กลับไปแล้วสินะ

1392 Words
@ สายวันต่อมา ร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่ามีเพียงแค่ผ้าห่มผืนหนาปิดบังร่างกายเอาไว้ ชามานอนอยู่บนเตียงไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่ลุกขึ้นจากเตียง อุณหภูมิในร่างกายที่ร้อนระอุบ่งบอกได้ว่า ตอนนี้หญิงสาวกำลังถูกพิษไข้เล่นงาน “อื้อ” เสียงหวานหลุดครางออกมาด้วยความงัวเงีย ดวงตากลมโตค่อย ๆ ลืมตาปรับโฟกัสรับแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาภายในห้องพักของโรงแรม เมื่อดวงตากลมโตปรับโฟกัสรับแสงแดดได้ หญิงสาวเปิดเปลือกตาขึ้นมาสำรวจบริเวณโดยรอบห้อง กลับพบแต่ความว่างเปล่าไร้ซึ่งเงาของสามีป้ายแดงที่เป็นต้นเหตุให้หญิงสาวต้องนอนซมจนตื่นสาย “กลับไปแล้วสินะ” น้ำเสียงแหบแห้งของชามาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนที่หญิงสาวจะยันตัวลุกขึ้นจากเตียงที่มีสภาพยับยู่ยี่แทบไม่เหลือเค้าเดิม ชามากัดฟันเดินลงจากเตียงด้วยความทุลักทุเล หญิงสาวเดินไปหยิบชุดนอนที่กระจัดกระจายเกลื่อนบนพื้น ก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปชำระร่างกายในห้องน้ำ สายวันต่อมาร่างสูงโปร่งของประธานบริษัทเดินย่างก้าวเข้ามาภายในอาคาร สร้างความแปลกใจให้เหล่าพนักงานไม่น้อย เนื่องจากพวกเขาทราบดีว่า เมื่อวานเป็นวันแต่งงานของเจ้านายหนุ่ม ซึ่งไม่คิดว่าวันนี้จะได้เห็นประธานหนุ่มปรากฏกายอยู่ที่บริษัท ใบหน้าเลิ่กลั่กของเลขาหนุ่มแสดงออกมาชัดเจน เพียงแค่เห็นหน้าของเจ้านายที่เดินทำหน้าหงุดหงิดปนอ่อนเพลียเดินตรงเข้าไปภายในห้องทำงาน โดยที่เลขาหนุ่มไม่รอช้ารีบเดินตามเข้าไปภายในห้องทำงานพร้อมกับตั้งคำถาม “เออ เจ้านายมาทำงานแล้วเหรอครับ” “ทำไม” เสียงทุ้มต่ำของเธียร์วิชทร์เอ่ยถามเลขาคนสนิทด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดแฝงอยู่ในนั้น “ผมคิดว่าเจ้านายจะพักสักสองวันหลังงานแต่งงาน” บุรินทร์ เลขาหนุ่มกัดฟันเอ่ยถามเจ้านายด้วยความสงสัย “ไร้สาระ” เธียร์วิชทร์ตอบปัดบุรินทร์ด้วยความรำคาญใจ ตาคมจ้องมองหน้าเลขาหนุ่มเหมือนต้องการสื่ออะไรบางอย่าง “แต่เจ้านายดูเพลีย ๆ นะครับ” บุรินทร์ที่สังเกตอาการของเจ้านายหนุ่มเป็นอันต้องเอ่ยทักท้วงขึ้น เพียงแค่เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเจ้านายดูอ่อนเพลียเหมือนคนไม่ได้นอน “บุรินทร์ คุณว่างมากนักเหรอ” น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูน่ากลัวของเธียร์วิชทร์ ทำให้บุรินทร์ถึงกับลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคออึกใหญ่ ก่อนที่เขาจะรีบขอตัวออกจากห้องทำงานของผู้เป็นนายด้วยความเร็ว “ไม่ครับ ผมจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้” ท่าทางลุกลี้ลุกลนของบุรินทร์ ทำให้เธียร์วิชทร์ถึงกับส่ายศีรษะด้วยความเอือมระอา ก่อนที่เขาจะเปิดเอกสารที่อยู่ตรงหน้าดูงานอย่างตั้งใจ โดยละทิ้งความคิดที่อยู่ในใจเอาไว้ “ชา หนูกลับบ้านมาทำไมลูก” คุณหญิงอัจฉราเอ่ยทักลูกสาวของตัวเองที่เดินเข้าบ้านด้วยความตกใจ เมื่อเห็นลูกสาวที่แต่งงานเมื่อวานเดินเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าซีดเผือด “หนูกลับบ้านตัวเอง แปลกตรงไหนคะ” เมื่อได้ยินคำถามของผู้เป็นแม่ หญิงสาวตอบกลับคุณแม่ของตัวเองด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแอบแฝงไปด้วยความน้อยใจอยู่ในนั้น “แม่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คือลูกแต่งงานแล้ว” คุณหญิงอัจฉราถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เอ่ยอธิบายประโยคคำพูดของตัวเอง เพื่อไม่ให้ชามาคิดมาก “ใช่ค่ะ แต่งแล้ว” แต่งงานโดยที่ผู้ชายไม่ได้เต็มใจ ทำให้ชามารู้สึกตัวเองไม่มีค่าใด ๆ เลยสักนิด ยิ่งการกระทำของเธียร์วิชทร์ที่ปฏิบัติต่อเธอ ยิ่งทำให้เธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจโดยไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใด ๆ ออกมาได้ “แล้วตาเธียร์อยู่ไหนลูก” คุณหญิงอัจฉราเอ่ยถามถึงลูกเขยของตัวเองด้วยความสงสัย เมื่อชายหนุ่มปล่อยให้ลูกสาวของตัวเองกลับมาที่บ้านด้วยสภาพอิดโรย และกำลังป่วยเหมือนถูกพิษไข้เล่นงาน “พี่เธียร์จะอยู่ที่ไหน ชาไม่ทราบหรอกนะคะ ชาขอตัว” ร่างบางเดินผ่านหน้าผู้เป็นแม่ขึ้นไปยังห้องของตัวเองไร้ซึ่งบทสนทนาใด ๆ คุณหญิงอัจฉราเดินเข้าไปภายในห้องของลูกสาวพร้อมกับถาดน้ำและยา เธอปลุกชามาที่หลับสนิทอยู่บนเตียงด้วยน้ำเสียงอบอุ่น และใช้มือแตะที่หน้าผากมนของลูกสาว เพื่อวัดอุณหภูมิในร่างกายด้วยความเป็นห่วง “ชา ทานยาก่อนลูก” “แม่คะ ชาไม่ชอบทานยา” หญิงสาวปฏิเสธเสียงแข็ง ชามาไม่ชอบทานยาตั้งแต่เล็กจนโตแต่ก็โชคดีอย่างหนึ่ง คือเธอมักไม่ค่อยป่วยเท่าไรนัก แต่หากป่วยก็มักจะป่วยจนต้องนำตัวส่งโรงพยาบาล “แต่หนูกำลังป่วยอยู่นะลูก” คุณหญิงอัจฉราพยายามโน้มน้าวลูกสาวของตัวเอง เพียงแค่เห็นใบหน้าซีดราวกับกระดาษของลูกสาว “นอนพัก เดี๋ยวก็ดีขึ้นค่ะ” ชามายังคงค้านหัวชนฝา เพียงแค่นึกถึงรสชาติขมติดลิ้นหญิงสาวก็แทบอ้วกออกมา “ทานยาเถอะลูก ถือว่าแม่ขอ” “คุณแม่เชื่อชานะคะ ชานอนพัก ก็ดีขึ้นแล้ว” ชามาปิดเปลือกตาลงอีกครั้งด้วยความอ่อนเพลียและพิษไข้ที่กำลังเล่นงานเธอ “คุณแม่คะ พี่ชามาอยู่บ้านเหรอคะ” ช่วงเย็นของวันอันดาที่กลับเข้ามาในบ้าน เห็นรถยนต์ของพี่สาวจอดอยู่เป็นอันต้องเอ่ยถามแม่เลี้ยงของตัวเองด้วยความสงสัย และคำตอบที่ได้กลับทำให้เธอแอบยิ้มออกมาด้วยความสะใจ “ใช่จ้ะ พอดีพี่เขาไม่ค่อยสบาย” “แต่พี่ชาแต่งงานแล้ว ไม่ได้ย้ายไปอยู่กับพี่เธียร์เหรอคะ” “เรื่องนี้แม่ก็ไม่แน่ใจ ไม่กล้าถามพี่ชาด้วย” “แบบนี้แย่เลยนะคะ แต่งงานโดยไม่ได้รักกันเป็นแบบนี้นี่เอง” รอยยิ้มอ่อนหวานปนไปด้วยความเสแสร้งที่แอบแฝงอยู่ภายในใจของอันดา การกระทำของอันดาสร้างความแปลกใจให้กับคุณหญิงอัจฉราไม่น้อย แต่เธอทำได้เพียงแค่สงสัย และไม่ได้คิดอะไร คิดได้เพียงแค่ว่าอันดาและชามานั้นเป็นพี่น้องกัน ก่อนจะขอตัวไปเตรียมอาหารเย็นให้กับคนในบ้านต่อ “ตกลงแต่งงานกัน แต่แยกกันอยู่เหรอ” เสียงเข้มของชัชชนเอ่ยถามคุณหญิงอัจฉราขึ้นกลางโต๊ะอาหารเย็นของบ้านที่ไร้เงาของชามา “ฉันก็ไม่แน่ใจค่ะ” ใบหน้าของคุณหญิงอัจฉราดูหนักใจไม่น้อย เธอกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องลูกสาวของตัวเองที่พึ่งแต่งงานไป แต่ใบหน้าดูไม่มีความสุข แถมลูกเขยของตัวเองยังหายหน้าไปตั้งแต่แต่งงานวันแรก “แบบนี้ก็ดีแล้วค่ะคุณพ่อ” อันดาพูดโพล่งออกมาโดยไม่ทันคิด แถมยังลืมไปเสียสนิทว่าคุณหญิงอัจฉราแม่ของชามานั่งอยู่ด้วย “อันดา!!” ชัชชนเอ่ยชื่อลูกสาวเสียงดังเหมือนกำลังติเตือนลูกสาว แต่สายตานั้นช่างตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง “คือ อันดาแค่หวงพี่สาวเท่านั้นเอง” อันดาก้มหน้าลงเหมือนกำลังสำนึกผิดกับคำพูดของตัวเองต่อหน้าคุณหญิงอัจฉรา “คุณชัช อย่าว่าอันดาเลยค่ะ” คุณหญิงอัจฉราเอ่ยห้ามสามีตัวเองเอาไว้ เพียงแค่เธอเห็นชัชชนเอ่ยเตือนลูกสาวเสียงเข้มปนดุ “อันดาควรหัดใช้คำพูดให้มากกว่านี้นะลูก พ่อเป็นห่วง กลัวคนอื่นจะไม่เข้าใจความหมายที่หนูต้องการสื่อ” “ค่ะคุณพ่อ” อันดายิ้มหวานส่งให้ผู้เป็นพ่อด้วยหัวใจพองโต และแอบสะใจไม่น้อยกับเรื่องพี่สาวต่างสายเลือดของตัวเอง การกระทำของอันดาเรียกสายตาติเตือนจากผู้เป็นพ่อได้เป็นอย่างดี “คุณชัช ฉันสงสารลูกจัง คุณต้องรีบกอบกู้บริษัทนะคะ” คุณหญิงอัจฉราสงสารลูกสาวของตัวเองจับใจ และรู้สึกผิดกับพ่อของลูกสาวไม่น้อย ชามาไม่ควรเจอเหตุการณ์แบบนี้ในชีวิต ลูกสาวของเธอควรได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรัก “ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจะจัดการให้เร็วที่สุด อีกอย่างถ้าเกิดว่าสามีของชาไม่มารับ ผม” ยังไม่ทันที่ชัชชนจะพูดจบ เสียงของแม่บ้านก็ดังขึ้นขัดจังหวะพอดี เรียกความสนใจจากทั้งสามที่อยู่ที่โต๊ะอาหารได้เป็นอย่างดี “คุณท่านคะ มีแขกมาขอพบค่ะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD