ตอนที่ 5 ขุนนางชั่ว(1)

2411 Words
ตอนที่ 5 ขุนนางชั่ว(1)         ขึ้นสิบห้าค่ำ จันทราไร้รอยแหว่งเว้า สาดแสงเงินยวงสลัวรางกลางป่าเขา เซียวม่านหลิวเร่งฝีเท้าออกจากสุสานราชวงศ์อย่างเต็มกำลัง นางถลกอาภรณ์ขึ้นสูง วิชาตัวเบาก้นหีบที่คิดว่าเป็นสุดยอดวิชาถูกงัดมาใช้โดยไม่กลัวหมดแรงแม้แต่น้อย สิ่งที่น่ากลัวกว่าการหมดแรงก็คือกองทัพผีดิบของเว่ยฉือหลี่หมิงต่างหากเล่า ลมร้อนพัดโชย ผมเผ้าหลุดลุ่ย ทว่าเดินทางไปได้ราวห้าลี้[1]ก็เหนื่อยหอบแล้ว นึกเจ็บใจที่ตลอดหนึ่งปีมานี้ต้องแสร้งทำเป็นเรียบร้อยสงวนเนื้อสงวนตัวในห้องหอ แทบไม่ได้ออกไปกระโดดโลดเต้นภายนอกเท่าใดนัก จนส่งผลให้ตอนนี้ร่างกายของนางไม่กระฉับกระเฉงดังเคย นางรั้งฝีเท้าใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่ ลำคอแห้งผากจนเป็นผง บัดนี้ไม่มีเวลาคิดหวาดกลัวภูตผีปีศาจแม้แต่น้อย ตั้งแต่ตกลงไปในสุสานบัดซบนั่น ก็มีแต่เลือดเพียงหยดเดียวของเว่ยฉือหลี่หมิงเท่านั้นที่เป็นของเหลวเพียงหนึ่งเดียวที่นางได้สัมผัส ครานี้นางก็นึกอยากจะตีอกชกหัวตัวเอง คิดหนีออกมาเช่นนี้ เห็นทีว่าตนเองจะขาดใจตายเสียก่อนนะสิ สุสานของราชวงศ์ตั้งอยู่ห่างไกลผู้คน กว่าจะมีคนมาพบเจอนางก็คงไม่แคล้วกลายเป็นผีเฝ้าป่าเป็นแน่ เซียวม่านหลิวคลำตามเนื้อตัวเผื่อจะเจออะไรที่บ่งบอกฐานะของตนเองได้หลังจากตายไป ทว่าทั้งเนื้อทั้งตัวนางคือของที่มาจากสุสานของเว่ยฉือหลี่หมิง อาภรณ์ ของใช้ ป้ายประจำตัว ล้วนแต่ถูกทิ้งอยู่ที่สุสานนั่นจนหมด สวรรค์! หากนางไม่โดนรูดทรัพย์ไปเสียก่อน ดีไม่ดีอาจถูกทางการจับขังคุกข้อหาปล้นสุสาน เป็นที่อับอายของวงศ์ตระกูล อีกทั้งยังสามารถลากวงศ์ตระกูลฝ่ายบิดามารดาติดร่างแหประหารเจ็ดชั่วโคตรอีกด้วย ใครใช้ให้ของในสุสานนั้นเป็นของเก่าเล่า เอาไปขายที่ใดก็หาแต่เรื่องให้คนมาบั่นคอตนเองทั้งนั้น เซียวม่านหลิวอยากจะร่ำไห้ นางทึ้งผมบนศีรษะจนยุ่งเหยิง ปิ่นประดับมุกประดับบนศีรษะบัดนี้คล้ายเป็นสิ่งของไร้ค่าไร้ราคา ฮือๆ ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าของในสุสานราชวงศ์จะสลักชื่อของเจ้าของเอาไว้ทุกชิ้น มิน่าเล่าไท่จื่อร้ายกาจนั่นถึงไม่คิดตามมา นางคิด...ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ครั้นหงุดหงิดก็ยิ่งคอแห้ง ภูมิประเทศของเส้นทางใกล้เคียงนี้ไม่มีแหล่งน้ำธรรมชาติ หากกระหายจริงๆ ต้องปีนเขาสูงเพื่อเสาะหา อย่าว่าแต่ปีนเขาสูงเลย เพียงแค่วิ่งไปยังหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุด ยังต้องไปไกลเกือบยี่สิบลี้ เอ๊ะ… จู่ๆ เซียวม่านหลิวก็นึกอะไรขึ้นได้ นางมองไปยังทิศตะวันตก ทันใดนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “บิดามันเถิด มัวแต่คิดหนีจนลืมไปว่าโจรพวกนั้นมีรถม้าและเสบียงอาหาร ข้านี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ หากกลับไปก็เท่ากับส่งตัวเองเข้าปากเสือน่ะสิ” เซียวม่านหลิวเริ่มรู้สึกห่อเหี่ยว เรี่ยวแรงทั้งหมดพลันหดหายทีละน้อย ในที่สุดก็หมดสติใต้เงามืดของต้นไม้ใหญ่ หากมีคนเดินทางผ่านมา คงคิดว่านางคือผีแม่ม่ายที่ตายใต้ต้นไม้จริงๆ เป็นแน่ จะมีสตรีดีๆ ที่ไหนหน้าขาวปากแดง สวมชุดแดง ผมเผ้ารุงรังนอนสลบใต้ต้นไม้เล่า   เดือนห้าอากาศร้อนอบอ้าว ดวงอาทิตย์แผ่รังสีความร้อนยามเช้าอย่างไม่เกรงอกเกรงใจผู้คน กระทั่งนอนอยู่ในบ้านแท้ๆ ก็ยังไม่อาจทนความร้อนได้ ร่างหนึ่งบนเตียงกำลังดิ้นไปมาเพื่อควานหาความเย็น มือไม้ปัดป่ายไปทั่ว โดยที่ดวงตายังคงหลับพริ้มจนเห็นแพขนตายาวหนาของสตรี ใบหน้ายามหลับใหลของนางคล้ายไร้พิษสงอย่างยิ่ง ทว่าอาภรณ์บนร่างกลับเหลือเพียงเอี๊ยมตัวเล็กและกางเกงชั้นในเท่านั้น ใบหน้าของนางกำลังถูไถบนวัตถุเย็นเยียบอย่างหนึ่ง แขนขาก่ายกอดวัตถุนั้นราวกับเป็นหมอนข้างอันล้ำค่าของตน นางปีนขึ้นวัตถุนั้น ซุกไปหน้าที่ชื้นเหงื่อน้อยๆ เพื่อคลายร้อน เนินเนื้อนุ่มนิ่มบดเบียดอย่างไม่ใคร่สนใจอะไรนัก ทว่าวัตถุที่นางกอดก่ายกลับนับหนึ่งถึงร้อยในใจ ดวงตาที่ปกติดำสนิทราวม่านราตรีกำลังทอประกายแดงเรื่อ เขาพยายามไม่มองเนินเนื้อขาวผ่องที่เกยก่ายหน้าอกของตน พลันผลักไสร่างเล็กๆ นั้นให้ขยับไปอีกมุมหนึ่งของเตียง ทว่าครั้งนี้ผลักแรงเกินไป ศีรษะเล็กๆ นั้นพลันโขกกับผนังอีกฝั่งเสียงดัง “โอ๊ย!” เจ้าของร่างนั้นครางด้วยความเจ็บปวด ทว่าแทนที่ชายหนุ่มจะถลันเข้าไปช่วยเหลือ เขากลับลุกขึ้นไปยังหลังฉากกั้นที่อยู่ไม่ไกล หมายจะแช่น้ำในตอนเช้าเพื่อคลายร้อน ส่วนเจ้าของศีรษะที่หน้าผากปูดเป่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละน้อย นางสะบัดศีรษะเพื่อขับไล่ความมึนงง ก่อนจะคว้าหมอนใบหนึ่งแล้วทิ้งตัวลงนอนราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าชั่วลมหายใจเดียวนางก็กระเด้งตัวขึ้นอีกครั้ง ดวงตากลมโตไร้วี่แววของความง่วงงุน พลันทบทวนความจำ ข้านั่งพิงต้นไม้ในป่า…แล้วที่นี่ที่ไหน นางก้มมองสภาพร่างกายของตนเอง พลันเกิดอาการชาวาบไปทั้งกาย เอี๊ยม…กับกางเกงชั้นใน ทั้งเนื้อตัวเหลือเพียงอาภรณ์แค่สองชิ้น เซียวม่านหลิวกลืนน้ำลาย ทว่าร่างกายของนางนอกจากอาการเมื่อยขบแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ ดวงตากลมโตพลันกวาดมองสำรวจในห้องที่นางนอนอยู่ พบว่าเป็นห้องนอนขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งอย่างมีรสนิยมยิ่ง ทว่าเครื่องใช้แต่ละอย่างกลับโบราณคร่ำครึอย่างมาก หรือว่าเศรษฐีเฒ่าเก็บข้ามาจากข้างทาง จากนั้นก็ย่ำยีจนพอใจ หรือตอนนี้ข้ากลายเป็นเมียเศรษฐีเฒ่าไปแล้ว คิดได้เช่นนั้นเซียวม่านหลิวพลันอยากร่ำไห้ นางรีบคว้าผ้าห่มมาคลุมกาย อยากจะกรีดร้องให้ลั่นห้อง แต่นางกลัวว่าหากกรีดร้องขึ้นมาแล้วอาจจะถูกภรรยาหลวงของเศรษฐีเฒ่าบุกเข้ามาจับนางเฆี่ยนตีจนตาย จากนั้นก็โยนลงสระให้เป็นอาหารปลา เซียวม่านหลิวขนลุกซู่ รีบลบความคิดเลื่อนเปื้อนออกจากหัว ไม่หรอก ต้องมีคนดีๆ มาช่วยข้าสิ ความคิดด้านดีของนางปลอบใจตัวเอง เซียวม่านหลิวฝืนยิ้ม อย่าหลอกตัวเองเลย อยู่ในสภาพเกือบเปลือยเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจถูกเศรษฐีเฒ่าย่ำยีไปแล้ว ทำใจยอมรับเสียเถอะว่าเรามิได้โชคดีถึงขั้นพบเจอผู้มีคุณธรรมสูงส่ง ทันใดนั้นนางก็พลันห่อเหี่ยวราวกับผักตากแห้ง ความคิดดีร้ายตบตีกันในหัวของนางจนวุ่นวาย พลันถูกเสียงประหลาดปลุกให้ตื่นจากภวังค์ เสียงคล้ายน้ำกระฉอกดังขึ้นหลังฉากกั้น เซียวม่านหลิวขบริมฝีปากแน่น ใจพลันเต้นระทึก ความคิดในแง่ร้ายกำลังกรอกหูนางว่าหลังฉากกั้นก็คือเศรษฐีเฒ่าร่างกายอ้วนแผละมากตัณหาราคะ ครั้นจินตนาการไปไกลนางก็คอตก จมูกแสบร้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น “ฮึก…รู้เช่นนี้หลับหูหลับตารับปากแต่งงานกับพี่อวี่หยางให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยก็สบายไปทั้งชาติแล้ว ฮึก…” “เพ้อเจ้ออะไรแต่เช้าหืม?” นางสะดุ้งน้อยๆ หันขวับไปยังฉากกั้น พลันพบว่าเศรษฐีแก่ตัวอ้วนฉุกลับมีผิวขาวซีด ร่างกายเปลือยเปล่าท่อนบนซึ่งมีหยดน้ำเกาะพราวกลับเต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างที่ยากจะเชื่อ ครั้นพินิจใบหน้าของเศรษฐีเฒ่าให้ชัด ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงคุ้นเคยยิ่งนัก แต่กลับนึกไม่ออกว่าพบเจอเขาที่ไหน หน้าตาพอฟัดพอเหวี่ยงกับพี่อวี่หยาง หากจะเสียตัวให้กับคนผู้นี่ข้าจะถือว่าตัวเองได้กำไรกว่าพี่สาวในหอนางโลมก็แล้วกัน ความคิดชั่วร้ายในใจของนางดังขึ้น เอ๊ะ! เป็นสตรีเสียเนื้อเสียตัวให้ชายแปลกหน้า จะเหลือคุณความดีอะไร ความคิดฝ่ายดีของนางสวนกลับ กุลสตรีกินได้ที่ไหน อีกอย่างเราเป็นหญิงสาวในยุทธภพ เรื่องหยุมหยิมเพียงเท่านี้นับเป็นอะไรได้ คิดมากรังแต่จะทำให้จิตใจย่ำแย่ เรื่องยังไม่เกิดเรายังหาทางป้องกันได้ ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แก้ไขได้ที่ไหน ความคิดชั่วร้ายกลับมีเหตุผลมากกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วแก้ไขได้ที่ไหน นางรวบรวมความกล้าถามออกไป “คะ…คุณชาย ข้ากับท่านได้เสียกันหรือยัง?” คำถามขวานผ่าซากของนางกลับทำให้คุณชายท่านนั้นใบหูแดงเถือก ยืนแข็งทื่อราวกับรูปปั้นหินอยู่ตรงฉากกั้น หรือว่าข้าข่มขืนเขา? เซียวม่านหลิวตัวแข็งทื่อ นางสลัดความอายทิ้งแล้วบอกกับเขาว่า “คุณชาย…ถือเสียว่าเรื่องนี้แค่ฝันไป เอ่อ…ข้าขอเวลาสักครึ่งชั่วยาม แต่งกายเสร็จแล้วจะรีบออกไปในทันที” ชายหนุ่มเจ้าของเรือนร่างพร่างพราวไปด้วยหยดน้ำกลับย่างสามขุมเข้าหานางด้วยสีหน้าเรียบนิ่งจนคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก เซียวม่านหลิวกระถดถอยหลัง แสงสว่างที่สาดมาจากเบื้องหลังของเขาทำให้รู้สึกราวกับว่าใบหน้าของเขาดำทะมึน นางกลืนน้ำลาย ขยุ้มผ้าห่มที่คลุมกายเพื่อป้องกันการถูกคุกคาม หรือชายคนนี้เป็นโรคจิตมากตัณหา หรือเขากำลังจะข่มขืนข้า! “เลิกทำหน้าตาประหลาดๆ ได้แล้ว รีบไปทำธุระของเจ้าให้เสร็จ ข้าจะไปส่งเจ้าที่บ้าน” เขาหยุดฝีเท้าหน้าเตียง พลันเบี่ยงกายไปยังตู้หลังหนึ่ง เลื่อนประตูตู้แล้วหยิบอาภรณ์ออกมาชุดหนึ่ง เช็ดเนื้อตัวแล้วทำการเปลี่ยนมันโดยไม่สนใจนางแม้แต่น้อย เซียวม่านหลิวอ้าปากค้าง รีบเอามือปิดบังใบหน้าของตนพลันถามเขาเสียงสั่น “เราสองคนยังไม่ได้เสียกันใช่หรือไม่” พลันได้ยินเขาแค่นเสียงในลำคอ “ได้ไม่ได้ต่างกันตรงไหน ในเมื่อเจ้าตื่นแล้ว วันนี้ข้าจะพาเจ้ากลับบ้านไปสู่ขออย่างเป็นทางการ” ได้ยินเช่นนั้นนางก็ลุแก่โทสะขึ้นมา “สู่ขออะไร สู่ขอบ้านท่านสิ ได้เสียแล้วก็แล้วไป ข้าไม่แต่งอย่างแน่นอน! ปีนี้มันเป็นปีบัดซบอะไรกัน มีแต่คนจะแต่งงานกับข้าเนี่ย!” นางสบถหัวเสีย ยามนี้ไม่คิดสำรวมกิริยาอะไรอีกต่อไปแล้ว ลุกขึ้นเอาผ้าห่มมัดเอวแล้วชี้ไปที่ชายหนุ่มคนนั้นพลันด่าบรรพบุรุษของเขา “ชาตินี้ข้าจะไม่คิดแต่งงานแล้ว หลังจากนี้จะขึ้นเขาไปบวชชี ส่วนความบริสุทธิ์ของท่าน ให้หญิงอื่นรับผิดชอบไปเถอะ!” นางไม่เชื่อว่าเขาจะไม่เคยเสียความบริสุทธิ์มาก่อน นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป การแต่งงานของนางนับเป็นเรื่องหายนะโดยแท้ อารมณ์ชั่ววูบทำให้นางด่าแว้ดๆ ราวกับแม่เล้าในหอนางโลม ด่าทอยาวไปถึงบรรพบุรุษของเขาสิบแปดชั่วโคตร “เซียวม่านหลิว…ด่าทอบรรพบุรุษข้ามีโทษประหารชีวิต” เพียงได้ยินคำว่าโทษประหารชีวิตปากนางก็หุบฉับ แม้จะไม่เชื่อเต็มหูแต่ก็แข้งขาอ่อนระทวยไปแล้ว “ทะ…ท่านว่าอะไรนะ ประหารชีวิต” เขาที่แต่งตัวเสร็จแล้วกระตุกยิ้มชั่วร้าย “ใช่…ประหารชีวิต” นางกลืนน้ำลาย “ทะ…ท่าน รู้จักข้าด้วยหรือ” นางชี้ตัวเอง ทันใดนั้นเสียงหัวเราะอันคุ้นหูก็ดังขึ้น เขาเคลื่อนไหวพริบตา รอยยิ้มอันสั่นประสาทพลันปรากฏเบื้องหน้า “เซียวม่านหลิว บุตรีคนที่สามของเซียวอี้ไฉ เสนาบดีกรมโยธาธิการ เพิ่งถูกประกาศตามตัวเมื่อสามวันก่อน เพราะหนีการหมั้นหมายกับโอรสของจวินจี๋จวิ้นอ๋อง...เว่ยฉืออวี่หยาง” น้ำเสียงของเขานุ่มทุ้มน่าฟัง ทว่าประสาทของนางกำลังตึงเขม็ง สมองประมวลความคิดกับสิ่งที่ได้รับรู้ พลันกลืนน้ำลายอีกครั้งแล้วหัวเราะแห้งๆ “ทะ…ท่าน” “เจ้าจำค่ำคืนที่ดื่มสุรามงคลของเรามิได้หรือ” คำพูดธรรมดาสามัญไร้ซึ่งการวางอำนาจ ทว่ากลับทำให้นางประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งกว่าครั้งไหน เขาใช้นิ้วดีดหน้าผากของนางเบาๆ นางเบิกตากว้าง “วะ...เว่ยฉือหลี่หมิง” จะเป็นไปได้อย่างไร ผีดิบไหนเลยจะตื่นขึ้นมากลางวันแสกๆ ได้ ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้นางแค่เอื้อม ทว่าเส้นสายคมชัดกลับไม่คุ้นตาเลยแม้แต่น้อย เป็นเพราะในสุสานแม้จะสว่างไสวไปด้วยคบเพลิงบางจุดและไข่มุกราตรี ทว่าความสว่างนั้นก็ไม่เพียงพอให้นางได้สังเกตอะไรมากนัก ความรู้สึกที่มองหน้าเขาทุกครั้งในตอนนั้นก็คือความหวาดกลัว ไม่คิดแม้แต่จะจดจำรายละเอียดบนใบหน้านั้นให้ขึ้นใจ ทว่าตอนนี้กลับแตกต่าง ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้เพียงนี้ ชัดเจนถึงเพียงนี้ นางทำได้เพียงเพ่งพิศรายละเอียดทุกส่วนบนใบหน้าของเขา พลันกลืนน้ำลาย เว่ยฉืออวี่หยางนับว่ามีดีอะไรเมื่อเทียบกับคนผู้นี้กันเล่า แม้จะเคยได้ยินมาบ้างว่าอดีตรัชทายาทไท่หมิงตายเพราะแย่งสตรีกับสหายรัก ทว่าความคิดพิเรนทร์กลับผุดขึ้นมาในหัวของนาง คนเช่นนี้...สตรีที่ไหนจะยังกล้านอกลู่นอกทางอีกหรือ "ละ...แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร" จู่ๆ เขาก็หลุดหัวเราะออกมา ใบหน้าพลันสว่างไสวราวกับเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น เซียวม่านหลิวจ้องตาค้าง สติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว "ข้าเจอผีแม่ม่ายนอนหมดแรงข้างทาง ก็เลยคิดช่วยเหลือด้วยมนุษยธรรมอันพึงมี" ผีแม่ม่าย? ใบหน้าของนางกลับมาเรียบตึง พลันเขม่นตาใส่เขาแล้ววิ่งลงจากเตียงไปยังหลังฉากกั้น ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงตะโกนว่า "แม่หม้ายบ้านท่านจะสวยอะไรขนาดนี้"   จบตอน(๑)       [1] ลี้ หลี่ ระยะประมาณ 500 เมตร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD