BABYBURN :: CHAPTER 2 [30%]

2017 Words
ครามเหนือเทล #2 :: ความจริงที่แสนเจ็บปวด :: เสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่าทำให้ฉันสะดุ้งสุดตัวตะกองกอดร่างหนาที่นอนแผ่หลาโดยมีฉันที่นอนซบบนอก เสียงฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อคืนจนรุ่งเช้า แสงอาทิตย์ก็ไม่มีให้เห็นเลยเนื่องจากท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยก้อนเมฆ ฉันรู้สึกปวดเนื้อปวดตัวไปหมด โดยเฉพาะกลางกายสาวที่พอจะขยับซ้ายทีขวาทีก็แทบจะน้ำตาเล็ด มันหน่วงจนแทบจะไม่อยากลุกไปไหนอยากนอนกอดสงครามอยู่แบบนี้ ภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่มีร่างของเราสองคนที่เปลือยเปล่านอนกอดก่ายให้ความอบอุ่น แขนของฉันชันตัวเองให้ยันอยู่บนอก รวบเส้นผมสีดำสนิทไปไว้ด้านหลังและใช้สายตากวาดมองไปตามแผงอกแกร่งซึ่งเต็มไปด้วยรอยสักเล็กน้อย แต่ที่เห็นว่าเด่นที่สุดคงจะเป็นรอยสักตรงอกซ้ายเป็นรูปขนนกคู่สวยงาม และเป็นเส้นยาวๆ สามเส้นลากตั้งแต่อกซ้ายไปจนถึงขวา มันเพิ่มเสน่ห์ให้เขามากมายเหลือเกิน ตั้งแต่คบกันมา ฉันไม่เคยเห็นเรือนร่างภายใต้ชุดนักเรียนหรือชุดไปรเวทของสงครามเลยสักครั้ง และครั้งนี้ก็ได้เห็นชัดเต็มสองตาสักที นิ้วมือกรีดลากตั้งแต่ลำคอจนมาถึงกลางอกไล้วนไปมาพร้อมกับยิ้มเมื่อมองยอดอกสีสวยของเขาทั้งสองข้าง เมื่อคืนเขาเล่นกลืนกินแต่ยอดอกฉันเป็นว่าเล่น ของเขามันก็น่ารักน่ากินเหมือนกันนะเนี่ย “ปลุกมาให้ทำต่อเหรอ?” “คะ คราม” ตกใจเมื่อเงยหน้ามองสบตากับร่างสูงที่ชันมือเข้าท้ายทาย กำลังจับจ้องฉันอยู่ แขนอีกข้างที่ว่างเปล่าตวัดรวบเอวฉันไว้ก่อนที่จะขยับหนี ทำให้ตอนนี้ฉันกึ่งคร่อมเขาอยู่ “ปล่อย เราจะอยากอาบน้ำ” “อาบด้วยกันสิ” “ไม่เอา” ว่าพลางส่ายหน้าไปมา “งั้นนอนกอดก่อน ยังไม่หมดวัน ทำต่อยังได้” เขากดศีรษะฉันให้ขยับเข้าใกล้จนริมฝีปากเฉียดกันไปมา รอยยิ้มตรงมุมปากของเขาทำให้ฉันเอียงอาย “อยากทำต่อไหมล่ะ” “เรา...” “ทำต่อนะเทล เรายังไม่อิ่มเลย” ไม่พูดเปล่าก็พลิกตัวเหนือร่างกายฉัน และแน่นอนว่าเขาทำต่ออีกนับครั้งไม่ถ้วน จนร่างกายของฉันแทบจะรับตัวตนของเขาไม่ไหว มาตื่นอีกทีก็ตอนบ่ายกว่าๆ ตอนนี้ฉันเอนร่างพิงอยู่ในอ้อมกอดเขา เนื่องจากหลังจากที่เสร็จเรื่องบนเตียงเราก็อาบน้ำ ทานอาหาร สงครามเลยออกมานั่งเล่นเกม ฉันสวมเสื้อยืดสีดำของเขาเพียงตัวเดียวเท่านั้น จะบอกว่าตอนที่เข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ รู้สึกเหนียวตัวมากเมื่อมองไปยังระหว่างขาทั้งสองข้างที่มีทั้งรอยเลือดและคราบน้ำรักจากตัวฉันเอง มันแห้งกรังจนต้องแช่น้ำอุ่นอยู่นานเกือบครึ่งชั่วโมง “ใกล้จบม.6 แล้ว ครามคิดยังว่าจะไปต่อมหาลัยที่ไหน?” “อืม ก็ว่าจะสอบเข้าคณะวิศวะที่มหาลัยเอกชนน่ะ” “ที่ไหนเหรอ? เราจะได้ไปสอบ” เงยหน้ามองปลายคางของเขาซึ่งมีหนวดขึ้นนิดหน่อย กำลังจับจ้องไปยังจอทีวีซึ่งเขากำลังเล่นเกมฟุตบอลอย่างเมามัน “ยังไม่รู้เลย” ฉันทำหน้าบูดก่อนจะมองออกไปยังระเบียงห้องของเขา “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ไว้เรารู้แล้วจะบอก เราจะไปเรียนด้วยกันนะ” “อืม” สงครามกดจูบลงบนหน้าผากของฉัน เราสองคนนั่งอยู่แต่ในห้องโดยไม่มีใครออกไปไหนเลย ราวกับว่ามันคือโลกของเรา ฉันทำอาหารให้สงครามทานและเขาก็ชมด้วยว่ามันอร่อยมาก แถมยังทำตัวลวนลามฉันไม่ขาด ออด~ เสียงออดหน้าห้องของสงครามดังขึ้น เขาผละจากการกอดฉันด้านหลังซึ่งกำลังล้างจานอยู่ “ใครมาหาเหรอ?” “ไม่รู้สิ ไอ้อาร์มหรือเปล่าไม่แน่ใจ” ว่าแล้วก็เดินออกจากครัวไปเปิดประตู แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นักถ้าเพื่อนของสงครามจะมา แต่ทว่าร่างสูงกลับเดินเข้ามาเพียงคนเดียวทำให้ฉันขมวดคิ้ว “อ้าวตกลงไม่ใช่อาร์มเหรอ?” “เปล่า ใครก็ไม่รู้มาหาเสี่ยปี” ฉันถึงกับเลิกคิ้วขึ้น คอนโดหรูแบบนี้มีมาห้องผิดด้วยเหรอ “เฮ้อ พรุ่งนี้ไม่อยากไปส่งเทลที่บ้านเลย อยากให้อยู่กับเรา” สวมกอดพลางพรมจูบไปตามลำคอโดยที่ฉันไม่ได้เอียงอายเหมือนแต่ก่อนแล้ว ถ้าหากการทำให้คนที่เรารักมีความสุขฉันก็ยินยอมพร้อมใจที่จะให้เขาได้เสพสมร่างกาย เพราะมันคือการแสดงออกอีกอย่างว่ารักมากจึงยอมให้ได้ และฉันเองก็มีความสุขไม่น้อยที่ได้ร่วมรักกับสงคราม เขาทำให้ฉันได้ประสบการณ์เซ็กส์ที่เร่าร้อนและแปลกใหม่ เขาสอนให้ฉันรู้จักเรียนรู้ที่จะใช้มันกับเขา ฉันเองก็ยินยอมที่จะทำตามเขา แม้จะไม่รู้เลยว่า... สิ่งที่ปรนเปรอให้เขา มันยังไม่มากพอให้เขามีแค่ฉันคนเดียว ยามที่เรียนอยู่สงครามก็เอาแต่ลวนลามฉันตลอดเวลา ตั้งแต่ฉันได้ปล่อยตัวปล่อยใจให้สงคราม เขาก็เสพสมร่างกายฉันเวลาที่เขาต้องการ แต่ฉันเองก็ขัดขืนบ้างเพราะตั้งแต่มีอะไรกัน ฉันก็ไม่ได้ค้างที่ห้องเขาได้บ่อย สงครามถึงได้อาศัยลวนลามฉันเวลามาเรียนเท่านั้น นับเป็นเวลานานเหมือนกันที่ไม่ได้เสพสุขกับเขา และเพราะรักฉันจึงยอมทุกอย่าง