“ตอนนั้นที่มันถือตะกร้าใส่กล้วยกับหัวปลีมาให้ก็เป็นหนุ่มน้อยแล้วนะ ถามพ่อมันที่มาด้วยตอนนั้นก็ว่าลูกชายอายุสิบสองขวบแล้ว ตอนนี้ก็คงราวๆ สามสิบห้าสามสิบหกมั้ง”
แม่จำปาหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้า พอเดาดอกแล้วละว่าทำไมฝ่ายนั้นถึงมาทวงคำสัญญาเอาช่วงนี้ ทั้งที่น่าจะลืมกันไปตั้งนานแล้ว แม้จะไม่ได้อยู่ในสังคมคนดังของจังหวัด แต่ก็พอจะได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับหทัยกานต์หรือคุณเข้ม ซึ่งเป็นลูกชายคนกลางของคุณเหมกับคุณขวัญมาบ้าง ชายหนุ่มรูปงามเพียบพร้อมด้วยสมบัติพัสถาน เก่งกาจเรื่องบริหารงานบริหารคน ตอนนี้รับช่วงกิจการต่อจากบิดาเต็มตัว เป็นผู้บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับต้นๆ ในภาคอีสาน เพราะเขาขยายโครงการไปอีกหลายจังหวัด แต่ละโครงการประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงน่าเชื่อถือ ซึ่งผู้ชายที่สมบูรณ์แบบและอายุอานามก็ปาเข้าไปตั้งขนาดนี้แล้ว คนเป็นพ่อแม่ย่อมอยากให้ลูกมีคู่ครอง แม้ลูกสาวสองคนของฝ่ายนั้นจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาไปนานแล้ว และมีหลานตาหลานยายเป็นโขยง ก็คงยังไม่อุ่นใจ กลัวลูกชายจะบ้างานจนลืมมีเมีย นี่คงพากันอยากอุ้มหลานปู่หลานย่ากันจะแย่แล้ว
“แม่จำปา คิดอะไรอยู่ เงียบไปนานแล้วนะ หรือแม่จำปากำลังคิดว่าจะช่วยพูดกับลูกว่ายังไง ใช่ไหม” พ่อลำมูลถามแล้วขยับเข้าไปใกล้อีกนิด ทำหน้าน่าสงสาร หวังให้เมียเห็นใจ
“คุณขวัญเขาไม่ยอมปล่อยลูกสาวเราไปหรอก” แม่จำปายิ้มแล้วส่ายหน้าอีกครั้ง มิน่าล่ะ ระยะสองสามปีที่ผ่านมานี่ คุณขวัญถึงเทียวไล้เทียวขื่อมาเยี่ยมเยียนที่บ้านเป็นประจำ ซ้ำยังถามหามัทนาทุกครั้ง เวลาลูกสาวท่านกลับมาเยี่ยมบ้านช่วงปิดเทอม รายนั้นก็ดูจะหูตาไว แวะมาหามาพบเจอพูดคุยอย่างคนที่เอ็นดูรักใคร่มัทนามากกว่าคนรู้จักทั่วไป
“เฮ้ย! ก็รู้แล้วว่าไม่ปล่อย แต่ลูกสาวเราเนี่ย จะยอมแต่งกับไอ้คุณเข้มไหม” พ่อลำมูลถอนหายใจอย่างเคร่งเครียด กำลังจะอ้าปากขอร้องเมียให้ช่วยพูดกับลูกอีกครั้ง ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ทั้งเสียงฝีเท้าวิ่งตึงตังตรงมาหา
“พ่อจ๋าแม่จ๋า ช่วยโมกด้วย พี่มัทจะฆ่าโมก” ลูกชายคนเล็กวัยสิบสองขวบวิ่งตรงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าใกล้เสื่อที่พ่อกับแม่นั่งอยู่ เจ้าโมกลูกหลงที่พ่อลำมูลถอดใจไปแล้วว่าชาตินี้คงมีลูกสาวคนเดียวก็ย่อตัว ใช้เท้าสไลด์กับพื้นไม้ขัดมันมาหยุดอยู่หลังพ่อลำมูลพอดี เด็กชายที่เพิ่งล้อพี่สาวว่ามีค่าเท่ากับกล้วยและหัวปลีจับแขนสองข้างของผู้เป็นพ่อไว้แน่น แล้วชะเง้อคอมองพี่สาวที่เดินเร็วตรงเข้ามาหาด้วยหน้าตาขึงขังท่าทางเอาเรื่อง
