ตอนที่ 8

1264 Words
“กลับไปอยู่บ้าน?  แล้วงานอินล่ะ?” “พี่รู้ว่าขอมากไป แต่ก็มีเหตุผลอยู่สองสามข้อ แล้วพี่ก็มองไม่เห็นทางอื่น... อินไม่ได้อยู่ใกล้ชิด ไม่รู้หรอกกว่าหลายเดือนมานี้คุณอาซึมเซาไปมาก  ท่านเคยปรารภกับพี่ อยากให้อินกลับมาอยู่บ้าน... พี่เข้าใจนะ ว่าอินยังอยากทำงาน อยากใช้วิชาความรู้ที่เรียนมา แต่งานทางนี้ก็น่าจะหาได้ไม่ยาก  ในจังหวัดมีบริษัทห้างร้านอยู่ไม่น้อย  หรือถ้าไม่รังเกียจ จะมาช่วยทำบัญชีให้พี่ก็ได้อีกเหมือนกัน” “จะให้อินลาออกจากงานอย่างนั้นหรือคะ?”   ณัทธรเงียบไปพักใหญ่ แต่ก็พูดขึ้นในที่สุด “พี่อยากให้อินนึกถึงคุณอาให้มากๆ ท่านเสียสามี เสียลูกสาวคนโตไปในเวลาห่างกันไม่เท่าไหร่  เวลานี้ท่านเหลือลูกสาวคนเดียว แต่ก็อยู่ไกลออกไปหลายร้อยโล ปีหนึ่งๆ แทบไม่ได้กลับบ้าน ถึงจะโทรคุยกันได้ตลอดเวลา ก็ไม่เหมือนอยู่ด้วยกัน ได้เห็นหน้ากันทุกวันหรอกนะ... ลองคิดดูซี ถ้าอินเป็นคุณอา จะรู้สึกเหงา รู้สึกตัวเองถูกโดดเดี่ยวสักแค่ไหน  พี่ไม่รู้ว่าท่านเคยพูดกับอินบ้างหรือเปล่า เรื่องอยากให้อินกลับมาอยู่บ้าน โดยที่อินจะอยู่ได้อย่างไม่เดือดร้อนต่อให้ไม่ได้ทำงานทำการ... ไร่ของครอบครัวอินที่พี่ช่วยดูแลอยู่เวลานี้ ทำรายได้ให้มากพอจะอยู่กันได้สบายๆ ไม่ต้องกระเบียดกระเสียร” “อิน... คงต้องขอเวลาคิดก่อน จะให้ตัดสินใจปุบปับคงไม่ได้หรอก” “พี่ก็ไม่ได้ว่าจะไม่ให้อินคิด แต่อย่าลืมละกัน คุณอาท่านอายุมากพอสมควร สุขภาพท่านเวลานี้แม้ไม่ถึงกับทรุดโทรม แต่ก็ไม่เหมือนแต่ก่อน ยังไงก็อย่าใช้เวลาตัดสินใจนานกระทั่งต้องมานึกเสียใจภายหลังละกัน” “พี่ณัทพูดอย่างนี้ เหมือนมีอะไรเกี่ยวกับสุขภาพแม่ ที่พี่ณัทยังไม่ได้บอก” “ไม่มี  พี่ไม่ได้ปิดบังอะไรอิน ออกจะพูดมากไปด้วยซ้ำ แต่พี่ก็... เอาเป็นว่า พี่อยากเห็นคุณอาค่อยสดชื่นขึ้นบ้างก็เท่านั้นแหละ ยิ่งมาเจ็บตัวแบบนี้ ก็ยิ่งต้องการกำลังใจ ต้องการมากกว่าคนมาคอยดูแลเสียอีก” อนิลทิตาไม่ได้เสียเวลาคิดนาน  เธอยื่นใบลาออกในวันรุ่งขึ้นนั้นเอง แต่จะมีผลในอีกหนึ่งเดือนตามระเบียบของบริษัท  ระยะเวลาหนึ่งเดือน ผ่านไปเร็วมาก  อนิลทิตาตั้งใจจะออกเดินทางแต่เช้า แต่กลายเป็นหลังเที่ยง รับประทานอาหารกลางวันแล้วเรียบร้อย เพราะตื่นสาย รถเก๋งคันเล็กวิ่งเร็วมากไม่ได้  เมื่อต้องมาบรรทุกข้าวของเต็มคัน ทำให้ถึงบ้านเอาเกือบมืด อนิลทิตารู้ว่ามารดาออกจากโรงพยาบาลกลับมาอยู่บ้านแล้ว จึงไม่แปลกใจที่เห็นบ้านเปิดไฟสว่างไสว แต่ที่ทำเอาประหลาดใจ ทันทีที่แล่นรถเข้าไปจอดหน้าบ้าน คือคนที่ออกมารับไม่ใช่มารดา ซึ่งยังต้องอาศัยรถเข็น เพราะหมอยังห้ามใช้เท้ารับน้ำหนัก “ทำไมมาถึงค่ำจัง”     ณัทธรทักขึ้นก่อน หลังจากพยักหน้ารับไหว้ “เมื่อคืนมัวแต่เก็บของเลยสายค่ะ  แม่เป็นยังไงบ้างคะ” “ดีขึ้นมาก ไปดูเองซี  ข้าวของเดี๋ยวพี่จัดการเอง” เขาพูดเหมือนจะอ่านสายตาที่เธอมองออก “ขอบคุณพี่ณัทค่ะ”   “ไม่เป็นไร”    เขาไหวไหล่ประกอบก่อนกล่าวต่อ    “พี่ต่างหากควรพูดคำนี้ ที่อินอุตส่าห์ลาออกจากงานกลับมาอยู่บ้าน  เพราะพี่ก็คงต้องอาศัยอินให้ช่วยดูแลน้องอิงสักพักจนกว่าจะหาคนเลี้ยงใหม่ได้” “พี่เลี้ยงที่เคยมี