บทที่4. คู่หมั้น

1088 Words
รถเก๋งคันเล็กสีแดงสวยขับเข้ามาจอดหน้าบ้าน ชายหนุ่มยืนมองด้วยไม่คุ้นกับรถ เจ้าของรถยังนั่งนิ่งหลายนาทีจนเขาแปลกใจเป็นฝ่ายเดินลงไปหาเผื่อว่าคนขับต้องการความช่วยเหลือเป็นจังหวะที่เจ้าของรถเปิดประตูออกมายืนด้านนอก สายตาของคนทั้งสองผสานกันนิ่งไปชั่วขณะ ธันวาพิจารณาโครงหน้ารูปไข่สวยของหญิงสาวเบื้องหน้า คิ้วโกงรับดวงตากลมโตแต้มสีเปลือกตาอย่างพอเหมาะ ริมฝีปากอิ่มเคลือบสีชมพูอ่อนใส  ปกติเขาไม่ชอบผู้หญิงแต่งหน้าแต่ต้องยอมรับว่าเธอแต้มแต่งสีสันได้อย่างพอดีและขับให้ใบหน้าของเธอน่ามองยิ่งนัก เธอยกมือทัดผมยาวสลวยแล้วยิ้มเขินให้เขาก่อนเดินเข้ามาใกล้จนเขาได้กลิ่นหอมละมุน เขาเผลอจ้องมองเจ้าของเรือนร่างเย้ายวนตาทั้งที่เธอสวมชุดเรียบร้อยมิดชินแต่เสื้อผ้าที่เน้นรูปร่างนั้นแต่กลับให้ความรู้สึกหายใจติดขัด  “พี่ธันวา”  เสียงหวานใสเอ่ยทักทาย แต่ชายหนุ่มขมวดคิ้วเขานึกไม่ออกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร อาการนิ่งงันไปของเขาทำให้ใบหน้าหวานเจือนลงไป   “ตื่นแล้วเหรอไอ้ธัน” อีกเสียงร้องทักก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของพี่ชายคนโตจะเดินเข้ามาใกล้พร้อมถอนเสื้อสูทออกพาดบ่า   “รีบออกจากที่ทำงานเลยนะเนี้ย กลัวนายหนีกลับไปก่อนอีก”   หญิงสาวยืนนิ่ง ริมฝีปากสวยเม้มเน้นเหมือนข่มอารมณ์ซ่อนความเจ็บปวดที่เห็นแววตาของชายตรงหน้า  เขาจำไม่ได้แม้กระทั้งหน้าตาคู่หมั้นอย่างเธอ   “น้องมิ้นต์มาพอดี” กรกฎเสียงอ่อนกับว่าที่น้องสะใภ้คนเล็ก เขาคุ้นเคยกับเธอมากกว่าน้องชายตัวเองเสียอีก แล้วก็หันมาทำเสียงดุใส่น้องชาย “ไอ้ธันก็ดูแลคู่หมั้นตัวเองหน่อยซิ”    “คู่หมั้น?” ธันวาทวนคำพูดของพี่ชายแล้วจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า    “เสียมารยาทจริงๆ ไอ้น้องคนนี้” กรกฎตบไหล่น้องชายเบาๆ แล้วเดินนำเข้าไปในบ้าน “ปล่อยเด็กๆ อยู่กับย่าไม่รู้เป็นไงบ้าง”   ดารัณอยากจะหมุนตัวกลับซ่อนความเจ็บปวดไว้ไม่ให้ใครเห็น แต่เท้าทั้งสองข้างก็เหมือนถูกหมุดตอกตรึงให้ก้าวไปไหนไม่ได้ ชายหนุ่มตรงหน้าไม่มีท่าทางดีใจเลยสักนิดผิดจากเธอที่นั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในรถนานหลายนาทีไม่อยากให้เขาเห็นกิริยาไม่งาม แต่พอได้เจอเขากลับกลายเป็นความเย็นชาจนเธอปวดใจ เขาเหมือนจะรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่จึงเดินเข้ามาใกล้จนเธอรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมสะอาด  เขาคงเพิ่งอาบน้ำเสร็จหมาดๆ เธอเผลอคิดไกลจนใบหน้าหวานแดงระเรื่ออย่างไม่รู้ตัว             “ไม่เจอกันนานนะ”             “ค่ะ” ดารัณตอบรับอย่างรวดเร็ว เธอสลัดความคิดชวนวาบไหวของตนเองออกแล้วคลี่ยิ้มอ่อนหวานให้เขา “พี่ธันก็ไม่ได้กลับบ้านมานานแล้วนะคะ”             “งานยุ่งนะครับ” เขาพูดเหมือนแก้ตัว             “พี่ธันจะออกไปไหนหรือเปล่าคะ” ดารัณถามเพราะเห็นเขายืนอยู่หน้าบ้าน             ธันวาส่ายหน้าไปมา “แค่จะเดินเล่นเสียหน่อย”             “งั้นมิ้นต์เดินเล่นด้วยคนนะคะ” ดารัณเสนอตัว แต่เมื่อเห็นดวงตาหลังแว่นตาของเขามีแววประหลาดใจก็รีบก้มหน้าลง  “มิ้นต์ขอโทษค่ะ พี่ธันคงอยากได้ความเป็นส่วนตัว”             “ไม่เป็นไร แค่เดินเล่นรอบๆ บ้านเอง” เขาพยักหน้าแล้วเดินนำไปด้านหนึ่งของบ้าน พี่ชายคนโตปรับสวนย่อมให้มีน้ำตกขนาดเล็กและบ่อปลาน่ารัก ช่วยให้บ้านร่มรื่นและยังเหมาะกับการจิบน้ำชา-กาแฟหรือนั่งอ่านหนังสือรวมทั้งเป็นที่เล่นของลูกทั้งสองด้วย             “ไม่ได้กลับบ้านแค่ไม่กี่เดือน บ้านดูเปลี่ยนไปเยอะ”  ธันวาพึมพำกับตัวเองพลางขยับแว่นสายตาชิดใบหน้า             “ใครว่าไม่กี่เดือนละค่ะ ตั้งปีกว่าแล้วนะคะ” ดารัณแย้ง             “จริงเหรอ” เขาขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจนัก             “จริงๆ ค่ะ พี่ธันกลับมาที่บ้านนี้ครั้งล่าสุดก็สิบสี่เดือนที่แล้ว” ดารัณกรอกตา “ไม่นับที่มากรุงเทพฯ แบบผลุบๆ โผล่ๆ แล้วไม่ยอมเข้าบ้านนะคะ”             ธันวาหยุดเดินแล้วหันมามองหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ อย่างประหลาดใจ “รู้ด้วยเหรอ?”             “ค่ะ แต่คุณหญิงแม่ไม่ทราบหรอก” ดารัณยิ้มนิดๆ “พี่ธันน่าจะกลับมาเยี่ยมท่านบ่อยๆ นะคะ  ระยะหลังมานี่ท่านไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่”             “คุณแม่เป็นอะไร”  เขาถามเริ่มกังวลบ้าง ตัวเองเป็นหมอแท้ๆ แต่กลับไม่ได้ดูแลแม่ตัวเอง             “ท่านเหนื่อยง่ายและอ่อนเพลีย งานเลี้ยงอะไรท่านก็ไม่ได้ไปเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะคะ”             “ไม่มีใครพาท่านไปตรวจร่างกายบ้างเลยหรือไง” เขาขมวดคิ้ว             “ก็ท่านไม่ยอมไปนี่คะ พี่ธันกลับมารอบนี้ก็สละเวลาดูแลท่านสักนิดเถอะค่ะ”             คำพูดของคู่หมั้นที่ธันวาแทบจำหน้าไม่ได้ทำให้เขาสะอึก      ใบหน้าสวยเชิดขึ้นมองเขาอย่างไม่หลบสายตาเป็นใบหน้าของหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ เขาจำได้ถึงเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่แม่ของเขารักนักรักหนาเพราะความที่แม่อยากได้ลูกสาวมาแต่ไหนแต่ไร พอวันที่คุณแพรว-เพื่อนรักสมัยเรียนโรงเรียนประจำพาเด็กหญิงตัวน้อยมาหา  แม่เขาแทบจะจะขอเป็นลูกสาวในทันที แต่เพราะดารัณเข้ามาทำให้เขาหลุดรอดสายตาของแม่ เขาได้ทำอะไรที่ตัวเองอยากทำง่ายขึ้น แม่ของเขารักดารัณมากแต่เขาก็ไม่คิดว่าจะถึงขนาดหมั้นหมายให้ หากนั้นไม่ใช่เพราะคำขอร้องสุดท้ายของคนใกล้ตาย เขาคงไม่รับปากรับหมั้นกับดารัณแน่ๆ ยุคนี้สมัยนี้แล้วยังจะมีคลุมถุงชนอีกหรือ?  แต่ตอนนั้นเขาปฏิเสธไม่ได้ทำให้ต้องรับหมั้น เขาคิดว่าไม่นานเด็กสาวคนนั้นก็คงเติบโตและเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น เธอก็คงมีหนทางของตัวเอง มีคนรักของตัวเองแล้วถึงตอนนั้นเธอคงเป็นฝ่ายขอถอนหมั้นจากเขาเอง ไม่คิดว่าเธอจะยังคงสวมแหวนวงนั้นมานานหลายปีอย่างนี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD