เส้นทางสีเทา
ตอนที่1 เส้นทางสีเทา
[แจสเปอร์ TALKS]
ผมมันก็แค่คนที่เอาดีอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเหมือนที่พ่อชอบพูดกรอกหู จนถ้อยคำพวกนั้นมันฝังหัวผมมาตลอด ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เราสองคนพ่อลูกเหมือนกับเจ้ากรรมนายเวรซึ่งกันและกัน ผมมันลูกนอกคอก เรียนมหาลัยก็ไม่จบทำตัวเกเร คบเพื่อนเลว เพื่อนขี้ยา เป็นอันธพาล นักเลงหัวไม้ และตามเนื้อตัวของผมมีรอยสักเหมือนพวกขี้คุก
บางทีพวกผู้ใหญ่ก็คิดว่าความคิดของตนเองถูกเสมอ เมื่อใดที่พวกเรามีความคิดซึ่งแตกต่างออกไปก็มักจะถูกตำหนิ ด่าทอ เหมือนผมที่ได้ชื่อว่าลูก (ไม่) รักของพ่อ พ่อไม่รู้สักนิดว่าสิ่งที่พ่อให้ร้ายทางวาจาต่อผมมันได้ผลักดันให้ผมเป็นไปตามที่ท่านตำหนิแทบจะทุกอย่าง
ผมออกจากบ้านตั้งแต่อายุยี่สิบปี ก่อนที่อีกสี่ปีต่อมาท่านจะจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมาด่าว่าผมได้อีก เส้นทางที่ผมเลือกเดินหลายต่อหลายคนเลือกที่จะหนีให้ห่าง โลกของผมมันเป็นสีเทา ใครก็ตามที่ก้าวเท้าเข้ามาต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า… มึงจะไม่มีวันได้ออกไปง่ายๆ แน่
“ไอ้ดาจิมมันแม่งถูกยิงตายวันก่อน”
พี่เสือทำท่าหงุดหงิด คีบบุหรี่เข้าปากแล้วพ่นควันออกมาใส่กลางวง พวกเราห้าคนยืนล้อมกันอยู่บนโต๊ะกลมในห้องที่พี่เสือหัวหน้าใหญ่มักจะใช้เป็นห้องประชุมสั่งงาน พี่เสือหน้าตาออกไปทางลูกครึ่งหนวดเคราครึ้ม รอยสักเต็มตัว ที่เป็นเอกลักษณ์คือเขาชอบสวมหมวกเบเร่ต์ และมีรอยสักรูปนกฮูกที่มีหัวกะโหลกอยู่ตรงกลางบริเวณลำคอ
“ตอนนี้กูอยากหาคนมาทำงานแทนมัน พวกมึงใครจะอาสาบ้างวะ”
คนทั้งโต๊ะพากันยกมือขึ้นยกเว้นผม งานที่ไอ้ดาจิมรับผิดชอบอยู่ทั้งคุมบาร์ คุมผับ และสถานอาบอบนวด งานพวกนี้มันเกี่ยวกับเรื่องคาวๆ จึงไม่แปลกที่มีใครหลายคนอยากเข้ามาทำหน้าที่ของมัน พี่เสือกวาดสายตามองทุกคนที่ยกมือขันอาสากระทั่งสายตาของเขามาหยุดที่ผม
“เพื่อความยุติธรรม กูมีวิธีการเลือกง่ายๆ เลย”
ปากที่คาบบุหรี่อยู่พ่นควันออกมา มือเขาก็เอื้อมไปคว้าปืนลูกโม่ออกมาจากด้านหลัง พี่เสือเทกระสุนออกจากโม่จนหมดแล้วใส่กระสุนกลับลงไปหนึ่งนัด
“เอางี้เลยเหรอพี่เสือ”
ผมเห็นหลายคนที่ยกมือหน้าเริ่มถอดสี ใครๆ ทั้งโต๊ะคงเดากันออกแล้วว่าพี่เสือจะเล่นเกมรัสเซียนรูเล็ต บางคนเอามือลงในทันที
“งานนี้พวกมึงก็รู้ว่ามันเสี่ยง กูอยากได้คนที่ใจหน่อยใครที่เหนี่ยวไกเป็นคนสุดท้ายได้งานนี้ไป ใครปอดแหกจะถอยตอนนี้ก็ยังทัน”
พี่เสือหมุนโม่แล้วตบปืนเข้าที่ก่อนจะวางไว้กลางโต๊ะ ตอนนี้ทุกคนเงียบกริบกันหมดพากันเอามือลงจนไม่เหลือใครที่ยกมือค้างไว้อีก
“พวกมึงแม่งปอดแหกกันชิบหาย เชี้ยเอ้ย!”
พี่เสือเริ่มหงุดหงิดจนหนวดกระตุก
“ผมเล่นเอง”
ผมยื่นมือไปหยิบปืนลูกโม่กระบอกนั้นขึ้นมาจ่อหัวตัวเอง ตอนนี้คนทั้งโต๊ะพากันมองมายังผมเป็นตาเดียวกัน ชีวิตผมตอนนี้แม่งก็บัดซบจะตายไป พอพ่อที่เกลียดผมราวกับเป็นศัตรูก็ตายจากไป จนผมคิดว่าโลกนี้ผมไม่เหลือใครอีกแล้ว
“มึงแน่ใจเหรอไอ้แจสเปอร์”
พี่เสือเลิกคิ้วขึ้น
ผมเริ่มเหนี่ยวไก… แชะ… แชะ… แชะ… แชะ เสียงนกสับไกดังแชะติดกันสี่ครั้ง
“พอไอ้เชี้ย เดี๋ยวก็ตายห่าหรอกมึง”
พี่เสือคว้ามือของผมเอาไว้แล้วแย่งปืนไป เขาส่ายหัวไปมาพร้อมกับอมยิ้มอย่างชอบอกชอบใจ
“มึงมันบ้าดีว่ะไอ้แจสเปอร์ กูชอบ ตั้งแต่วันนี้ไปกูให้มึงทำหน้าที่แทนไอ้ดาจิม คำพูดของมึงจะเหมือนเป็นคำพูดของกู พวกมึงที่เหลือฟังไว้ด้วย แค่นี้เลิกประชุมแยกย้าย”
พอพี่เสือพูดจบทุกคนก็ต่างพากันค่อยๆ เดินออกจากห้องไปทีละคนสองคน
มินนี่-ดาโซ
[มินนี่ TALKS]
‘ดาโซ’
‘คะคุณพ่อ มีเรื่องอะไรเหรอเปล่าคะ”
สีหน้าของคุณพ่อดูเหมือนมีเรื่องกลุ้มใจซึ่งมันไม่เคยปิดบังฉันได้มิดสักครั้ง คงเป็นเพราะเรามีกันเพียงสองคนพ่อลูกเท่านั้น
‘บริษัทใหญ่เรียกตัวพ่อให้กลับไปช่วยงานที่เกาหลี 3-4 เดือน’
‘เรื่องแค่นี้เองเหรอคะ หนูอยู่คนเดียวได้สบายมาก คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ ลูกสาวคุณพ่อเข้มแข็งจะตายไป จริงมั้ยคะ ทานอาหารเยอะๆ นะคะคุณพ่อดูซูบผอมไปเยอะเลย’
ฉันตักอาหารใส่จานของคุณพ่อ
‘จริงด้วยสินะ ลูกเข้มแข็งและสวยเหมือนคุณแม่ของลูก’
‘ค่ะ’
ฉันมองคุณพ่อตักอาหารเข้าปาก คุณพ่อของฉันเป็นชาวเกาหลีใต้ท่านทำงานเป็นวิศกรอยู่ในบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง พบรักกับคุณแม่ของฉันซึ่งเป็นผู้หญิงไทย คุณพ่อบอกฉันเสมอว่าคุณแม่เป็นคนสวยและจิตใจดี ฉันรู้จักคุณแม่ผ่านรูปถ่ายและคำบอกเล่าของคุณพ่อเท่านั้น เพราะท่านจากฉันกับคุณพ่อไปเนื่องจากอุบัติเหตุหลังจากคลอดฉันออกมาได้เพียงห้าเดือน ต่อมาบริษัทของคุณพ่อมีแพลนขยายบริษัทย้ายฐานการผลิตมาเปิดสาขาในประเทศไทย
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องย้ายตามท่านมาเรียนที่ประเทศไทย นับจากวันที่คุณพ่อของฉันถูกเรียกตัวกลับประเทศเกาหลีไปจนถึงวันนี้ก็ 5 เดือนแล้วสินะ
“มินนี่! ยืนเหม่ออะไรอยู่ เอากาแฟไปเสิร์ฟโต๊ะที่4ให้หน่อย”
“อ่อค่ะ ขอโทษด้วยนะคะพี่บี”
ฉันขอคุณพ่อมาทำงานพิเศษหลังเลิกเรียนเพราะอยากแบ่งเบาภาระของท่าน การหาเงินได้ด้วยตนเองเป็นความภาคภูมิใจแม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นจำนวนมากมายสักเท่าไหร่นักก็เหอะ
“โต๊ะ4นะคะ”
ผู้จัดการร้านกาแฟเป็นผู้หญิงชาวไทยรูปร่างค่อนไปทางอวบนิดๆ ชื่อว่าพี่บี พี่บีชอบทำหน้าทำตาเหมือนคนไม่สบอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
“ใช่ รีบไปสิ ลูกค้ารอนานแล้ว”
ฉันรีบก้มหน้าก้มตาเดินเอากาแฟไปเสิร์ฟตามที่พี่บีบอก โต๊ะ4มีผู้ชายนั่งกันอยู่3คน พวกเขาพากันมองฉันด้วยสายตาที่ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่