ความรีบร้อนทำให้ลืมดู ดีที่มาได้ไกล จวนจะถึงบ้านอยู่แล้ว ไม่หมดระหว่างทางช่วงถนนเปลี่ยว
แต่ถึงจะเหลือระยะทางสามกิโลเมตรโดยประมาณจะถึงบ้าน ก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี โดยเฉพาะในสภาพอากาศเช่นนี้
อนิลทิตาเรียนรู้ที่จะระงับอารมณ์ และตั้งสติ แทนที่จะกราดเกรี้ยวออกอาการโมโหตีโพยตีพาย โทษนั่นโทษนี่ มองไปข้างหน้า คะเนว่าพอจะเดินฝ่าสายฝนไปถึงบ้านได้หรือไม่
การเดินในระยะทางสามกิโลเมตร ไม่มีปัญหาเลย หากว่าจะไม่มีทั้งลมและฝน ที่ดูเหมือนจะเทหนักยิ่งขึ้น
ฟ้าที่เคยมีเมฆดำทะมึนปกคลุมไปทั่วชั้นบรรยากาศ เริ่มมีสายฟ้าแปลบปลาบเป็นระยะ
นั่งชั่งใจอยู่เกือบสิบนาที โดยหวังว่าสายฝนจะค่อยๆ เบาบางลง แต่ก็ไม่เลย
ดูเหมือนว่าท้องฟ้าอึมครึมจะมืดลงไปอีก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา พบว่าเพิ่งจะบ่ายสามโมงกับแปดนาทีเท่านั้นเอง แต่บรรยากาศโดยรอบกลับดูโพล้เพล้ประหนึ่งพลบค่ำ
ลองโทรเข้าบ้าน ปรากฏว่าเสียงกริ่งเรียกจนตัดไปเองโดยไม่มีคนรับ กดไปครั้งที่สองผลก็ยังออกมาเช่นเดิม ลองเลื่อนหาเบอร์มือถือของผู้เป็นพี่ ผลที่ได้รับคือให้ฝากข้อความความ
ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจอดรถทิ้งไว้แล้วเดินต่อ
ตัดสินใจแน่แล้วก็ปิดโทรศัพท์มือถือ เก็บมิดชิดในช่องเก็บของหน้ารถ ไม่เอาติดตัวไปด้วยเพราะกลัวจะเปียกฝน ล็อกรถเรียบร้อยก็เริ่มออกเดิน
เพียงเจอเข้ากับสายฝนที่ไม่ได้ตกลงมาตรงๆ แต่ถูกลมหอบไปทางโน้นทางนี้ ก็แทบจะเปลี่ยนใจกลับเข้าไปในรถ แต่ความกังวลว่ามารดาจะเป็นห่วง ถ้าเลยเวลาที่บอกเอาไว้มากไปทำให้ต้องก้มหน้าก้มตาเดินต่อ
หลังจากเดินห่างจากรถมาได้ไม่ถึงห้านาที ระยะทางสามกิโลเมตรโดยประมาณ ที่เคยเดินได้สบายๆ กลายเป็นเส้นทางที่ยาวไกล
ความที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน คางแทบจรดอก เพื่อซ่อนหน้าไม่ให้เม็ดฝนขนาดเป้งๆ ปะทะจังๆ จึงไม่ทันเห็นลำแสงไฟสีเหลืองซีด ลักษณะเป็นแสงไฟจากหน้ารถ ส่องผ่านม่านสายฝนมาจากด้านหน้า ถึงกับสะดุ้งโหยง เมื่อจู่ๆ มีเสียงแตรดัง โดยเจ้าสิ่งที่ส่งเสียงเป๊กๆ ลั่นนั้น หยุดลงด้านข้าง ห่างออกไปไม่ถึงสามวา
“อนิลทิตา?”
เสียงจากคนขับกึ่งเรียกกึ่งถาม พอเห็นเธอเฉย เสียงห้าวมีกังวานทุ้มนุ่มน่าฟัง พูดเป็นตะโกนมาอีก
“เธอคืออนิลทิตา ลูกสาวคุณอาดวงทิพย์ใช่ไหม?”
“ใช่” ตอบกลับไปสั้นๆ
“คุณอาดวงทิพย์ให้มาดู เห็นเลยเวลาที่เธอบอกไว้ไปมากเลยเป็นห่วง กลัวจะมีอะไรเกิดขึ้น”
ด้วยความรำคาญที่ต้องตะเบ็งตอบกันไปมา ทั้งที่ก็อยู่ห่างกันไม่มาก อนิลทิตาจึงเป็นฝ่ายเดินข้ามถนนเข้าไปหยุดอยู่ด้านข้างรถโฟร์วิลล์สีบรอนซ์
“นึกยังไงลงจากรถมาเดินตากฝนเล่น”
เสียงถามขึ้นอีก หลังจากมองกราดเธอทั่วตัว คล้ายจะขันสภาพเปียกม่อลอกม่อแลกเป็นลูกหมาตกน้ำของเธอ
“ไม่ได้นึก แล้วก็ไม่ได้คิดจะตากฝนเล่น แค่ตั้งใจจะเดินไปบ้าน”
“ไหนคุณอาว่าลูกสาวขับรถมาเองยังไงล่ะ อย่าบอกนะว่าเจอนักจี้เข้ากลางทาง เอ้า... ขึ้นมาก่อน สั่นไปทั้งตัวแล้วเธอน่ะ”
การที่ชายหนุ่มเอ่ยถึงมารดาอย่างรู้จักดี ทำให้อนิลทิตาไม่เกี่ยงงอน รีบเดินอ้อมด้านหลังรถ เพื่อขึ้นนั่งด้านหน้าคู่คนขับ
“รถเป็นอะไร”
คำถามตามมาหลังจากเธอขึ้นนั่งเรียบร้อย
“น้ำมันหมด”
ชายหนุ่มกำลังมองกระจกมองหลัง เพื่อดูว่ามีรถตามมาหรือเปล่า ก่อนจะหักพวงมาลัยวกรถกลับตามเส้นทางที่มาเมื่อเห็นว่าทางโล่ง ได้ยินคำตอบ ก็หันมามองเธอแวบหนึ่งพร้อมกับหัวเราะหึๆ
“คุณขันอะไร ฉันไม่เห็นขัน?” อนิลทิตาชักฉิว
“ไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะเธอหรอก แต่มันอดนึกถึงที่พวกเราผู้ชายชอบพูดกันขึ้นมาไม่ได้”
“พูดอะไร?”
เธอมองเขาอย่างระแวง
จากระยะที่นั่งห่างกันไม่มาก ทำให้พอจะมองเห็นชัดระดับหนึ่ง
ผู้ชายที่นั่งข้างๆ นอกจากยังหนุ่ม หน้าตาเขายังคมสันชวนมอง พูดภาษาชาวบ้านๆ ก็รูปหล่อนั่นแหละ
“พูด... อย่าโกรธล่ะ” เสียงออกตัวไว้ก่อนฟังว่าคนพูดยิ้มอยู่ในใจ “คืออย่างนี้ เวลาเจอรถคันไหนใช้ถนนประเภทตามใจฉัน เรามักจะพูดกันว่า ผู้หญิงขับแหง แล้วก็มักจะทายถูกเสียด้วย”
“คุณจะว่าฉันล่ะสิ นอกจากใช้รถใช้ถนนไม่เป็นอย่างพวกผู้ชายอย่างคุณ ยังเลินเล่อขนาดปล่อยให้น้ำมันรถหมดกลางทาง”
“ผมเปล่า คุณพูดของคุณเอง” เขาเปลี่ยนสรรพนามจากเธอเป็นคุณ ก่อนแนะนำตัวเอง “ผมชื่อณัทธร”
อนิลทิตาซึ่งกำลังเมินออกนอกรถ เพราะนึกโมโหชายหนุ่ม ถึงกับหันขวับ
“คุณคือ... คู่หมั้นพี่อัญ?”
