CHAPTER 1
Meen’s part
ทันทีที่จอดรถแล้วมองเข้าไปด้านในซึ่งเป็นโรงเก็บรถ ฉันพบกับเจ้าของสถานที่ซึ่งกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงกลาง เด่นหราราวกับกลัวว่าฉันจะมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น
รู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย คนที่อยากเจอและคนที่ไม่อยากเจอดันเป็นคนเดียวกัน มันรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ
“ไหนล่ะ” ฉันแบมือไปตรงหน้าคนตัวสูงได้ไม่กี่วินาทีมือนั้นต้องชักกลับมาโบกพัดตรงหน้าตัวเองเนื่องจากควันบุหรี่ลอยฟุ้ง “เหม็น!”
“ฮึ!” เขาเค้นเสียงในลำคอ ดวงตาคมจับจ้องมาที่หน้าฉันจนตัวฉันเองต้องประหม่า เสมองไปทางอื่นแล้วแบมือไปตรงหน้าอีกฝ่ายอีกครั้ง
“ทำไมเดี๋ยวนี้โง่” เสียงทุ้มถาม
ตวัดสายตากลับมาที่ใบหน้าคมด้วยความไม่พอใจกับคำถามที่เขาส่งมา ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงโง่ แต่ไม่ได้เพิ่งโง่อย่างที่เขาว่า
“ก็โง่มานานละ จำไม่ได้เหรอ” ฉันย้อนถามกลับไป มุมปากของเขายกยิ้ม
“ยังฝังใจกับเรื่องเก่า ๆ อีกหรือไง”
“จำไม่ลืม!”
“หมายถึงไม่ลืมพี่?”
ฉันอ้าปากค้างด้วยความตะลึงงัน คิดคำเถียงไม่ทันเพราะมันคือเรื่องจริง! แต่จะให้ยอมรับไปตามตรงก็ไม่ใช่ป้ะ จึงได้แต่ไล่สายตามองอีกฝ่ายแล้วเบะปากคว่ำราวกับสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นไม่มีความเป็นจริงเลยแม้แต่นิดเดียว
“ฮึ!”
โคตรเกลียดการแค่นเสียงในลำคอของเขาเลย มันทำให้ฉันประหม่ามากขึ้นหลายเท่า
“ตกลงจะให้ไหม” ฉันถามเสียงแข็ง สถานที่กว้างขวางแต่รู้สึกอึดอัดไปหมด หายใจไม่ทั่วท้องจนอยากจะออกไปสูดอากาศที่อื่นแล้ว
“ให้”
หันกลับไปมอง ในมือของเขาที่ยื่นมามีสมาร์ตโฟนอยู่ ฉันเข้าใจว่าจะให้จึงจับไว้แต่เจ้าของดันไม่ปล่อยแถมยังดึงคืนกลับไปอีกด้วย
“พี่ลม!” กระแทกเสียงด้วยความหงุดหงิด “จะเอาไงเนี่ย”
“ก็จะให้นี่ไง”
“แล้วเอาคืนไปเพื่อ?”
“ช่วงนี้มีนโง่หนักไปปะวะ” เขาหรี่ตามองฉันแล้วพ่นลมหายใจราวกับเอือมระอาในความบื้อของฉัน “เอาไปทั้งเครื่องแล้วพี่จะใช้อะไร”
ฉันนิ่งเงียบ เออ ฉันโง่จริงว่ะ ก็เห็นยื่นโทรศัพท์มาก็เข้าใจว่าจะให้มาเลย
“เอาไลน์มา” พี่ลมบอกเสียงเรียบ
“…”
“เร็ว ๆ”
“ส่งในเฟซก็ได้ เฟซก็แชตได้” ถึงจะไม่มีไลน์กันเพราะฉันปิดการเพิ่มเพื่อนด้วยเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ แต่ก็ยังมีเฟซบุ๊กที่ยังเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัครสมาชิกแอป
“ไม่เอา?”
หงุดหงิดชะมัด! หงุดหงิดที่ต้องเป็นฝ่ายยอม
“เอา!”
ฉันจำใจที่จะให้เขาสแกนเพิ่มเพื่อนในไลน์ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้หลักฐานเสียที พี่ลมขอให้ทุกคนส่งคอนแท็กต์เพื่อแอดมานานแล้ว แต่บรรดาเพื่อนในแก๊งไม่มีใครให้ เพราะรู้ดีว่าฉันไม่ต้องการที่จะติดต่อกับเขาสักเท่าไหร่
แต่ครั้งนี้พี่ลมให้มาร์ชไปบอกว่ามีรูป ‘พี่เต้’ กับผู้หญิงคนอื่น ให้ฉันมาหาเขาที่วินคาร์ หากไม่ใช่เรื่องของแฟนหนุ่มที่คบกันมาราวครึ่งปี ฉันคงไม่มาเจอกับเขาสองต่อสองแบบนี้แน่นอน
“ไม่ส่งมาล่ะ” ฉันทวงถาม ยืนนิ่งหลังจากให้ไลน์ไปราว 5นาที แต่พี่ลมก็ไม่ส่งอะไรมาสักที
คนถูกถามทำหน้าเรียบเฉย ฉันเป็นฝ่ายกระสับกระส่ายเพราะทำตัวไม่ถูก บรรยากาศมันอึมครึมไปหมด
“มีนไม่เอาก็ได้ ขอบล็อกนะ” ฉันกดปลดล็อกหน้าจอจะเข้าไลน์ไปบล็อกคนที่เพิ่งเพิ่มเพื่อนมา ทว่าถูกเขาแย่งไปจากมือ “พี่ลม!”
เจ้าของชื่อชูมือขึ้นสุดแขน ตะเกียกตะกายอย่างไรก็แย่งคืนกลับมาไม่ได้ พยายามที่จะดึงแขนเขาลงมาแต่อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเยอะ เขาต้านแรงฉันได้แบบสบาย ๆ จำใจต้องปล่อยแล้วยืนนิ่ง ๆ ปรับระดับการหายใจให้ปกติที่สุด เนื้อตัวแนบชิดกันแค่นี้ทำไมหัวใจต้องเต้นแรงขนาดนี้ด้วย
ระหว่างนี้ฉันได้ยินเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นหลายครั้ง
“ส่งไปให้แล้ว” พี่ลมเอ่ยออกมา
ฉันรับสมาร์ตโฟนคืนมาแล้วกดดูรูปทีละรูป อารมณ์คุกรุ่นจนกำเครื่องสี่เหลี่ยมในมือไว้แน่นราวกับจะบีบให้มันแหลกคามือซึ่งมันเป็นไปไม่ได้
“ทำไมถึงได้เจอแต่ผู้ชายแบบนี้” ปรายตามองคนข้าง ๆ คนตัวสูงทำเป็นสงสัยว่าฉันสื่อถึงใคร เหลียวมองหาอยู่นั่น ทำอย่างกับมีใครอีกงั้นแหละ “เราอยู่กันสองคนเหอะ”
“เหรอ” พี่ลมทำเสียงทะเล้น ตลกมากมั้ง
“ไปละ ขอบคุณ” ไหน ๆ เขาก็ช่วยให้รูปมา การขอบคุณไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่ฉันจะทำ
“น้ำเสียงโคตรกระด้าง หางเสียงก็ไม่มี”
“อย่าเยอะ!”
ฉันเดินออกมาที่รถตัวเอง ไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะตามมา จนแขนตัวเองถูกฉุดรั้งเอาไว้
“พี่ลม!” พยายามบิดแขนออกจากการจับกุมแต่อีกคนก็ไม่ปล่อย
“ยินดีที่ได้พบกัน” รอยยิ้มละมุนถูกส่งมา ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในภวังค์ จนต้องเสมองไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเองไว้
“พูดบ้าอะไร เจอกันออกจะบ่อย”
เพื่อนผู้ชายที่สนิทก็เป็นน้องชายแท้ ๆ ของพี่ลม เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมาเจอกัน เพียงแต่เวลาที่เราเจอกัน ฉันไม่ได้พูดคุยกับเขาสักเท่าไหร่ คำสองคำก็พอแล้ว
พี่ลมยกไหล่ขึ้นสูง สีหน้าของเขาดูมีเลศนัย ฉันละความสงสัยไว้แล้วจะเปิดประตูรถแต่คนตัวสูงกว่าแย่งเปิดให้ และเมื่อฉันเข้าไปนั่งประจำที่คนขับ คนด้านนอกก็จัดการปิดประตู แต่ยังปิดไม่ทันสนิท ประตูก็เปิดออกอีกครั้ง
“ขับรถดี ๆ นะ”