ตอนที่ 3 ดื่มสุราใต้แสงจันทร์ (1)
เซียวม่านหลิวกำชายอาภรณ์ของเว่ยฉือหลี่หมิงแน่น ดวงตาที่โผล่ออกมาเพียงข้างเดียวจับจ้องไปยังรูปปั้นหินที่สั่นกุกกักอย่างหวาดระแวง ทว่านางกลับหารู้ไม่ว่าสิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือบุรุษที่นางคิดจะพึ่งพิงเขาต่างหากเล่า
“พวกเขาไม่ทำอะไรเจ้าหรอก” เขาพูดขึ้น ขณะเดียวกันสายตาก็มองภาพการลอกคราบของรูปปั้นหินราวกับเป็นเรื่องที่พบเห็นจนคุ้นชิน
ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป ในที่สุดรูปปั้นเหล่านั้นก็กะเทาะตัวเองอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นมนุษย์กลุ่มใหญ่ที่มองชายหนุ่มอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มด้วยสายตาเทิดทูนอย่างหาที่สุดมิได้
“ไท่จื่อ”
“ไท่จื่อ! พระองค์ทรงฟื้นแล้ว”
ใครคนหนึ่งวิ่งเข้ามารั้งชายอาภรณ์ของเว่ยฉือหลี่หมิงแล้วร่ำไห้ เซียวม่านหลิวเยี่ยมหน้าออกไปมองก็พลันเห็นว่าเป็นสตรีรูปโฉมงดงามนางหนึ่ง ทั้งยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่บ่งบอกว่าศักดิ์ฐานะของนางมิได้ด้อยไปกว่าผู้ใดนัก ทว่าเหนือสิ่งอื่นใดนางกลับมีทุกสิ่งที่สตรีสมควรจะมี
เอวเล็กคอดกิ่วราวกิ่งหลิวลู่ลม เพียงแค่เซียวม่านหลิวใช้ปลายนิ้วดีดก็เกรงว่าจะหักได้ง่ายๆ องคาพยพทั้งห้างดงามราวกับภาพวาด โดยเฉพาะเนินเนื้ออันสมบูรณ์พร้อม ราวกับว่าเป็นสิ่งอันประเสริฐที่สาวงามสมควรจะมีกลับโดดเด่นเข้านัยน์ตาของเซียวม่านหลิวอย่างจัง คิ้วเรียวงามของสตรีนางนี้ตวัดเฉียง บ่งบอกถึงความแสนงอนน่าเอ็นดู ช่างเป็นสตรีที่น่าทะนุถนอมโดยแท้
ทว่าเว่ยฉือหลี่หมิงกลับดึงชายอาภรณ์หนี ปล่อยให้สตรีนางนั้นล้มคะมำกับพื้นหิน ทันใดนั้นก็มีคนคล้ายนางกำนัลวิ่งถลาเข้ามาประคอง พร้อมทั้งเรียกนางด้วยน้ำเสียงเล็กแหลม
“พระชายา! พระชายาเพคะ!”
สตรีที่ถูกเรียกว่าเป็นพระชายามองเว่ยฉือหลี่หมิงด้วยสายตาตัดพ้อ ทั้งยังเต็มไปด้วยความรู้สึกปวดร้าวลึก จนทำให้เซียวม่านหลิวถึงขั้นอดสะท้อนใจไปกับนางไม่ได้
เว่ยฉือหลี่หมิงแค่นเสียงในลำคอราวกับเยาะหยัน พลันกล่าววาจาร้ายกาจออกมาจนแม้แต่นางเองก็มิอาจทนฟังได้ “ใครก็ได้พานางหญิงแพศยานางนี้ออกไปจากที่นี่ อย่าให้นางโผล่ศีรษะอัปลักษณ์มาให้ข้าเห็นอีก หญิงทรยศนางนี้ไม่สมควรแม้แต่จะหลุดลอดเข้ามาในครรลองสายตาของข้า มันผู้ใดบังอาจสร้างโอกาสให้นางเข้ามา ข้าจะตัดหัวมันให้สิ้น!”
สิ้นคำประกาศกร้าว หญิงสาวนางนั้นก็กรีดร้องเสียงแหลม พลันถูกทหารองครักษ์หิ้วปีกออกไปยังประตูเบื้องหน้าอย่างรู้งาน
“ไท่จื่อ…ไท่จื่อเพคะ! หลี่หมิง! ท่านทำแบบนี้กับข้าไม่ได้นะ!” สตรีนางนั้นอ้อนวอน ทว่ากลับไม่ได้รับความเห็นใจจากบุรุษใจหินผู้นี้แม้แต่น้อย ครั้นถูกพาไปยังประตูบานใหญ่ องครักษ์ทั้งสองก็หันมามองเว่ยฉือหลี่หมิงด้วยสายตากระอักกระอ่วน
“ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ คือว่า…”
“มีอะไร!”
“ทางออกคือทางไหนพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นเสียงขององครักษ์นายหนึ่ง เซียวม่านหลิวก็หลุดหัวเราะคิกในลำคอ พลันรู้สึกเย็นที่สันหลังวาบ ไท่จื่อของพวกเขากำลังมองมาที่นางด้วยสายตาเย็นเยียบ
เซียวม่านหลิวตีอกชกหัวในใจ แม้แต่จะหัวเราะยังต้องเกรงใจคนผู้นี้อีก!
ไม่รู้ว่ากลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นของเขาติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด หรือเพิ่งมาเป็นเอาตอนที่ตายแล้วฟื้นกันแน่
“ให้นางอยู่ข้างนอกไปก่อน ไกลจากสายตาข้าเท่าไรก็ยิ่งดี!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากส่งสตรีนางนั้นออกไปด้านนอก เว่ยฉือหลี่หมิงก็หันไปสั่งการข้าทาสบริวารที่ยืนรออย่างเงียบงันที่อยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
“เป็นอย่างที่อาจารย์ทำนายไว้ไม่มีผิด ต้องขอบใจพวกเจ้าที่ยินยอมถูกสาปอยู่ในนี้ร่วมกับข้ามาจนบัดนี้” เขาชะงัก หันมาถามเซียวม่านหลิว “ปีนี้ปีอะไร”
เซียวม่านหลิวสะดุ้งน้อยๆ กระนั้นก็ตั้งใจคำนวณวันเวลาอย่างตั้งใจ พลันถอนหายใจเฮือกใหญ่
“หากนับตั้งแต่ปีที่เสวียนจิ้งที่สิบแปด มาจนถึงบัดนี้ ก็เกือบร้อยปีแล้ว”
พลันได้ยินเสียงฮือฮาของกลุ่มคนที่เพิ่งมีชีวิตเบื้องหน้า เว่ยฉือหลี่หมิงยกมือขึ้นห้าม แล้วพูดต่อว่า “เกือบร้อยปีมานี้ หากไม่ใช่เพราะความจงรักภักดีของพวกเจ้า ข้าอาจไม่มีโอกาสตื่นขึ้นมาเพื่อสะสางเรื่องราวแต่เก่าก่อนอย่างแน่นอน”
“เอ่อ…ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ แล้วนางที่อยู่ตรงนั้น”
เว่ยฉือหลี่หมิงหิ้วคอเสื้อเซียวม่านหลิวขึ้นมา พลันยิ้มเย็นแล้วโอบไหล่นางกล่าวว่า “นางหรือ…ชายาข้าอย่างไรเล่า”
“อะไรนะ!”
เซียวม่านหลิวตะโกนเสียงดัง นางตัวแข็งทื่อ ไม่กล้ากระดุกกระดิกแม้แต่น้อย ทันใดนั้นตรงหน้าประตูก็มีเสียงร่ำไห้ปวดร้าวปิ่มจะขาดใจของสตรีที่น่าสงสารนางนั้น
“ท่านมีชายาอยู่แล้ว เกี่ยวอะไรกับข้าเล่า!”
เว่ยฉือหลี่หมิงกระตุกยิ้มร้ายกาจ เชยคางนางขึ้นมาแล้วระบายลมหายใจพลางกล่าวเสียงเย็น “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าใจอะไรผิดไป สตรีนางนั้นเป็นเพียงคนทรยศที่ข้ายังไม่ได้เข้าหอกับนางด้วยซ้ำ” นัยน์ตามืดสนิททอประกายระยับคล้ายท้องฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ตรึงร่างของเซียวม่านหลิวจนนางไม่อาจเขยื้อนกายได้แม้แต่น้อย “หึ…ดูเหมือนว่าข้าจะคืนพลังให้เจ้ามากไปกระมัง”
ใบหน้าของเขาเคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เซียวม่านหลิวพยายามตะเกียกตะกายออกจากอ้อมแขนแข็งแกร่งของเขา ทว่าคล้ายกับว่าตนเองกำลังพยายามดิ้นรนจากกรงเหล็กกล้า วิทยายุทธ์ที่ฝึกฝนมา กลับใช้การไม่ได้เลยแม้แต่น้อย คางของนางโดนบีบจนเจ็บแปลบ ทันใดนั้นริมฝีปากของนางก็ถูกเขาล่วงล้ำ
ครานี้มิใช่การประทับจุมพิตธรรมดา ทว่ากลิ่นหอมประหลาดที่ไหลวนตรงปลายจมูกกำลังมอมเมาตัวนางไม่ให้พยศขัดขืน กลีบปากที่ถูกขบเม้มและรสชาติหวานล้ำในโพรงปากกำลังตอกย้ำว่าในตอนนี้
สวรรค์!
นางถูกศพมีชีวิตจุมพิต!
เป็นกรรมตั้งแต่ชาติไหนถึงส่งมาให้เซียวม่านหลิวต้องถูกศพจุมพิตถึงสองครั้ง อีกทั้งครั้งที่สองกลับถูกสูบเอาเรี่ยวแรงเหือดหาย สุดท้ายก็ถูกเขาช้อนตัวขึ้นอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
เว่ยฉือหลี่หมิงยิ้มเย็นมองเซียวม่านหลิว แววตาที่นางมองเห็นกลับดูคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
“อาจารย์บอกข้าว่าสตรีที่จะช่วยพวกเราออกจากที่นี่ได้ก็คือสตรีที่ถูกสวรรค์ลิขิต ครั้งก่อนเพราะถูกนางแพศยานั่นหลอกลวงจนต้องหลับใหล ครั้งนี้เพราะเลือดของเจ้าจึงปลุกให้ข้าตื่นอีกครั้ง หึๆ ครั้งนี้ข้าจะไม่พลาดอีกต่อไปแล้ว”
เซียวม่านหลิวกลืนน้ำลาย นางหวาดกลัวจนอยากร้องไห้ คิดไม่ถึงว่าหนีจากเว่ยฉืออวี่หยางจะมาพบปะกับบรรพบุรุษของเขา ทั้งยังถูกเอาเปรียบถึงสามครั้ง โลกนี้ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด เหตุใดจึงทำให้นางต้องมาพบเจอกับบุรุษตระกูลนี้ด้วยเล่า!
“ข้าไม่ใช่ชายาของท่าน ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงบังเอิญผ่านมา ประเดี๋ยวข้าก็ต้องรีบกลับบ้านไปแต่งงานแล้ว ว่าที่สามีของข้ากำลังรออยู่” หัวของนางหมุนติ้ว คิดหาคำโกหกพกลมขึ้นมาปั้นเป็นตัว
ทว่าอ้อมแขนของเว่ยฉือหลี่หมิงกลับกระชับแน่นขึ้น “พวกเจ้าใครสักคนค้นหาชุดงามๆ มาสักชุด” เขาหลับตานิ่ง คล้ายกำลังสำรวจตรวจตราอะไรบางอย่าง “คืนนี้ขึ้นสิบห้าค่ำพอดีหรือ หึๆ เช่นนั้นก็แต่งงานกันคืนนี้เลย”
“ไม่นะ! ข้ามีคู่หมั้นแล้ว!” เรื่องอะไรนางจะยอมถูกมัดติดกับศพเดินได้ผู้นี้
“หืม…คนที่เจ้าหนีการหมั้นหมายมาจนต้องมาพบกับข้านะหรือ”
เซียวม่านหลิวตัวแข็งทื่อ นางสบตาเขาอย่างฉงน
“ทะ…ท่าน”
“ข้าลืมบอกไปหรือไม่ ว่าข้ามีอำนาจอ่านใจคนมาตั้งแต่กำเนิด หึๆ”
เซียวม่านหลิวอยากจะร่ำไห้ ทว่าร่ำไห้ไม่ออก ร่างของนางถูกอุ้มไปวางในโลงศพของเขา ร่างกายไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืน ได้แต่นอนเป็นผักให้เขามองลงมาด้วยสายตาเหนือกว่า
“เจ้าก็ยังอยากแต่งงานมีบุตรสืบสกุลอยู่มิใช่รึ ข้าไม่เหมาะสมตรงไหน”
เซียวม่านหลิวหลับตา ทำเป็นละเลยเสียงพูดของเขา ทว่าเว่ยฉือหลี่หมิงกลับหัวเราะในลำคออย่างชั่วร้าย “หึ…เพียงเพราะข้าฟื้นจากความตายรึ?”
ถูกต้อง
นางตอบในใจ อยากรู้ว่าเขาจะรู้หรือไม่ว่านางคิดอะไรอยู่
ทันใดนั้นน้ำเสียงของเขาก็อ่อนลงเล็กน้อย “อย่าห่วงไปเลย ร่างกายของข้าแม้จะเป็นสภาพคล้ายคนตายมาครั้งหนึ่ง ทว่าในยามนี้ ข้ายังสามารถให้กำเนิดทายาทได้เช่นคนปกติ”
เซียวม่านหลิวร้อนวาบที่ใบหน้า ไม่เข้าใจว่าคนผู้นี้แท้จริงนิสัยเป็นอย่างไรกันแน่ เดี๋ยวก็เย็นชา เดี๋ยวก็ห่างเหิน เดี๋ยวก็น่าหวาดกลัว เดี๋ยวก็กวนประสาท อยู่กับเขาเพียงไม่ทันข้ามวันก็ต้องปวดหัวตุบๆ แล้ว
ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดใบหน้าของนางแผ่วเบา ริมฝีปากถูกอะไรบางอย่างปัดผ่านราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำ ทว่ากลับสะเทือนจิตใจของนางยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
ผีเสื้อนับร้อยตัวกระพือปีกเต็มช่องท้อง นางไม่รู้จะจัดการอารมณ์นี้อย่างไรดี
พลันได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาข้างหู “ไม่ต้องกลัว…ข้าไม่แตะต้องสตรีที่ข้าไม่ได้รักอย่างแน่นอน”
ประตูหน้าเป็นเสือเข้าสู้ ประตูหลังเป็นหมาป่าเข้าราวี
นางทำเวรทำกรรมอะไรไว้ เซียวม่านหลิวถอนหายใจเป็นครั้งที่เก้าสิบเก้า ขณะที่กำลังถูกนางกำนัลที่มีชีวิตเฉกเช่นคนจริงๆ จับมาแต่งตัวเสียใหญ่โต น่าประหลาดใจไม่น้อยที่แผลเป็นที่มือของนางกลับหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอำนาจวิเศษอันใดจึงอัศจรรย์เช่นนี้ แต่ในยามนี้...อะไรก็ไม่น่าประหลาดใจสำหรับนางอีกต่อไปแล้ว
ตั้งแต่ศพในโลงหินคืนชีพ รูปปั้นหินกะเทาะตัวเองจนมีชีวิต บาดแผลที่มือของนางไยจะต้องสืบหาสาเหตุด้วยเล่า!
เว่ยฉือหลี่หมิงแม้จะล่วงเกินนางอยู่สามสี่ครั้ง ทว่าหลังจากที่เขาประกาศต่อหน้าผู้อื่นว่าคืนนี้จะแต่งนางเป็นชายา เซียวม่านหลิวก็ไม่ได้พบหน้าเขาอีกเลย คนสองคนคล้ายคนคุ้นเคยที่แปลกหน้า ความรู้สึกนี้ทำให้นางปฏิเสธเขาได้ไม่เต็มปาก กระนั้นแล้วนางก็รักอิสระยิ่งกว่าสิ่งใด จึงตัดสินใจว่ายามนี้ต้องโอนอ่อนผ่อนตามเขาไปก่อน รอให้ออกจากสุสานแห่งนี้ได้ นางจะต้องหาทางสลัดผีดิบตนนี้แล้วทาน้ำมันที่เท้ากลับเฉินตูในทันที
แต่จะว่าเป็นผีดิบก็ไม่น่าจะใช่
ร่างกายของเว่ยฉือหลี่หมิงคล้ายคนถูกแช่แข็งจนไร้ชีวิต แต่พอฟื้นขึ้นมาร่างกายก็อบอุ่นคล้ายคนปกติ ทว่ามีเพียงกิริยาท่าทางน่าหวาดหวั่นของเขาเท่านั้นที่น่าหวาดกลัวพอๆ กับภูตผีปีศาจในตำนาน แม้หน้าตาจะถือได้ว่าสามารถเขี่ยเว่ยฉืออวี่หยางให้หลุดจากตำแหน่งอันดับหนึ่งชายงามได้ แต่ก็น่ากลัวกว่าคนผู้นั้นมากนัก
“อยู่กับข้ายังคิดถึงชายอื่น ตกลงแล้วเจ้าหนีเขามาเพราะไม่อยากหมั้นหมาย หรือเพราะเล่นตัวกันแน่!” จู่ๆ เขาก็โผล่มาในครรลองสายตา ทำเอาเซียวม่านหลิวตั้งตัวแทบไม่ติด
เซียวม่านหลิวถลึงตาดุร้าย นางกัดฟันแล้วด่าเขาในใจด้วยความคิดอันเผ็ดร้อน
ตาแก่เช่นท่านจะไปรู้อะไร อายุของท่านก็ร้อยปีนิดๆ แล้ว เรื่องราวหนุ่มสาวสมัยนี้ท่านไม่เข้าใจหรอก หึ!
มีเพียงทางเดียวที่นางจะด่าเขาได้ก็ในใจนี่แหละ มิเช่นนั้นแล้วบริวารของเขาต้องโร่มาบีบคอนางตายอย่างแน่นอน
ทว่าเว่ยฉือหลี่หมิงกลับทำเพียงเลิกคิ้ว กล่าวว่า “ทาหน้าของนางให้ขาวกว่านี้ คิดถึงพระจันทร์เต็มดวงเข้าไว้ ข้าชอบสตรีในยุคก่อนมาก ยิ่งหน้าขาวปากแดง สีตัดกันเท่าไรก็ยิ่งงามล้ำ หึหึ”
“เพคะไท่จื่อ” นางกำนัลต่างก็ขานรับ เริ่มลงแป้งหนักบนใบหน้าของเซียวม่านหลิวราวกับเป็นขนมไหว้พระจันทร์อย่างไรอย่างนั้น
เซียวม่านหลิวกัดฟันกรอด นี่เขาจะให้นางกลายเป็นผีแม่ม่ายหรืออย่างไร!
จบตอน(๑)
---------------