เพื่อให้สงครามได้มีความสุข “เวลาเราเอากับเทล เรามันมากเลยนะ มันมากกว่าเอากับ...” “เอ๋?” สงครามชะงัก ก่อนจะยิ้มให้ฉันแทน “ไม่อยากกินติมอุ่นอีกเหรอ” เขาเปลี่ยนเรื่องที่ทำให้ฉันลืมคำพูดเมื่อกี้ จำต้องเขินอายกับคำถามของเขา ฉันเข้าใจคำว่า ‘ติมอุ่น’ ของสงครามแล้วล่ะ และเรียนรู้การกินไอศกรีมอุ่นที่ว่าแล้วด้วย “ไม่” “โกหกเก่ง ทั้งที่ตัวเองก็ชอบที่จะกินนมข้นหวานจากติมอุ่น” “แล้วทีครามล่ะยังชอบที่จะกิน...” ฉันว่าจะหักหน้าเขาสักหน่อย แต่เป็นฝ่ายที่เขินอายเองมากจำต้องเอามือปิดหน้าตัวเองเมื่อนึกไปถึงตอนที่สงครามสอนให้กินติมอุ่นของเขา และเขาก็กินน้ำจากตัวฉัน ใช่ เขากินน้ำจากตรงนั้นของฉัน และมันก็ช่าง... น่าอายที่สุด “ไมไม่พูดอะ เราชอบกินอะไรเหรอ?” “เราไม่พูดกับครามแล้ว” ว่าเสร็จก็ผลักไหล่หนาออก จัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย หยิบกระเป๋ามาถือไว้ พร้อมกับร่างสูงที่วิ่งมากอดคอฉันลงจากตึกเรียนไปพร้อมกัน โดยที่ทั้งโรงเรียนมีเพียงแค่เราสองคนเท่านั้นที่เดินออกมา สงครามขับรถมาส่งฉันที่บ้านเช่นเคย “พรุ่งนี้หยุด จะไปไหนหรือเปล่า?” “อืม ยังไม่รู้เลยอาจจะไปเที่ยวกับพวกไอ้อาร์ม” ฉันพยักหน้ารับ ที่ให้เหตุผลว่าไม่ไปค้างที่คอนโดของเขา เป็นเพราะฉันกลัวว่าความจะแตกจนพ่อกับแม่รู้ว่าที่จริงแล้วฉันไม่ได้ไปนอนทำรายงานกับเพื่อน แต่ดันไปนอนกับแฟน ไม่งั้นมีหวังบ้านแตกแน่ ดังนั้นเลยเลือกที่จะไปค้างกับสงครามนานๆ ครั้ง เพราะแบบนี้เขาเลยหาเรื่องมีอะไรกับฉันที่โรงเรียนแทนการไปนอนค้างที่คอนโด เขาบอกว่าทนไม่ไหว เวลาเห็นแผ่นหลังฉันจากหลังห้องเพราะสงครามนั่งโต๊ะท้ายสุดของห้อง ส่วนฉันก็นั่งหน้าเพราะเป็นหัวหน้าและเด็กดีเด่นของโรงเรียน แต่เรื่องแบบนี้ ทำที่โรงเรียนฉันไม่ยอมเด็ดขาด... ต่อให้ต้องทะเลาะกับเขาเรื่องนี้ ฉันก็จะไม่มีวันยอม! “งั้นไว้เจอกันวันเปิดเรียนนะ” “อยากกินน้ำเทลจัง” เขาพูดขึ้นพลางดึงฉันไปกอด ซบใบหน้าลงกับทรงอก “หิวนม หิวน้ำเทล” “ครามอย่าทำแบบนี้” ดันใบหน้าหล่อเหลาให้ถอยห่าง ซึ่งสงครามถอนหายใจฟึดฟัดก่อนจะสตาร์ทรถขับออกไปโดยไม่ร่ำราฉันสักคำ รู้ว่าเขาเป็นแบบนี้เสมอเวลาที่ฉันไม่ตามใจเขา แต่มาทำเรื่องแบบนี้ตรงบ้านฉันมันไม่ดีเลยนี่นา เอาเถอะ ค่อยไลน์ไปง้อก็แล้วกัน หลังจากที่ทานอาหารเย็นกับพ่อแม่เสร็จฉันก็ขึ้นมาทำการบ้าน ลงมือทำการบ้านไม่เท่าไหร่เสียงมือถือก็ดังขึ้นมา ฉันดีใจจนล้มลงนอนบนเตียงหากแต่เบอร์ที่โทรเข้ามากลับไม่ใช่สงคราม “ฮัลโหลลลิส มีอะไรเหรอ?” (“พรุ่งนี้หยุดไปเที่ยวกัน ฉันไม่ค่อยได้คุยกับเธอเลยพักนี้ คลุกอยู่แต่กับไอ้คราม”) เพื่อนสาวที่ฉันสนิทที่สุดโทรมาชวนแบบนี้ฉันจะปฏิเสธได้ยังไงกัน ตอบตกลงไปพรุ่งนี้ลลิสจะมารับฉันไปเที่ยว สำคัญคือเรื่องระหว่างฉันกับสงครามที่เลยเถิด ฉันไม่คิดจะบอกเรื่องนี้ให้เพื่อนรู้เลย กลัวเกินกว่าจะบอกให้เพื่อนรู้ นอกจากจะต่อว่าฉันแล้ว ลลิสอาจจะต่อว่าสงครามด้วย ยิ่งไม่ชอบหน้าเขาอยู่แบบนั้น ลลิสน่ะเตือนฉันเสมอว่าสงครามเข้าหาฉันเพราะอะไร แต่ฉันก็ไม่เชื่อหรอก ตอนนี้สงครามรักฉัน เขาไม่ได้เป็นอย่างที่ลลิสพูดเลยสักนิด “ได้สิ เราเองก็คิดถึงลลิส” (“ยังมีหน้ามาพูด อยู่กับไอ้ครามตลอดเวลาขนาดนั้น วันนี้ฉันรอเธอยันห้าโมงก็ไม่ลงมาสักที ทำอะไรอยู่กับมัน?”) “ปะ เปล่านะ เราอยู่ห้องสมุดต่างหาก อาจารย์ให้ช่วยจนดึกเลย” รีบโกหกลลิสออกไป ถึงแม้จะไม่เคยโกหกมาก่อนในชีวิต แต่ฉันก็ทำมันไปแล้วทั้งโกหกพ่อกับแม่และยังมาเพื่อนที่สนิทที่สุดอีก (“ทำไมต้องทำเสียงสูงด้วย ไม่ได้ทำก็ไม่ได้ทำสิ”) “ก็ลลิสเล่นถามเราแบบนี้ เราก็ตกใจสิ” (“ย่ะ พรุ่งนี้เจอกัน ฉันจะขับรถไปรับ”) ลลิสวางสายไป ฉันก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะต่อสายหาสงครามทันทีไม่ช้าเขาก็กดรับ หากแต่ว่าเสียงที่รับกลับไม่ใช่เสียงเข้มที่เคยได้ยินประจำ แถมยังเป็นเสียงผู้หญิงที่ออกแนวเหนื่อยหอบจนฉันเอามือถือออกมาดูเบอร์ให้แน่ใจ มันก็เบอร์ของสงครามนี่นา “เออ ใช่เบอร์สงครามหรือเปล่าคะ?” (“อะ อื้อใช่...”) ฉันขมวดคิ้วหนัก พยายามที่จะฟังเสียงของเธอที่มันช่างครางยานจนฉันฟังไม่ถนัด (“ฮัลโหลเทล โทรมามีอะไรเหรอ?”) “คราม เมื่อกี้ใครรับสายเหรอ” (“เออ แฟนไอ้อาร์มน่ะ ไม่มีอะไร”) พอได้ฟังแบบนั้นฉันก็โล่งใจ แต่ทว่าเสียงของสงครามเองก็ไม่ต่างอะไรจากเสียงผู้หญิงคนนั้นเลยนะ ฉันเม้มปากก่อนจะได้ยินเสียงคำรามของสงครามดังขึ้น “ครามทำอะไรอยู่เหรอ ทำไมเสียงดูหอบเหนื่อย” (“คือ... เราวิดพื้นน่ะ เหนื่อยมากเลย ใส่หูฟังคุยกับเทลเลยนะ”) “อ๋อ งั้นเราไม่กวนแล้วล่ะ ฝันดีนะ” (“อืมๆ ฝันดี”) วางสายไปฉันก็กลิ้งตัวลงนอน พลางลุกขึ้นไปยังตู้เสื้อผ้า หาชุดสวยๆ แต่งไปเที่ยวกับลลิสดีกว่า ต้องแต่งให้ดูดี ทันสมัยด้วยไม่อย่างนั้นคงโดนลลิสด่าเละแน่ว่าแต่งตัวเชยตลอด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD