ย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน…
19:20น.
อบเชย อบมณีรัตน์….
“ค่ะ…ไม่เป็นไหร่คะ….เดี๋ยวหนูกลับเเท็กซี่เองก็ได้ค่ะแค่นี้เอง”ฉันบอกปลายสายไปด้วยน้ำเสียงร่าเริงที่แกล้งทำทั้งที่ในใจกลัวจะแย่ ปัสสาวะแทบจะราดแล้ว ถ้าไม่ติดว่าต้องซ้อมรำในวันเปิดงานของโรงเรียนน่ะ ฉันจะไม่มาเดินคนเดียวในเวลามืดค่ำโพล้เพล้แบบนี้แน่ๆอันตรายทั้งคนทั้งสิ่งที่มองไม่เห็น
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ”ฉันวางสายของคุณพ่อไปและรีบเก็บโทรศัพท์เครื่องหรูของตัวเองลงไปในกระเป๋ากระโปรงนักเรียนสีแดงทันทีเพื่อความปลอดภัยและเอามือจับไปที่กระเป๋าสตางค์ที่ใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายนักเรียนสีชมพูพริ้งของตัวเองอย่างระมัดระวังและสอดส่องสายตามองไปรอบๆพลางกระพริบตาปริบๆถนนใหญ่กับโรงเรียนของฉันอยู่ห่างกันแค่ห้าร้อยเมตร แต่ทำไมวันนี้ดูไกลจัง และเวลาเย็นๆแบบนี้จะไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมาสักคันเลยจริงๆเหรอ ปกติคุณพ่อท่านจะมารับมาส่งฉันหรือไม่บางทีก็มีคนขับรถมารับมาส่งฉันแต่ช่วงนี้แกลากลับบ้านที่ต่างจังหวัดเพราะภรรยาของแกคลอดลูก ฉันเลยต้องมาเดินคนเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจแบบนี้ในเวลานี้ ตอนเช้าผู้คนก็พากันเดินหลีกกันไปมามากมาย ซึ่งผิดกับตอนนี้ที่เงียบสนิทมีเพียงเสียงรองเท้านักเรียนของฉันที่ดังเสียดสีกระทบไปกับพื้นปูนซีเมนต์ของถนน ฉันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาก็พบกับว่าตอนนี้เวลาหนึ่งทุ่มยี่สิบนาที นี่ฉันซ้อมรำนานขนาดนี้ได้ยังไงกัน ซ้อมจนลืมดูเวลา ส่วนคุณพ่อฉันท่านไม่เคยมีเวลาให้ฉันอยู่แล้ว ท่านเป็นถึงผู้บริหารโรงพยาบาลระดับสูงหนิเนอะ เรามีกันอยู่แค่สองคนพ่อลูกไม่สิมีคุณป้าอรทัยอีกคน ซึ่งท่านเป็นพี่สาวของคุณแม่ฉันแต่แม่ของฉันท่านยังไม่ได้จากไปไหนหรอกนะแต่เพียงแค่ท่านทั้งสองหย่ากันตั้งแต่ฉันยังเล็ก คุณพ่อเป็นคนดูแลฉันส่วนคุณแม่ของฉันแต่งงานมีครอบครัวใหม่ไปเมื่อหลายปีก่อน
ตุ๊บ ตั๋บ โพล๊ะ
“เห้ยไอ้สวะ!!!”
“มึงตายแน่วันนี้!!”
“ไอ้เชี้ยไบรท์!!”
“แน่จริงอย่ารุมดิว่ะตัวต่อตัวเลย!!”
ฉันเบิกตาโตกับเสียงที่ได้ยิน เงาตะคุ่มๆที่อยู่ในซอยเปลี่ยวด้านหลังฉันทำให้ฉันหยุดเดินพร้อมกับขาทั้งสองข้างที่สั่นระริกด้วยความกลัว ปัสสาวะกำลังจะราดจริงๆแล้วนะ
“มึงอย่าท้าอยู่นะ!!”
“กูท้ามึงอยู่!!”
เสียงทุ้มๆของเด็กผู้ชายต่างโรงเรียนกับฉันนั้นคือโรงเรียนชายล้วนฝั่งตรงข้ามกับฉันที่วันๆไม่ทำอะไรนอกจากยกพวกตีกันกับโรงเรียนที่อยู่ถัดไปอีกสองซอย แต่วันนี้เสียงนั้นไม่น่าจะยกพวกมาเป็นสิบคนยี่สิบคนเหมือนเช่นทุกวัน
ตุ๊บๆๆๆๆๆๆๆตั่บๆๆๆๆๆ
พรึบๆๆๆๆๆๆ
“ว๊าย!”ฉันเกือบจะเอามือปิดปากตัวเองแทบไม่ทันเกือบจะร้องเสียงดังให้เด็กนักเลงพวกนั้นได้ยินแล้วไหมล่ะ
“มันตายเปล่าว่ะ..ไอ้โชค?”เสียงที่เต็มไปด้วยความกลัวเอ่ยขึ้นหลังจากที่เสียงรองเท้านักเรียนกระทบกับตัวของมนุษย์เสร็จแล้ว
“เรื่องของมันดิ!!”เสียงสะใจเอ่ยขึ้น
“ถ้ามันตายเราจะไม่ติดคุกเหรอว่ะ?”
“ถ้ากูไม่พูด..มึงไม่พูด…และพวกแม่งไม่พูด…คนที่ตายไปแล้วมันก็ไม่มีสิทธิ์พูด..แล้วใครจะรู้ว่ะไอ้พวกโง่!!”ฉันอ้าปากค้างนั่งยองๆตัวสั่นเทาอยู่ข้างถังขยะเน่าเหม็นได้ยินทุกคำพูดของเด็กพวกนั้น โลกมนุษย์น่ากลัวจริงๆอย่างที่คุณพ่อบอกไว้จริงๆด้วย แล้วที่นี้ฉันจะทำยังไงล่ะ เพราะฉันรู้…
“แล้วเอาไงต่อกับศพมัน?”
“เอาไว้แถวนี้แหละทำทีเป็นมันโดนรุมกระทืบตายเพราะมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของมันอยู่แล้ว”
“แล้วเรื่องจะไม่มาตกถึงเราเหรอว่ะ?”เสียงร้อนรนใจเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ฉันกระพริบตาปริบๆพลางชะเง้อคอมองไปที่เงาตะคุ่มๆสี่ถึงห้าเงานั้นด้วยความกลัว นี่ฉันจะมาเป็นพยานปากเอกรู้เห็นการฆาตกรรมกันเหรอเนี่ย นั้นคนทั้งคนเลยนะไม่ใช่มดน่ะ ฉันควรจะทำยังไงดี คิดสิคิดสิ อบเชย!!!
“ช่างแม่ง!!”
“ไปก่อนที่จะมีคนมาเห็น!!”และพอสิ้นเสียงคนพวกนั้นก็พากันวิ่งหายกลับเข้าไปในซอยเปลี่ยวด้านหลัง ซึ่งทางนั้นเป็นทางเชื่อมไปถึงซอยอื่นๆได้
พรึบบบบๆๆๆ
“คนทั้งคนนะอบเธอจะไม่ช่วยเขาจริงๆเหรอ?”
“และถ้าเขาเป็นคนไม่ดีฆ่าฉันหมกป่าล่ะจะทำไงดี?”ฉันยืนกระวนกระวายถกเถียงกับจิตใต้สำนึกของตัวเองอย่างขมักเขม่น ฉันเดินวนไปวนมาจะเดินไปหาร่างของคนที่นอนอยู่ข้างถนนก็ไม่กล้าเพราะกลัวว่าเขาจะหาว่าฉันเป็นคนฆ่าเขาและรู้เห็นการตายของเขาแต่ไม่ทำอะไร กลัวเขาตามมาหลอก
“โอ้ย!”
“อื้ออ”
“สะเสียงผี”ฉันเบิกตาโตๆของตัวเองพลางร้องเสียงหลงน้ำตาไหลรินด้วยความกลัว จะวิ่งก็วิ่งไม่ได้เพราะขาเจ้ากรรมไม่ยอมทำตามคำสั่งการของสมอง
“ช่ะช่วย”
“ด้วย…”เสียงแหบพร่าเอ่ยร้องเสียงแผ่วเบาลอยตามลมมา นั้นยิ่งทำให้ฉันขนลุกซู่ยืนหลับตาปี๋ด้วยความกลัว เพิ่งตายทำไมวิญญาณเฮี้ยนจัง หรือเป็นเพราะว่าเขาตายไม่ดี ตายโดยการไม่ได้รับความยุติธรรม?
“อย่ามาหลอกมาหลอนฉันเลยนะคะ…พรุ่งนี้ฉันจะทำบุญอุทิศบุญกุศลไปให้คุณนะคะ”ฉันพนมมือไหว้พูดบอกไปเสียงสั่นๆ
“ฉันยังไม่ตาย!!”เสียงทุ้มหนักที่เต็มไปด้วยความแข็งกร้าวเอ่ยดังตวาดกลับมานั้นยิ่งทำให้ฉันสะดุ้งสุดตัวเพราะกลัว
“มาช่วยหน่อยดิ!”
“แล้วทำไมฉันต้องช่วย?”ฉันถามเขากลับไปอย่างไม่เข้าใจ ใช่ทำไมฉันต้องช่วยไม่ได้รู้จักกันซะหน่อยหนิ
“ฉันลุกขึ้นไม่ไหว..ช่วยหน่อยไม่ได้รึไงว่ะ!”
“ใจร้ายชะมัด!!”เสียงบ่นงึมงำๆจากในเงามืดทำให้ฉันค่อยๆเดินขาชิดก้าวชิดก้าวอย่างช้าๆไปดูร่างที่นอนหงายแพล่หลาอยู่บนพื้นดิน
“แปปนะ”ฉันบอกเขาพลางสอดส่องสายตามองหากิ่งไม้ยาวๆที่พอแข็งแรง
“อ่ะเจอแล้ว^_^”ฉันว่าอย่างดีใจและเดินไปหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาถือไว้และเดินกลับไปหาผู้ชายเสียงดุคนนั้น
พรึบ
“อ่ะจับสิ”ฉันว่าพลางยื่นกิ่งไม้ไปตรงหน้าเขา ฉันไม่เห็นหน้าตาเขาหรอกน่ะเพราะว่ามันมืด
พรึบ
“โอ้ย!”
“เป็นอะไรอ่ะ?”
“เสี้ยนตำ”เขาว่าเสียงดังและเสียงหลง ฉันก็ยิ้มแหยๆ
พรึบ
“ไหวไหม?”ฉันเอ่ยถามเขาไปทันทีที่ร่างของเขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงถึงเขาจะงอๆตัวก็เถอะ แต่เขาสูงมากเลยนะ สูงกว่าฉันอีกหัวของฉันแค่ไหล่เขาเอง
“ขอบใจ”เขาหันมาขอบคุณ ฉันก็ยิ้มและขยับตัวออกห่างจากเขาหลายเมตร
“ไม่เป็นไรเลย^_^”
“เหอะ!ถ้าไม่ขอให้ช่วยเธอก็คงไม่ช่วย”
“ก็…”ฉันกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่ร่างสูงนั้นก็ไม่สนใจฉัน เดินนำหน้าฉันไปเขาเดินกะเผลกมือก็กุมท้องตัวเองไว้ฉันจึงเดินตามแผ่นหลังของเขาและเว้นระยะห่างมาอย่างเงียบๆจนเราเดินมาถึงหน้าปากซอยมีแสงสว่างจากหลอดไฟตามทาง ฉันจึงเห็นว่าเขาใส่ชุดนักเรียนโรงเรียนมัธยมชายล้วนฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียนฉันนั้นเองเพราะฉันจำสีกางเกงได้ สีน้ำเงินเข้มเสื้อนักเรียนสีขาวชายเสื้อหลุดออกจากกางเกงถุงน่องไม่ใส่ผิดกฏโรงเรียนหนิหน่า
“กลับไงอ่ะ?”เขาหันมาถามฉันทำให้ฉันมองเห็นใบหน้าของเขา ใบหน้ารูปไข่จมูกโด่งเป็นสันริมฝีปากหยักสีชมพูแต่ตอนนี้มันบวมช้ำและมีเลือดออกหางคิ้วของเขาก็มีเลือดออกเช่นกัน เลือดสีแดงสดไหลเปรอะเปื้อนเสื้อของเขาที่จะเป็นสีขาวก็ไม่ใช่สีครีมก็ไม่เชิงแต่ที่เห็นชัดคือรอยรองเท้านักเรียนที่ประทับเด่นหราอยู่ที่หน้าอกของเสื้อนักเรียนนั้นทำให้ฉันนึกสงสารเขาขึ้นมา เด็กผู้ชายน่ากลัวจังต้องเจ็บตัวทุกวันเลยเหรอ
“มองอะไรยัยคุณหนู!!”เสียงตวาดจากเขาทำให้ฉันสะดุ้งเผลอถอยหลังหนีเขาอย่างไวทำให้เขาชักสีหน้าหงุดหงิดใส่ฉัน
“จะกลัวทำไมว่ะคนโว้ย!ไม่ใช่ผี!!”เขาเดินดุ่มๆเข้ามาหาฉันจนร่างของเราทั้งคู่ใกล้กันเขาก้มใบหน้าหล่อมาตรงหน้าฉันฉันกระพริบตาปริบๆมองเขาผิดกับเขาที่มองหน้าฉันนิ่งไม่กระดุกกระดิกเหมือนกับเขาตกใจอะไรสักอย่าง
“น่ารัก”
“อะอะไรนะ?”ฉันขมวดคิ้วถามเขาไปอย่างสงสัยเพราะฉันได้ยินเขาพึมพำอะไรสักอย่างออกมา คำว่าน่ารักเหรอ?
