Chapter 3 ขิงก็รา ข่าก็แรง (1)

2690 Words
Chapter 3 ขิงก็รา ข่าก็แรง (1) “เมี๊ยวววว” เสียงร้องออดอ้อนดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท ปลุกคนที่กำลังนอนหลับอย่างเป็นสุขอยู่บนเตียงกว้างให้รู้สึกตัว แพขนตางอนยาวราวตุ๊กตากระพริบถี่ๆ เพื่อปรับสภาพให้คุ้นชินกับแสงสว่างที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างบานกว้าง มองออกไปจะเห็นดอกไม้หลากหลายชนิดที่กำลังแข่งกันออกดอกบานสะพรั่งอวดสีสันสดใส ที่เจ้าของบ้านได้ปลูกเอาไว้จนเกิดเป็นสวนสวยเล็กๆ อย่างลงตัว กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยตามสายลมแทรกลึกเข้าไปในประสาทสัมผัส ชวนให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เริ่มต้นเช้าวันใหม่ได้อย่างแจ่มใส จันทร์กะพ้อร้องประท้วงเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ เมื่อสัมผัสได้กับขนอ่อนนุ่มที่คลอเคลียอยู่ตามใบหน้า แม้ไม่ลืมตามองก็รับรู้ได้ว่าร่างนั้นเดินวนเวียนอยู่รอบกาย และกระโดดขึ้นลงบนเตียงของหล่อนมาได้สักพักแล้ว เมื่อเห็นว่าเจ้านายยังไม่ยอมขยับกายลุกจากที่นอน และไม่ยอมลืมตาขึ้นมาคุยด้วย มันจึงร้องเรียกดังขึ้นและไถตัวนุ่มนิ่มเข้ากับขาขาวเนียนไปมา คล้ายจะเตือนว่าสายมากแล้วทำไมถึงยังไม่ลุกไปทำหน้าที่ดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา “แม็คคค…ไปหาพ่อแกไป” หญิงสาวปัดป่ายมือไปมาเพื่อดันร่างนุ่มนิ่มไปให้พ้นตัว เมื่อมันยังคงดื้อดึงถูไถหน้าอ้วนกลมกับลำตัวหล่อนและร้องเสียงดังถี่มากขึ้น เมื่อทนไม่ไหวจึงลุกพรวดขึ้นเพื่อที่จะไล่มันออกไปนอกห้อง แต่เมื่อสายตาสบเข้ากับนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างฝาผนังอย่างไม่ตั้งใจ แววตากลมโตต้องเบิกกว้างใจหายวาบไปอยู่ที่ตาตุ่ม รีบกระโดดลงจากเตียงเมื่อเวลาผ่านไปเร็วจนน่าตกใจ ขณะที่เจ้าเหมียวนั่งทำตากลมและเอียงหน้ามองมา คงจะนึกสงสัยในท่าทีแปลกๆ และลนลานของเจ้านายว่าเป็นอะไร “แย่แล้ว! วันนี้ยังไม่หยุดนี่นะ โธ่ ยายแยม สายอีกแล้ว” “เมี๊ยวววว” “ไม่ต้องมาร้องเลยนะ ทำไมแกไม่ปลุกฉันให้เร็วกว่านี้” หญิงสาวชี้หน้าเหมียวสุดที่รักของพี่ชายด้วยสายตาคาดโทษ ขณะพรวดพราดไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหาผ้าเช็ดตัว แล้วคว้าเสื้อคลุมวิ่งเข้าห้องน้ำไป รีบทำกิจส่วนตัวอย่างเร่งด่วน และหมายถึงว่าวันนี้หล่อนจะต้องเข้าไปที่ไร่สายกว่าทุกวัน ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนักกับการเข้าออฟฟิศช้าขณะที่คนอื่นเริ่มงานกันหมด แม้จะเป็นถึงผู้จัดการไร่ก็ตามที ที่สำคัญ หล่อนเพิ่งนึกออกว่าบอสใหญ่จะมาที่ไร่ในวันนี้ และหากว่ามีตนเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ไปรอรับหน้า ก็คงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ เพราะเป็นถึงผู้จัดการไร่แต่กลับพลาดช่วงเวลาสำคัญเสียเอง จันทร์กะพ้อแต่งตัวอย่างเรียบง่ายเน้นความรวดเร็ว เป็นเสื้อเชิ้ตสีหวานกับกางเกงยีนเข้ารูป เสริมใบหน้าไม่ให้ดูจืดชืดเพียงแค่ลงรองพื้นและปิดทับด้วยแป้งฝุ่นสีเข้ากัน กับลิปกลอสกลิ่นสตรอว์เบอรี่ที่ชื่นชอบ ออฟชั่นเสริมที่ขาดไม่ได้เลยคือนาฬิกาและแหวน หล่อนเป็นคนชอบสะสมเครื่องบอกเวลา เหตุผลเพราะหลงใหลในความยิ่งเก่ายิ่งดูคลาสสิคของมัน แม้ร่างกายและใบหน้าจะไม่ได้ปรุงแต่งอะไรมาก หากแต่ว่าก็ยังคงดูดีในสายตาคนมอง เพราะหล่อนได้เปรียบเรื่องหน้าตาและรูปร่างที่สูงเพรียวเป็นทุนเดิม ไม่ต้องประโคมอะไรเข้าไปมากมายก็ออกจากบ้านได้อย่างสบาย โดยไม่ทำให้คนข้างๆ ต้องอายอย่างแน่นอน และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้หล่อนยังโสดอยู่จนทุกวันนี้ เนื่องจากพี่ชายนั้นทั้งรักและทั้งหวง ผู้ชายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจะต้องถูกเขาสกรีนก่อนทุกครั้ง และไม่เคยมีใครผ่านด่านอรหันต์ไปได้สักคน ปกรณ์พี่ชายจันทร์กะพ้อเป็นคนช่างเลือก เขาจะไม่คว้าใครก็ตามมาเป็นแม่ของลูกแบบส่งเดช และเผื่อแผ่ความช่างเลือกนี้มายังน้องสาวของตน เขาต้องการเพียงแค่ใครสักคนที่สามารถเอาตัวรอดได้ด้วยตนเอง คนๆ นั้นจะต้องดูเป็นผู้นำเพื่อที่เขาจะได้หมดห่วง เพราะคนๆ นั้นสามารถดูแลและปกป้องจันทร์กะพ้อได้ ร่างเพรียวกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมาข้างล่าง ก็พบว่าพี่ชายของตัวกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะอาหาร เหมือนเขาจะทานมื้อเช้าเสร็จแล้วด้วยซ้ำ แต่หญิงสาวนึกแปลกใจว่าป่านนี้ทำไมเขายังไม่ไปทำงาน เพราะดูเวลาแล้วเห็นว่าจวนเจียนจะเข้างานเต็มที “อ้าว พี่ใหญ่ ทำไมยังนั่งอยู่ล่ะคะ เดี๋ยวก็สายกันพอดี” “ก็พี่รอแยม เห็นยังไม่ลงมาสักที ว่าจะขึ้นไปตามก็ลงมาพอดี ถ้าไม่รอแล้วใครจะไปส่งล่ะ” “แยมตื่นสายน่ะ สงสัยเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย ดีนะเจ้าแม็คช่วยปลุก ไม่อย่างนั้นคงยังไม่ตื่น ตอนแรกก็กะว่าจะยืมรถน้าอิงไปทำงานก่อนเพราะคิดว่าพี่ใหญ่ไปทำงานแล้ว” “ตากแดดในไร่มาหรือเปล่า เพลียก็หยุดพักเสียบ้างนะแยม” “ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะวันนี้คุณชนินทร์จะมาที่ไร่ แยมจะไปทันรอรับหรือเปล่าก็ยังไม่รู้” ปกรณ์ลดหนังสือพิมพ์ในมือลง ก่อนปรายตามองคนพูดพลางลอบถอนหายใจออกมา ระยะหลังมานี้เขารู้สึกว่าจันทร์กะพ้อโหมงานหนักเกินไป ทักท้วงมาหลายครั้งแต่น้องสาวของเขากลับไม่ยอมเชื่อฟังกันบ้าง ไม่เคยสนใจว่าคนในบ้านจะเป็นห่วงมากขนาดไหน กลัวว่าหากโหมงานหนักมากๆ เข้าแล้วจะส่งผลต่อสุขภาพ มีหวังต้องวิ่งเข้าโรงพยาบาลในสักวัน อดที่จะส่ายหัวออกมาไม่ได้ ขณะจับจ้องไปยังพฤติกรรมของคนเป็นน้องที่กำลังคว้าขนมปังมาทาเนยถั่วอย่างเร่งรีบ ชายหนุ่มคิดแย้งในใจว่าหล่อนน่าจะทานอย่างอื่นเพราะจะอยู่ท้องมากกว่ากัน น้าสาวของเขาก็ต้มข้าวต้มหอมกรุ่นหม้อใหญ่อยู่ในครัว “แยมน่าจะทานข้าว ขนมปังมันไม่ค่อยอยู่ท้อง” “ไม่ค่อยหิวน่ะค่ะ เดี๋ยวไปหาอะไรทานต่อที่ไร่ก็ได้” “อ้าว แล้วโชคดีมันไปไหนแล้ว ทำไมไม่ตามลงมา พี่ก็หาอยู่ว่ามันหายไปไหน เรียกมากินข้าวก็ไม่ขานรับ ที่แท้ไปแอบอยู่ในห้องแม่มันนี่เอง” “รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวสายมากกว่านี้” หญิงสาวกัดขนมปังชิ้นใหญ่ใส่ปากเคี้ยวอย่างรีบเร่ง ที่จริงต้องเรียกว่ายัดเกือบทั้งชิ้นเข้าปากน่าจะเหมาะกว่า เพราะต้องรีบทำเวลาจะมัวอ้อยอิ่งละเลียดทานไม่ได้ ท่าทีที่รีบจนลนลานทำให้ปกรณ์ต้องร้องห้ามเสียงหลง เพราะกลัวว่าจะติดคอเสียก่อน แทนที่จะได้ไปทำงานก็ต้องวิ่งไปโรงพยาบาลแทน “เอ้าๆ เดี๋ยวก็สำลักติดคอตายกันพอดี จะรีบไปไหน” “ก็คนมันรีบนี่นะ” หญิงสาวกระดกกาแฟที่เหลือเข้าปากรวดเดียวจนหมดแล้ว แล้วคว้ากระเป๋าคู่ใจผลุนผลันออกจากบ้านไป ปกรณ์ได้แต่ส่ายหัวแล้วมองตามร่างระหงไปด้วยความหนักใจในความไฮเปอร์ของน้องสาว ก่อนจะคว้ากุญแจรถเดินตามออกไปอย่างเร่งรีบ เพราะเขาจะต้องไปส่งจันทร์กะพ้อที่ไร่เพราะรถของหล่อนมีปัญหาต้องเข้าอู่ จากนั้นจึงเลยไปที่ทำงานของตน ซึ่งชายหนุ่มทำงานเป็นหัวหน้าเกษตรอำเภออยู่ในเขตเดียวกัน “โชคดี มาหาพ่อมา” ชายหนุ่มร้องเรียกเจ้าเหมียวสุดที่รักเมื่อเดินออกมาหน้าบ้าน เพื่อที่จะเรียกให้มากินข้าวเช้าก่อนที่เขาจะไปทำงาน โชคดีเป็นแมวขาวมณีที่เขาได้มาอย่างบังเอิญ มันถูกสุนัขไล่กัดจนพลัดหลงจากบ้านเดิมของมัน เดินโซซัดโซเซซมซานมานั่งขอความสงสารอยู่หน้าบ้าน ปกรณ์ไปเห็นเข้าจึงเกิดความสงสาร และรู้สึกถูกชะตามันตั้งแต่แรกพบ ตัวของมันสีขาวปลอด แววตาสีฟ้าสดใส เขาจึงตั้งชื่อให้มันว่าโชคดี เพราะเชื่อว่ามันจะนำโชคดีมาสู่ทุกคนในบ้าน แต่น้องสาวของเขาไม่ชอบที่มันชื่อโชคดี หล่อนบอกว่าเชยสิ้นดีจึงตั้งให้ใหม่เสียฝรั่งจ๋า แต่เหมือนโชคดีจะหัวไว จะเรียกว่าแม็ค หรือโชคดีมันก็รู้ทั้งสองชื่อ เรียกอะไรมันก็จะวิ่งเข้ามาหาเพื่อออดอ้อน เพราะรู้ดีว่าคนในบ้านนี้รักมันมากนั่นเอง “น้าอิงครับ ผมไปทำงานก่อนนะครับ ฝากเจ้าโชคดีด้วยนะครับ มัวไปเล่นซนที่ไหนก็ไม่รู้” “จ้า ไปเถอะไม่ต้องห่วง ขับรถดีๆ นะ” โชคดีไม่ยอมขานรับเจ้านาย ปกรณ์จึงเดินย้อนกลับไปในบ้าน เอ่ยฝากฝังกับน้าสาวเพราะกลัวว่ามันจะหิว น้าสาวของเขาชะโงกหน้าออกมาจากในครัว ก่อนจะพยักพเยิดให้เขารีบไปทำงาน ส่วนเจ้าเหมียวเดี๋ยวหล่อนจะช่วยดูแลเอง น้ำอิงเป็นน้าสาวแท้ๆ ของสองพี่น้องบ้านนี้ แต่งงานแล้วและยังไม่มีลูก เป็นคนที่คอยดูแลปกรณ์และจันทร์กะพ้อมาโดยตลอด เพราะพ่อแม่ของทั้งสองเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ไปหลายปีแล้ว หล่อนจึงให้ความรักเหมือนแม่แท้ๆ เพื่อไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งเกิดเป็นปมด้อยในใจ และกลายเป็นคนขาดความอบอุ่น ด้วยเหตุนี้ปกรณ์และจันทร์กะพ้อจึงรักและเคารพตนเสมือนผู้ให้กำเนิดแท้ๆ มีอะไรก็มักจะนำมาปรึกษา และคุยกันเปิดอกได้อย่างสนิทใจ ร่างที่ก้าวเดินฉับๆ อย่างมาดมั่นมาในออฟฟิศ ทำให้ขวัญชนกรีบละมือจากงานตรงหน้า บางอย่างที่ผิดปกติและไม่เหมือนเดิมทำให้แววตาคู่สวยเบิกกว้าง พร้อมกับยกมือขึ้นทาบอกเพราะใจเริ่มกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง ทำท่าจะร้องเรียกเพื่อนหากแต่ว่าช้าไป เมื่อมือเพื่อนดันบานประตูเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวโดยไม่หันมามองกันแม้สักนิด จะเอ่ยเตือนให้รู้ตัวก็ไม่ฟังกันเสียเลย ขวัญชนกจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความลุ้นระทึก อีกใจหนึ่งก็ลุ้นไม่น้อยว่าเพื่อนคนเก่งของตนจะจัดการและรับมือกับสถานการณ์ที่ท้าทายได้หรือไม่ ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มหน้าตาหล่อบาดใจสาว เสื้อผ้าหน้าผมพร้อมออฟชั่นเสริมชนิดนายแบบเสื้อผ้ายังอายเข้าไปทำอะไรในห้องนั้น แต่ทุกคนรู้ดีว่าเขาเป็นใคร การที่เขามากับเจ้าของไร่ตัวจริง และคุณนายกมลพรรณจอมเนี้ยบที่พนักงานได้ไปรอต้อนรับกันตั้งแต่เช้าตรู่ ก็คงจะไม่ใช่ใครอื่นอย่างแน่นอน “โอ๊ะ!” จันทร์กะพ้อตกใจเล็กน้อย เมื่อเข้ามาแล้วพบว่าห้องทำงานมีแขกมาเยือน ซ้ำยังไม่ใช่แขกธรรมดาเสียด้วย เพราะเขาเล่นถือวิสาสะนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานตัวโปรดของหล่อนอย่างสบายอารมณ์ การปรากฏร่างของหล่อนทำให้ชายหนุ่มในห้องเงยหน้าขึ้นมอง และยังมองไปทั้งตัวอย่างสำรวจ ซ้ำยังทำท่าจะไม่ลุกหนีกันอีกด้วย ไม่ลุกไม่พอ ยังหรี่ตามองกันตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำราวกับว่าหล่อนไปทำความผิดร้ายแรงอะไรมา สายตาของเขาทำให้นึกหงุดหงิด หล่อนไม่ชอบสายตาของชายหนุ่มตรงหน้าเอาเสียเลย แม้จะตะลึงในความหล่อบาดใจชนิดนายแบบเรียกพี่ของเขาก็ตามที หญิงสาวคิดในใจขณะมองสบตากลับอย่างท้าทายในสายตาชลาธาร ‘มองอะไร ไร้มารยาทที่สุด’ หญิงสาวก้มลงมองตัวเองอย่างหวาดระแวง ก่อนจะเอี้ยวหน้าสำรวจด้านหลังว่ามีอะไรผิดปกติ ไม่แน่ว่าหล่อนอาจจะรีบจนติดกระดุมผิดแถว หรือลืมรูดซิปกางเกง แต่เมื่อไม่ใช่ก็เริ่มจะไม่มั่นใจขึ้นมาเสียดื้อๆ กับการที่ต้องมาถูกจ้องมองอย่างไม่เกรงใจกันเช่นนี้ “สะ สวัสดีค่ะ คุณ…ไม้” คล้ายจะนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ทักทายกันตั้งแต่ก้าวเข้ามา จึงฝืนใจเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายเขาก่อนอย่างให้เกียรติในฐานะเจ้านายอีกคน และยังเห็นแก่ชนินทร์ที่ดีกับตนเสมอมา รอยยิ้มเฝื่อนถูกแค่นออกมาเพื่อไม่ให้บรรยากาศต้องอึดอัดมากไปกว่านี้ แม้จะไม่ค่อยพอใจกับสายตาของเขาก็ตามที “คุณคงไม่รู้สินะว่าผมเกลียดกับการที่มีคนเรียกชื่อผมแบบผิดๆ ที่สุด” “ผิดตรงไหนคะ คุณ…ลูกไม้” “ผิด! ผิดที่ผมไม่ชอบ” “นั่นมันปัญหาของคุณ ไม่ใช่ปัญหาของฉัน” “หึ คุณกำลังท้าทายและลองดีกับผมใช่มั้ย และคุณคงไม่รู้เกี่ยวกับตัวผมอีกอย่าง ผมไม่ชอบให้ใครมาปากดีย้อนยอก เข้าใจนะครับคุณพี่เลี้ยง” “คุณต่างหากที่ต่อต้าน การที่คุณถือวิสาสะเข้ามาในนี้ และ สายตาของคุณที่มองกันนั้น มันไม่ได้หมายความว่าเข้ามาเพื่อหาเรื่องเหรอคะ” “ปากดี!” ชายหนุ่มเข่นเสียงรอดไรฟันเมื่อถูกย้อนยอก สายตาคู่คมตวัดมองคนพูดอย่างเอาเรื่อง ไม่มีแม้รอยยิ้มให้กันจนจันทร์กะพ้อนึกหมั่นไส้ ชลาธารวางหนังสือในมือลงกับโต๊ะ ที่จริงต้องเรียกว่ากระแทกกับโต๊ะน่าจะเหมาะกว่า หญิงสาวปรายตามองว่าเขาคิดจะทำอะไร แววตาคู่สวยฉายแววหวาดหวั่นเมื่อเขาลุกจากเก้าอี้แล้วเดินตรงเข้ามาหา การที่เขาพรวดพราดเข้ามาประชิดตัวทำให้หล่อนถึงกับถอยกรูดไปตั้งหลัก เมื่อเห็นท่าไม่ดีจึงทำท่าจะออกไปนอกห้อง เพราะคิดว่าการอยู่ให้ไกลจากสิ่งมีชีวิตเช่นชายหนุ่มตรงหน้าคือทางเลือกที่ดีที่สุด แต่อีกฝ่ายไวกว่าและรู้ทัน เขารีบปราดไปขวางหน้าประตูเอาไว้ ตัดปัญหาโดยการกดล็อกเพื่อไม่ให้บุคคลด้านนอกเข้ามาได้ “ดะ เดี๋ยว อะไรของคุณ!” “ผมก็เพิ่งรู้ว่าผู้จัดการของที่นี่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม นี่น่ะเหรอคนที่คุณพ่อจะให้มาเป็นพี่เลี้ยงผมน่ะ แค่เข้างานก็ยังไม่มีวินัย ให้คนอื่นมานั่งรอเป็นชั่วโมง มิหนำซ้ำยังไร้ความรับผิดชอบ รู้ทั้งรู้ว่าเจ้าของไร่จะมาแต่ก็ยังไม่คิดจะมาต้อนรับขับสู้ แล้วอย่างนี้จะเป็นตัวอย่างที่ดีได้อย่างไร หึ” “ฉันมีเหตุผลนะคะ และก็เพิ่งจะสายวันนี้วันแรก” “กินเงินเดือนจากคุณพ่อตั้งแพง ก็ทำงานให้คุ้มค่าหน่อยสิครับคุณผู้จัดการ” ‘ซวยจริงยายแยม ทำไมต้องมาสายวันที่หมอนี่โผล่มาพอดีด้วยนะ’ การที่เขาเปิดฉากโจมตีกันโดยไม่ฟังอะไร ทำให้จันทร์กะพ้อ เกือบจะฟิวส์ขาด พยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจไม่อยากที่จะต่อปากต่อคำด้วย สายตาไม่เป็นมิตรและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่แต้มอยู่บนใบหน้าคมคร้าม หล่อนสัมผัสได้ถึงความยุ่งยากที่จะมาเยือนนับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป นึกอยากจะต่อสายตรงไปหาชนินทร์แล้วขอถอนตัวจากภารกิจนี้เป็นการด่วน สาเหตุเพราะว่าที่เด็กในคอนโทรลของตนแผลงฤทธิ์ตั้งแต่หัววันโดยที่ยังไม่ทันได้เริ่มงานเลยด้วยซ้ำ ยิ่งเคมีไม่เข้ากันอย่างนี้ ให้เดาว่าไม่เกินสองวันทุกอย่างคงต้องพังครืนลงมาอย่างไม่เป็นท่าแน่นอน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD