‘ผมไม่เห็นด้วยนะกับการที่คุณเอายานรกพวกนี้ไปบริจาคให้กับชาวบ้าน’
‘นี่มันเป็นฆาตกรรมไม่เลือกหน้า สังหารหมู่ชัด ๆ’
‘ก็ไม่เห็นว่ามีใครตายเพราะยาของผมสักหน่อย พวกนั้นตายเพราะหันมาฆ่ากันเอง’
‘แต่ถึงยังไงการที่คุณทำแบบนี้มันก็ไม่ควรอยู่ดี เพราะการที่สื่อและตำรวจให้ความสนใจที่นี่มันจะทำให้พวกเราทำงานลำบาก’
‘ก็นึกว่าจะห่วงชาวบ้านพวกนั้น ที่แท้ก็ห่วงผลประโยชน์ของตัวเอง...’ เตชินฟังเสียงที่ได้มาจากเครื่องดักฟังวนซ้ำหลายรอบ เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าในคลิปเสียงนี้มีเสียงของใครบ้าง แต่ที่แน่ ๆ หนึ่งในนั้นต้องมีเสียงของนายเจษฎาและไมเคิล
เตชินนั่งชั่งใจอยู่สักพักใหญ่ ๆ ก่อนจะหันไปมองเอกสารกองเท่าภูเขาบนโต๊ะทำงานของตัวเอง ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันหยุด แต่เขาก็ยังคงทำงานไม่ได้พัก
เขายังไม่ได้เบาะแสและหลักฐานที่เพียงพอที่จะสามารถสาวถึงตัวคนร้ายและคนที่อยู่เบื้องหลังเลย
เขามัวแต่เสียเวลาและวุ่นวายกับการจัดการเรื่องที่โรงพัก และเหยื่อผู้เสียหายจากเหตุการณ์เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่หน้าที่ของเขาโดยตรง แต่ในเมื่อเขาแฝงตัวมาเป็นตำรวจเขาก็จึงต้องปฏิบัติหน้าที่ให้แนบเนียนที่สุด
คนร้ายเริ่มแสดงตัวออกมาแล้ว เขาจะต้องสืบหาหลักฐานเพื่อปิดคดีนี้ให้ได้ก่อนที่ร้อยตำรวจเอกสิบทิศ ซึ่งเป็นตำรวจที่มาประจำการที่นี่ตัวจริงจะมาทำหน้าที่ของตนเอง
เตชินมีเวลาในการทำงานนี้เพียงแค่สองเดือนเท่านั้น และเวลาก็เริ่มลดน้อยลงทุกที เขาคงต้องทำอะไรสักอย่าง และเมื่อคิดได้อย่างนั้น เตชินจึงเดินไปยังห้องทำงานเพื่อที่จะพูดคุย วางแผนการทำงาน และมอบหมายหน้าที่ให้กับเด็กฝึกทั้งสามคน
มะปรางเดินทางมาหาเตชินแต่เช้า เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันหยุดจึงคิดว่าไม่น่าจะรบกวนการทำงานของเขา
แกร๊ก!
เธอเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปภายในบ้านพักเงียบ ๆ เธอส่งข้อความบอกเตชินแล้วแต่เขายังไม่อ่านข้อความของเธอเลย จึงกะจะเข้าไปนั่งรอที่ห้องทำงานที่เขาและเธอเคยคุยกันก่อนหน้านั้นเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน รอให้เขาอ่านข้อความเดี๋ยวเขาก็คงมาเจอเธอเอง
กึก!
ทันทีที่เปิดประตูห้องทำงานเข้าไป มะปรางก็ถึงกับหยุดชะงักอัตโนมัติ เพราะมีผู้ชายแปลกหน้าถึงสามคนอยู่ภายในห้องนั้น มะปรางตกใจเป็นอย่างมากคิดว่าตัวเองมาผิดที่ เธอจึงรีบก้าวขาถอยหลังหวังจะวิ่งหนี แต่จังหวะที่หมุนตัวมะปรางก็ชนเข้ากับแผงอกแกร่งของใครบางคน ซึ่งนั่นก็คือเตชิน
“มะปราง”
“เฮีย...” เธอเรียกเขาด้วยความตกใจและโล่งอกในเวลาเดียวกัน สีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีของมะปรางทำให้เตชินรีบจูงมือเด็กสาวออกไปจากหน้าห้องทำงานที่มีเด็กฝึกของเขาอยู่ในนั้น โดยไม่ลืมเตะบานประตูให้ปิดลง
เซน ซาน และนาวินต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าที่งุนงงและมีอาการตกใจไม่แพ้กัน
“หนูมาที่นี่แต่เช้ามีอะไรหรือเปล่า”
พรึ่บ!
ทันทีที่เดินเข้ามาภายในห้องส่วนตัว เตชินจึงถามหาเหตุผลที่เธอมาหาเขาที่นี่ แม้ในใจก็พอจะคาดเดาได้อยู่ มะปรางไม่ได้ตอบอะไรเธอเพียงแค่เดินเข้าไปสวมกอดเขาไว้แน่น
อ้อมกอดของชายหนุ่มสร้างพลังบวกให้เธอได้เสมอ เธอเชื่อว่าอย่างนั้น
“หลายวันมานี้หนูมีอาการแปลก ๆ ใจมันสั่น บางทีหลับอยู่ก็หายใจไม่ออก ตอนแรกหนูคิดว่าหนูแค่ไม่สบาย แต่อาการพวกนั้นมันก็ไม่หายไปสักที มีแต่รุนแรงขึ้น เหมือนหนูกำลังจะตายเลย”
อาการเบื้องต้นที่มะปรางกล่าวมา ชายหนุ่มรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นอาการอยากยา อีกทั้งร่างกายของเธอก็ซูบผอมอย่างเห็นได้ชัด
“หลังจากวันนั้น หนูไม่ได้กินยาอะไรเข้าไปใช่ไหม” มะปรางส่ายศีรษะไปมา เธอไม่กล้ากินยาอะไรเข้าไปทั้งนั้น นอกจากนอนพักผ่อนหวังให้อาการพวกนั้นทุเลาลงเอง
“ทำไมเพิ่งมาบอกเฮีย” เขายกมือขึ้นมาอังหน้าผากเด็กสาวด้วยความเป็นห่วง
“พยายามจะบอกเฮียหลายครั้งแล้วแต่เฮียไม่ว่าง เห็นเฮียงานยุ่งตลอด”
“โอ๋ ๆ เฮียขอโทษนะครับ บ่ายนี้เฮียกะจะไปดูหนูเพื่อให้แน่ใจว่าหนูยังโอเคอยู่”
เตชินเองก็ขับรถไปแอบดูมะปรางอยู่บ่อยครั้งหลังจากที่เลิกงานแล้ว เห็นว่าแม่มะลิยังคงทำงานตามปกติดูไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนอะไร คนที่รักและห่วงลูกสาวอย่างแม่มะลิคงไม่อยู่เฉยแน่ถ้ามะปรางผิดปกติไป เตชินลูบผมของเด็กสาวเบา ๆ ก่อนจะพาเธอไปนั่งที่โซฟาตัวยาวของห้อง เพื่อที่จะได้คุยกันต่อ
“หนูรู้สึกเหมือนจะตายเลยเฮีย ถ้าหนูเป็นอะไรไปหนูฝากแม่ด้วยนะ แล้วก็ช่วยเรื่องค่าเทอมของไอ้เติร์ดด้วย” มะปรางกล่าวราวกับกำลังสั่งเสียก็ไม่ปาน อาการของเธอดูวิตกกังวลและหวาดระแวงอย่างเห็นได้ชัด
“มะปราง มะปรางฟังเฮียนะหนูจะไม่เป็นอะไร หนูจะไม่เป็นอะไรทั้งนั้น ยาที่หนูกินเข้าไปวันนั้นมีส่วนผสมของสารเสพติดอยู่ อาการที่หนูเป็นอยู่ตอนนี้มันคืออาการอยากยา หนูต้องอดทนและต่อสู้กับมันนะ อย่ากลับไปยุ่งเกี่ยวกับมันอีกเด็ดขาด”
“แต่มันทรมานมากเลยนะเฮีย มันทรมานขึ้นเรื่อย ๆ เลย” เธอเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น เตชินดึงเด็กสาวมาสวมกอดด้วยความเข้าใจ
“คนในชุมชนที่ตกเป็นเหยื่อหลายคนตอนนี้มีอาการไม่ต่างจากหนูเลย ยาเสพติดที่แต่ละคนกินเข้าไปมันมีส่วนประกอบของสารอันตรายที่แตกต่างกัน บางคนก็เป็นแบบหนู บางคนก็มีอาการหงุดหงิด บางคนก็อาละวาดหนักเลย”
“ตอนนี้พวกเขาเป็นยังไงบ้าง หนูไม่ค่อยได้ออกไปไหนเลย ไม่ได้เจอผู้คนมาเกือบสองสัปดาห์แล้ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“ตอนนี้พวกเขาทุกคนอยู่ในการดูแลของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เฮียส่งรายชื่อทุกคนไปทำการบำบัดเรียบร้อยแล้ว ไม่ช้านี้ทุกคนก็คงจะกลับมาเป็นปกติ”
“ละ...แล้วหนูล่ะ ทำไมหนูถึงไม่ได้ไปบำบัดเหมือนพวกเขา เฮียลืมหนูเหรอ”
“เฮียไม่ได้ลืมครับ แต่แม่มะลิของหนูยังไม่รู้ไม่ใช่เหรอว่าหนูเองก็ตกเป็นเหยื่อของยานรกพวกนั้นเหมือนกัน”
“เฮียอย่าบอกแม่นะ หนูไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ”
เตชินพยักหน้าให้เด็กสาวพลางลูบผมปลอบใจเธอ
“เดี๋ยวเฮียจะเป็นคนบำบัดหนูเองนะ หนูต้องผ่านมันไปให้ได้นะเด็กดีของเฮีย”
“เฮีย... เหมือนหัวใจของหนูมันสั่นอีกแล้ว” เธอพูดพร้อมกุมมือไปที่หน้าอกข้างซ้าย ร่างกายของเธอเกิดอาการสั่นเทา ปากแห้งหน้าซีด หายใจติด ๆ ขัด ๆ จนน่าตกใจ
“หนูนั่งรอเฮียอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวเฮียมา” เตชินเดินไปหยิบขวดน้ำรินใส่แก้วมาให้มะปราง “หนูดื่มน้ำก่อนนะ ดื่มเยอะ ๆ เลย เดี๋ยวเฮียเอาผ้ามาเช็ดตัวให้”
มะปรางปฏิบัติตามคำสั่งของเตชินอย่างไม่อิดออด ชายหนุ่มจัดเตรียมผ้าชุบน้ำหมาด ๆ มาไล้เช็ดเหงื่อตามกรอบหน้าและลำคอให้กับเด็กสาวอย่างละเมียดละไม
“ดีขึ้นไหม” มะปรางพยักหน้าให้เตชินเบา ๆ เธอกำมือข้างหนึ่งของชายหนุ่มไว้แน่น เพียงแค่นั้นเธอก็รู้สึกอุ่นใจว่าเธอไม่ได้ถูกปล่อยให้ตายอย่างโดดเดี่ยว
“เฮีย... อย่าลืมที่หนูบอกนะ ถ้าหนูเป็นอะไรไปฝากดูแลแม่มะลิด้วย”
“พูดแบบเดิมอีกแล้วนะ หนูจะไม่เป็นอะไรไงครับ เฮียอยู่ตรงนี้ทั้งคน ไม่ยอมให้หนูเป็นอะไรไปง่าย ๆ หรอก”
เขาอุ้มเธอขึ้นมานั่งบนตักแล้วกอดปลอบใจเธออยู่อย่างนั้น จนเธอผล็อยหลับไปด้วยความล้า เตชินจึงอุ้มคนตัวเล็กไปนอนพักบนเตียงของเขา
“อดทนนะครับเด็กดีของเฮีย” ว่าจบเขาก็ก้มไปจูบหน้าผากมนอย่างละไม
เขาจัดระเบียบท่านอนใหม่ให้กับเด็กสาว เพื่อให้เธอนอนหลับได้อย่างสบาย ก่อนจะดึงผ้านวมผืนหนามาห่มให้เธอเป็นประการสุดท้าย จากนั้นจึงเดินออกไปจากห้องเงียบ ๆ เพื่อให้มะปรางได้พักผ่อนอย่างเต็มที่