พรึบ
“กลับบ้านยังไง!”ฉันงงกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของเขาจริงๆนะเมื่อกี้ก็ดีเดี๋ยวก็ดุอะไรกันแน่งงมาก เขาขยับตัวไปยืนตรงเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงขาสั้นนักเรียนของเขาพลางยกยิ้มที่มุมปากขึ้นและทำท่าเสยผมทรงรองทรงของนักเรียนที่ไม่ค่อยจะถูกระเบียบเท่าไหร่เพราะผมหน้ายาวเกิน
“ทะแท็กซี่”ฉันตอบเขาไปเสียงสั่นเครือ
“บ้านอยู่ไหน?”
“ชื่ออะไร?”
“เรียนอยู่ม.ไหน?”
“ครูประจำชั้นชื่ออะไร?”
“เรียนตึกไหน?”
“ชอบผู้ชายแบบไหน?”
“มีแฟนยัง?”
ฉันอ้าปากค้างกระพริบตาถี่รัวกับคำถามของชายคนนี้ ที่ถามรัวมาเป็นชุดจนฉันแทบจะจำไม่ได้และไม่รู้จะตอบอะไรก่อนดี
“เราชื่อไบรท์นะ”
“เรียนอยู่ม.สี่ที่จริงอยู่ม.ห้าแหละแต่ครูไม่ชอบขี้หน้าเลยทำให้ซ้ำชั้น”
“ห้องครูไพศาล”
“ตึกเอ”
“ชอบผู้หญิงแบบเธอ..เอ้ย!ผู้หญิงน่ารักอ่ะตาโตๆแก้มป่องๆปากชมพูผิวขาว”
“ไม่มีแฟน…โสดสนิท”
“อ๋อแล้วก็บ้านอยู่ในตัวตลาดถัดจากซอยนี้ไปสามซอยก็ถึงบ้านเราล่ะ”ฉันกระพริบตาถี่รัวกับคำแนะนำตัวของเขา ไบรท์เหรอ เพื่อนรุ่นพี่สินะ
“ทำไมเราไม่เคยเห็นเธอเลยอ่ะ?”เขาถามฉันขึ้นมาคำพูดที่แผ่วเบามือที่ล้วงอยู่ในกระเป๋าของเขาและท่าทางที่ยืนทำท่าเก๊กหล่อแบบนั้นคืออะไร?
“เห้ย!จะไปไหนอ่ะ!”ไบรท์เรียกฉันเสียงหลงหลังจากที่ฉันวิ่งหนีเขามาและโบกมือเรียกแท็กซี่คันที่เปิดไฟว่างอยู่ โชคดีจัง
“เธอยังไม่ตอบเราเลยนะว่าชื่ออะไรอ่ะ.”
“มีแฟนยัง!”เขาตะโกนไล่หลังฉันมา ฉันไม่รอช้ารีบเปิดประตูแท็กซี่และขึ้นมานั่งพร้อมกับกดล็อคประตูทันทีก่อนที่ร่างของไบรท์จะวิ่งมาถึง
ตุ๊บๆๆๆ
“เปิดประตูลงมาคุยกับเราก่อน!”
“เธอ!!”
“ไปเลยค่ะคุณลุง”ฉันหันหน้าหนีดวงตาคู่คมกริบของไบรท์หันไปเอ่ยบอกคุณลุงคนขับรถแท็กซี่อย่างร้อนรนใจ เขาก็พยักหน้าและเคลื่อนล้อรถออกมาจากตรงนั้นอย่างช้าๆเพราะกลัวว่าไบรท์จะได้รับอันตรายฉันรีบยกมือขึ้นมาปิดหูตัวเองพร้อมหลับตาปี๋ไม่มองไม่ให้ได้ยินเสียงจากไบรท์ ผู้ชายอะไรน่ากลัวจัง
“งอนกันเหรอหนู?”
“งอนเหรอคะ?”
“ก็เด็กผู้ชายคนนั้นแฟนหนูไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ใช่ค่ะคุณลุงเพิ่งเจอกันเมื่อกี้นี่เอง”
“ฮ่าๆๆเด็กวัยรุ่นสมัยนี้^_^”คุณลุงหัวเราะชอบใจใหญ่ ฉันจะไม่ซ้อมรำจนกลับมืดแบบนี้อีกเด็ดขาด!