หญิงสาวผมยาวสลวยยิ้มแย้มอย่างอ่อนหวาน เธออยู่ในชุดเดรสสีครามเคร่งขรึมทว่าให้ความรู้สึกสง่างามช่างภาพกำลังเก็บภาพหญิงสาวหลังจากการให้สัมภาษณ์เสร็จสิ้น หญิงสาวขยับตัวโพสท่าตามคำขอของช่างภาพจนเมื่อได้ภาพที่พอใจแล้วจึงกล่าวขอบคุณพร้อมกับนักข่าวสาวที่มาทำสัมภาษณ์เธอ
“คุณมิ้นต์นี่ขึ้นกล้องจริงๆ นะคะ ไม่คิดจะเป็นดารานางแบบเต็มตัวบ้างหรือคะ”
มิ้นต์ หรือ ดารัณ สุวิชญา หญิงสาววัย 27 ที่หน้าอ่อนเหมือนเด็กมัธยม เธอเป็นเซเลบฯชื่อดังในเมืองไทยทำงานในบริษัทของครอบครัว หญิงสาวเป็นบุตรคนเดียวของตระกูลสุวิชญาที่แสนจะร่ำรวยนั่นทำให้เป็นที่จับตามองเป็นอย่างยิ่ง ทั้งความสวยและความเก่งเกินวัยพลอยส่งให้เธอเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ดารัณยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะน้อยๆ ด้วยท่าทีสุภาพไม่ดูดัดจริตจนเกินงาม ทำให้ความรู้สึกจริงใจพลอยให้คู่สนทนาพลอยหัวเราะตามไปด้วย
“โธ่! พี่ๆ ค่ะ แค่นี้มิ้นต์ก็ทำให้พี่ช่างภาพลำบากต้องเล็งหามุมสวยแย่พอแล้ว ขื่นให้ไปเป็นดารานางแบบอะไรนี่ก็ยิ่งป่วนไปทั้งกองแน่ๆ”
“แต่คุณมิ้นต์ก็เคยถ่ายแบบเดินแฟชั่นนะคะ”
“นั่นงานการกุศลค่ะ แต่มิ้นต์ไม่กล้าคิดจริงจังด้านนี้หรอกค่ะ”
“น่าเสียดายนะคะ”
หญิงสาวยิ้มอ่อนหวานแล้วหยิบถุงกระดาษน่ารักๆ สี่ใบส่งให้นักข่าวและช่างภาพคนละสองถุง “ถือว่าเป็นของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ นะคะ ถุงหนึ่งของพี่ อีกถุงเอาไปฝากคนที่บ้าน แต่ถ้ายังไม่มีคนที่บ้านก็ฝากคนข้างๆ ก็ได้ค่ะ ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติค่ะ เป็นสินค้าแนะนำจากร้านพรรณนาค่ะ”
“อุ้ย! ขอบคุณคุณมิ้นต์มากค่ะ”
หญิงสาวพูดคุยกับนักข่าวและช่างภาพอีกเล็กน้อยแล้วทั้งสองก็ขอตัวกลับ ดารัณระบายลมหายใจเบาๆ เมื่อไม่มีใครอยู่ในร้านพรรณนาแล้วนอกจากเจ้าของร้านซึ่งเป็นหญิงสาวร่างสูงโปรงเดินออกมาจากหลังร้านพร้อมรอยยิ้ม
“ให้สัมภาษณ์บวกถ่ายรูปแค่สองสามชั่วโมงทำหน้าเหมือนไปวิ่งมาสักสี่สิบกิโล”
ลักษณ์นารา หญิงสาวเจ้าของร้านพรรณนา ร้านขายผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เช่นสบู่ แชมพูสระผม ตลอดจนผ้าย้อมสีธรรมชาติที่ตัดเป็นชุดสวยที่เพื่อนรักใส่อยู่
“หนิงก็รู้ว่ามันไม่ใช่นิสัยมิ้นต์” ดารัณเดินมานั่งที่เก้าอี้หวายตัวสวยที่ตั้งอยู่มุมร้าน
“แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้”
ลักษณ์นาราหัวเราะเธอเป็นหญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงผมยาวประบ่าใบหน้าแต้มแต่งเครื่องสำอางบางๆ ในขณะที่วันนี้ดารัณแต่งหน้าค่อยข้างจัดแต่ไม่ถึงกับจัดจ้าน ริมฝีปากแต้มสีแดงกุหลาบเข้ากับสีแก้มเนียนและเปลือกตาประกายน้ำตาลทอง
“มิ้นต์อุตส่าห์นัดมาสัมภาษณ์ที่ร้าน หนิงจะได้โฆษณาร้านไปในตัวยังจะมาพูดแบบนี้กับเพื่อนอีก” มิ้นต์แยกเขี้ยวใส่เพื่อน
“จ้า ขอบใจคุณเพื่อนมากมายมหาศาล” ลักษณ์นารารินน้ำผลไม้ใส่แก้วส่งให้เพื่อนดื่ม “นี่น้ำฟักข้าว ทำเองกับมือเชียว”
“แน่ใจนะว่าถ้าฉันดื่มแล้วฉันจะปลอดภัย” ดารัณรับมาดื่มแล้วก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก
“จะกลัวอะไรมีคู่หมั้นเป็นหมอนี่” ลักษณ์นาราหัวเราะออกมา
“ยัยหนิง!”
ดารัณหน้าแดงจัด เธอไม่อาจซ่อนความเขินอายเมื่อพูดถึงคู่หมั้นคู่หมาย แม้จะเป็นเรื่องที่พ่อแม่จัดการให้ตั้งแต่เธอยังเด็ก แม้จะเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ตกลงกันแต่เธอก็ไม่ปฏิเสธ คู่หมั้นของเธออายุมากกว่าถึง 9 ปี แต่สำหรับเธอเขาคือฝันดีทุกคืนของเธอ
“ฉันเห็นพ่อเทพบุตรของเธอแค่รูปในมือถือเมื่อไหร่จะได้เจอตัวจริงละนี่”
“ฉันก็ยังไม่รู้เลย” ดารัณเสียงแผ่วลง เธอพูดได้เต็มปากเลยว่ารักเขา แต่เขากลับเฉยชาทุกครั้งที่พบกัน แม้เขาจะไม่ปฏิเสธเรื่องการหมั้นหมายที่ผู้ใหญ่จัดการให้แต่เขาก็แสนจะเย็นชากับเธอทุกครั้งที่พบหน้า
“หนิง...” ดารัณเรียกชื่อเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ที่ผู้ใหญ่พูดกันว่าอยู่ๆ กันไปก็รักกันเองมันจะจริงไหม มันจะเป็นจริงได้เหรอ”
ลักษณ์นาราถอนหายใจเบาๆ ยื่นมือไปแตะหลังมือของเพื่อนให้กำลังใจ เธอรู้ว่าดารัณแอบรักคู่หมั้นอยู่ฝ่ายเดียวมานานหลายปี การที่ผู้ใหญ่หมั้นหมายให้นั้นแต่ถ้าคนอย่างดารัณไม่ยินยอมก็ไม่มีทางการเกิดขึ้น เธอทุ่มเทกับความรักของเธอมากมายเหลือเกิน ไม่เพียงแต่เธอจะใส่ใจญาติว่าทีแม่สามีในอนาคต เธอยังทำงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้โรงพยาบาลในเครือที่แม่สามีเธอมีหุ้นอยู่ด้วย ภายนอก ‘ดารัณ สุวิชญา’ สาวไฮโซหรือเซเลบฯ ชื่อดังผู้มีทั้งชื่อเสียงและชื่อเสียเพราะความสวยและเก่งรอบด้านเป็นที่อิจฉาของคนอื่น บ่อยครั้งที่มีข่าวป้ายสีเพื่อนซี้จนลักษณ์นาราโมโหแทน แต่ดารัณมักนิ่งเฉยเป็นการโต้ตอบ ผู้หญิงสวย รวย เก่ง สมบูรณ์แบบอย่างดารัณย่อมมีผู้ชายมาจีบนับไม่ถ้วนแต่เธอก็ปฏิเสธทุกราย สิ่งที่ดารัณทำไปทุกอย่างก็หวังเพียงจะเป็นหญิงสาวผู้เพียบพร้อมสำหรับคู่หมั้นผู้แสนเย็นชาคนนั้น
“ถ้าฉันบอกว่าไม่เชื่อ จะเป็นการทำลายจิตใจเธอเกินไปหรือเปล่าล่ะ” ด้วยความเป็นเพื่อนสนิทลักษณ์นาราจึงกล้าพูดตรงๆ
“แต่ฉันรักพี่ธันวานะ รักมากด้วย” ดารัณพูดเสียงเบา
“แกรักพี่เขาแต่พี่เขาจะรักแกหรือเปล่าละ” ลักษณ์นาราโคลงศีรษะไปมา “ทำใจเผื่อไว้บางก็ดี ที่เขาไม่ยอมแต่งงานกับแกเสียทีเขาอาจเป็นเกย์ก็ได้”
“ยัยหนิง!” ดารัณเอื้อมมือมาตีไหล่เพื่อนดังเพี้ยะ! “อย่ามาว่าพี่ธันวาแบบนั้นนะ”
“โอ๊ย! ปกป้องจังนะ” ลักษณ์นาราหัวเราะร่วน มือเล็กๆ แบบนี้ตีไปก็ไม่เจ็บอะไรนัก “ก็มันจริงไหมละ ผู้หญิงสวยๆ อย่างแกถ้าเขาไม่สนใจก็เป็นเกย์อย่างเดียวเลย”
ดารัณพลอยหัวเราะออกมาด้วยอารมณ์หวั่นไหวเมื่อครู่จึงดีขึ้น เสียงโทรศัพท์มือถือทำให้หญิงสาวผละมือจากเพื่อนรักมารับสายหมายเลขที่คุ้นเคย
“สวัสดีค่ะคุณหญิงแม่” ดารัณรับสาย ปกติถ้าเธอไม่ไปหาที่บ้านท่านก็โทรมาหาเสมอจนเหมือนเธอเป็นคนในครอบครัวนั้นแล้ว
“วันนี้ว่างไหมลูกมิ้นต์”
“ว่างค่ะ มิ้นต์เพิ่งให้สัมภาษณ์นักข่าวเสร็จไปเมื่อครู่ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นมาทานข้าวเย็นที่บ้านแม่นะจ๊ะ”
“มีอะไรพิเศษหรือเปล่าคะ” หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ เพราะปกติเธอก็ไปบ่อยอยู่แล้ว
“ตาธันกลับบ้านนะซิ แม่เลยอยากให้มิ้นต์มาหา”
“อะไรนะคะ” คราวนี้ดารัณถึงกับทำตาโตตื่นตกใจ “คุณแม่ว่าอะไรนะคะ”
“ได้ยินชัดแล้วยังจะแกล้งถามซ้ำอีก”
“ค่ะ...ค่ะคุณแม่ มิ้นต์จะรีบไปค่ะ”
ลักษณ์นารามองสีหน้าตื่นตระหนกของเพื่อนอย่างแปลกใจ “เป็นอะไรหรือเปล่า”
“พี่ธัน...พี่ธันวากลับบ้านมาแล้วนะซิ”