ไปไหนเสียละคะ” “คนล่าสุดลาออกไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง  ช่วงนี้ก็อาศัยแม่หงิมบ้าง คุณอาบ้าง  หลานสาวอินยิ่งโตก็ยิ่งฤทธิ์มาก แทบจะเหลือมือคุณยายกับแม่หงิม” อนิลทิตานึกภาพฤทธิ์มากของคนตัวเล็กเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบไม่ออก  “พี่ไม่ได้บอกอิน”     ณัทธรพูดติดต่อกันไป    “คิดว่าคุณอาก็คงจะยังไม่ได้บอกเหมือนกัน ที่คุณอาต้องมาเจ็บตัว ก็เพราะวิ่งตามหลาน กลัวหลานจะวิ่งตกบันได ตัวเองเลยสะดุดล้มเสียเอง” อนิลทิตาไม่คิดโทษหลาน เด็กตัวเท่านั้นก็คงยังไม่รู้อะไรนอกจากซนไปตามประสา “ยายหนูซนมากหรือคะ” “ซนน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ฤทธิ์เยอะ ไปดูเอาเองเถอะ ก่อนพี่ออกมานี่ก็กำลังออกฤทธิ์ออกเดช” อนิลทิตาเดินเข้าบ้าน ทันเห็นหลานสาวตัวน้อยดิ้นปัดๆ ร้องอยู่กรี๊ดๆ แต่ไม่มีน้ำตาสักหยด ข้างๆ นอกจากมารดาของเธอนั่งมองมาจากรถเข็นอย่างอ่อนใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ยังมีเด็กสาวรุ่นๆ ยืนหน้าตาตื่น ท่าทางทำอะไรไม่ถูกพอกัน “น้องอิง!” อนิลทิตาขึ้นเสียงดังด้วยกังวานเฉียบขาด  “หยุดร้องเดี๋ยวนี้นะ!” เด็กหญิงหยุดส่งเสียง หันมองคนทำเสียงดุเข้าใส่ตาโต “เรื่องอะไรถึงส่งเสียงกรี๊ดๆ ไม่ลืมหูลืมตาอย่างนั้นฮึ?” “ร้องจะตามพ่อ พอจะแล่นตามไป แม่ให้ปิวช่วยจับตัวไว้ ผลก็เลยออกมาอย่างที่เห็นนี้แหละ” ดวงทิพย์พูดพร้อมกับส่ายหน้า แต่แววตายามมองหลานน้อยบอกถึงความรักใคร่เอ็นดู อนิลทิตาหันไปยกมือไหว้มารดา ละความสนใจจากหลานสาวที่ยังเบิกตากลมมองเธอไม่กะพริบ เพื่อมองมารดาอย่างสำรวจ “แม่ค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้ว แต่หมอเขายังไม่ยอมให้เดินเหินก็เท่านั้นแหละ”   ดวงทิพย์รีบบอก เมื่ออ่านสายตาบอกความเป็นห่วงเป็นใยของบุตรสาวออก   “แม่อย่าเพิ่งเดินนะคะ หมอบอกยังไงก็ควรเชื่อ จะได้หายไวๆ” ณัทธรแบกลังซ้อนกันสองใบเดินเข้ามา “จะให้พี่เอาไปไว้ไหน”    เขาหยุดถาม อนิลทิตามองไปรอบๆ ก่อนพยักหน้าไปที่มุมห้อง “วางไว้ตรงนั้นก่อนก็ได้ค่ะ” “อินขนอะไรมาเต็มรถ แล้วเจ้าลังนี่ก็หนักชะมัด หรือขนหินมาจากกรุงเทพฯ”    ทำเสียงล้อก่อนเดินต่อไปที่จุดหญิงสาวชี้ “หนังสือค่ะ  แหม!  ใครจะบ้าขนหินมาเป็นลังๆ ที่เหลือก็เป็นพวกเครื่องครัว เวลาว่างๆ อินชอบไปเดินดู เห็นแล้วก็อดซื้อไม่ได้สักที” เพราะยังมองตามชายหนุ่มเพื่อดูว่าเขาจะวางลังตรงจุดที่เธอบอกหรือไม่ ทำให้ได้เห็นกล้ามเนื้อหลัง ไหล่ ต้นแขนเป็นมัดขยับไหวยามร่างสูงเกร็งร่างขณะโน้มตัวลงวางลังที่เทินบนบ่าตั้งบนพื้น จากนั้นก็ดันเข้าชิดผนังในท่าสบายๆ เหมือนได้ออกแรงมากเป็นพิเศษ อนิลทิตารู้สึกเขินใจ เมื่อจับได้ว่าจังหวะการเต้นของหัวใจแรงขึ้น เพียงเพราะมองกล้ามเนื้อแน่นของผู้ชายยามเขาเคลื่อนไหว    เธอได้รู้ว่าอดีตพี่เขยมีพละกำลังมากแค่ไหน ด้วยการวัดจากที่เขาแบกลังหนักเข้ามาวางลงบนพื้นพร้อมกันทีละสองลัง วางแล้วยังออกดันเข้าชิดผนังอีกทีโดยไม่มีอาการหอบให้เห็นแม้แต่น้อย    
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD