรงไปหน่อย ทั้งสองคนไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนยืนแอบมองอยู่ เพราะตั้งใจว่าจะไปหาอาหารมาให้พ่อกับแม่กิน แต่กลับมาเจอทั้งสองคนเข้าพอดี
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ว่าแต่คุณจะไปไหน ในตะกร้านั่นอาหารหรือเปล่า”
เซียวเจี้ยนซูเอ่ยถามก่อนจะมองตะกร้าใส่อาหารตาเป็นประกายเตรียมที่จะคว้ามา แต่ชุยเหมยฮวาเตะเขาอีกครั้งก่อนจะถอยหนี ไม่ใช่ว่าสู้ไม่ได้ แต่กลัวอาหารตกพื้นขี้เกียจกลับไปทำใหม่ นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว หากกลับไปทำใหม่ สามีเธอและพ่อแม่สามีจะกินอะไรล่ะ
“อืม ในตะกร้าคืออาหาร แต่ของพี่หย่งเสียนและพ่อแม่สามี หากคุณไม่มีอะไรแล้วขอตัวก่อนนะ”
“หมายความว่ายังไง เธอทำอาหารไปให้ไอ้หย่งเสียนเหรอ เธอเป็นบ้าอะไรเหมยฮวา เธอไม่ได้เกลียดมันหรือไง” เซียวเจี้ยนซูตวาดด้วยความลืมตัว ความสุภาพหรือหน้ากากที่มีของเขาจึงหายไปหมด