“ครับ” เขาตอบรับสั้นๆ
อนิลทิตามองเขาอย่างพิจารณา และให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้น
เธอเคยได้ยินพี่สาวพูดถึงคนรัก ก่อนจะกลายเป็นคู่หมั้นภายในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากรู้จักและคบหากันได้ไม่นานทางโทรศัพท์หลายครั้ง โดยไม่เคยเจอตัว
ฟังว่าเป็นหนุ่มรูปหล่อ มีฐานะมั่นคง มีที่ดินมากมายนับพันๆ ไร่ ก็นึกขันว่าความรักทำให้พี่สาวเห็นผู้ชายคนหนึ่งเลิศเลอไปหมด
แต่เห็นอย่างนี้ ต้องยอมรับว่าพี่สาวไม่ได้พูดเกินจริง แต่ดูเหมือนอัญญดาจะลืมบอกไปอย่างหนึ่ง
นอกจากรูปหล่อ ณัทธร มณฑารพ ยังเป็นผู้ชายมีเสน่ห์ชวนมอง ซึ่งไม่ได้มีในผู้ชายหน้าตาดีทุกคน
อนิลทิตาลอบมองชายหนุ่มอย่างตั้งใจ
ฉวยโอกาสขณะอีกฝ่ายตั้งหน้าตั้งตาขับรถฝ่าพายุฝนฟ้าคะนอง มองไล่ลงตั้งแต่ใบหน้า
เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างอย่างนี้ เขายิ่งดูคมสัน คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ปากหุบสนิทได้รูปงาม มุมปากหยักยกเหมือนพร้อมที่จะยิ้มอย่างคนอารมณ์เย็น และใจดี ปลายคางออกเหลี่ยมเล็กน้อยมองเห็นเงาเขียวครึ้มของไรหนวดเครา ที่ชวนอิจฉาคือขนตาดกหนายาวงอนเป็นแพ
ผิวจริงของเขาน่าจะขาว แม้ส่วนที่พ้นร่มผ้าดูคล้ำแดด
การสำรวจไม่หยุดแค่ใบหน้าชวนมอง แต่ยังมองกราดเรื่อยลงมาตามลำคอ หาไหล่ ไปที่แขนล่ำสัน มือหนาประกอบด้วยนิ้วยาวเล็บเจียนมนสะอาดสะอ้าน
เขาแต่งกายด้วยเสื้อกางสีเทาเข้มจัดจนดูเผินๆ นึกว่าสีดำ เชิ้ตแขนยาวพับแขนไว้ครึ่งๆ เน้นช่วงปลายแขนล่ำสัน พอกับกางเกงยีนส์เทาดำพอดีตัว เน้นมัดกล้ามแน่นของต้นขาสู่ขายาวตรง ที่ปลายขามองเห็นบูทดำมีรอยขีดข่วน บ่งบอกความสมบุกสมบันในการถูกใช้งาน
ขณะมองมือสีน้ำตาลจาง ประกอบด้วยนิ้วยาวได้ส่วนบนพวงมาลัย พลันนึกสงสัยว่ามือที่ดูแข็งแรง ทรงพลังในการหยิบจับ จะอ่อนโยนเป็นไหมนะ...
สำนึกที่ว่าความคิดกำลังจะออกนอกลู่ด้วยความใคร่รู้ จึงรีบละสายตาจากมือหนาตวัดขึ้นสูง หวังจะแอบมองใบหน้าชวนมองนั้นอีกนิด
แล้วความอับอายชนิดแทบจะแทรกแผ่นดินหนี ถ้าทำได้ ก็แผ่ไปทั่ว ทันทีที่สบเข้ากับตาคมฉายแววขัน
สิ่งที่พอทำได้ในวินาทีของความขายหน้า คือรีบเมินหน้าออกไปมองนอกรถ แต่ไม่ก่อนที่ใจสาวจะโลดขึ้นแล้วหล่นวูบ พร้อมความรู้สึกหนึ่งตกตะกอนอยู่ก้นบึ้งหัวใจนับแต่วินาทีนั้น