“โมก!” มัทนาเรียกชื่อน้องชายน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ท่าทางไม่ยอมอ่อนข้อให้น้องของหญิงสาวทำให้แม่จำปาส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายใจ เออนะ...ตอนไปเรียน ตอนต้องห่างกันก็ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลคิดถึงกัน พอกลับมาอยู่ด้วยกันกลับตีกันซะนี่
“พ่อจ๋า พ่อต้องช่วยโมกนะ พี่มัทกลายเป็นนางมารไปแล้ว อย่าปล่อยให้นางมารมากินหัวโมกนะ” โมกอ้อนขอความช่วยเหลือจากพ่อ แล้วทำหน้าทะเล้นใส่พี่สาว ก่อนจะหลบฉากไปอยู่หลังพ่อ
“ไปว่าอะไรพี่เขาล่ะ” แม่จำปาถามลูกชายอย่างจับผิด
โมกยิ้มแหยให้แม่ ไม่กล้าตอบ เด็กชายซุกหน้ากับแผ่นหลังผู้เป็นพ่อหนีสายตาดุของแม่
“โมกว่าหนู น้องว่าหนูมีค่าเท่ากับกล้วยกับหัวปลี” มัทนาทำหน้างอง้ำใส่น้องชาย หญิงสาววัยยี่สิบสี่กลายร่างเป็นเด็กหญิงงอแงเมื่ออยู่กับครอบครัว
“ก็หรือไม่จริงล่ะ โมกแอบได้ยินนะ วันก่อนที่พ่อกับแม่คุยกับคุณเหม คุณขวัญน่ะ โอ๊ย!” เด็กชายร้องโอดโอยขึ้นมาทั้งที่พูดยังไม่ทันจบ เพราะถูกแม่จำปาใช้นิ้วหนีบหู
“โอ๊ยๆ แม่จ๋าๆ โมกเจ็บนะครับ เจ็บๆ” โมกเอนตัวตามแรงที่แม่ดึงหู ใบหน้าทะเล้นเมื่อครู่กลายเป็นบิดเบ้ด้วยความเจ็บ
“ขอโทษพี่มัทก่อน” แม่จำปาปั้นหน้านิ่ง มองลูกชายด้วยสายตาตำหนิ
“ขะ...ขอโทษครับพี่มัท โมกขอโทษ” เจ้าโมกตัวแสบทั้งขอโทษทั้งยกมือไหว้พี่สาว
มัทนาได้ทีเดินไปนั่งลงใกล้ๆ น้อง แล้วดึงหูอีกข้างของน้องชาย
“ขอโทษแล้วก็ต้องพูดว่า โมกจะไม่ทำอีกแล้วครับด้วย”
“คร้าบ! โมกจะไม่ทำอีกแล้วครับ โมกจะไม่ว่าพี่มัทสุดสวย น่ารัก สุดแสนใจดีของโมกอีกแล้วครับ”
“ดีมาก นี่แน่ะ!” มัทนาบิดหูน้องชายแรงขึ้นอีกนิดก่อนจะปล่อย ส่วนแม่จำปานั้นปล่อยมือจากหูลูกชายตั้งแต่ลูกสาวบิดหูอีกข้างแล้ว
คนถูกบิดหูสองข้างนั่งหน้ามู่ทู่ ลูบหูสองข้างป้อยๆ
“โมกก็แค่พูดความจริง ทำไมต้องทำร้ายกันด้วย ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายนะ” เด็กชายพึมพำเบาๆ แต่พอเห็นสายตาดุของแม่และพี่ก็หุบปากฉับ คลานถอยหลังหนีไปหลบข้างๆ บิดา
มัทนามองตามน้องชายอย่างคาดโทษ ก่อนเอ่ยปากบอกด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบชวนขนหัวลุก