บทที่3. ที่ใดมีงูพิษที่นั่นมีอังค์เนส

1407 Words
“หากเป็นประสงค์ของเทพอานูบิส ผู้ทรงเป็นผู้ช่วยในการชั่งวิญญาณ โดยเป็นผู้ดูตาชั่งอย่างละเอียดโดยมีขนนกเป็นเครื่องวัดถ้าขนนกเอนขึ้นแปลว่ามีความผิดมาก ถ้าคนนกเอนลงถือว่ามีความดีมาก ส่วนเทพธอธจะเป็นผู้บันทึกการตัดสิน เมื่อถือว่าวิญญาณนั้นบริสุทธิ์แล้ววิญญาณจะไปเข้าเฝ้าเทพโอสีริสเพื่อพิพากษาให้ไปสู่ในโลกแห่งวิญญาณใหม่ หากไม่บริสุทธิ์จะถูกลงโทษอย่างโหดร้าย เราคงไมอาจขัดประสงค์ขององค์เทพได้หากความตายยื่นมือมาสัมผัสเราคงไม่อาจหลุดพ้นได้ ทว่าหากเทพอานูบิสบัญชาให้เราอยู่เราก็ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการรักษาแบบที่เราทำอยู่” “ความคิดของท่านปู่เลจูต่างจากเหล่านักบวชยิ่งนัก”  อังค์เนสก้มศีรษะยอมรับ แท้จริงแล้วเธอชื่นชอบวิธีการสั่งสอนของท่านปู่เลจูมาก “แล้วท่านปู่จะให้ติดตามด้วยใช่มั๊ย” “หาได้เป็นเช่นนั้นไม่” อังค์เนสอ้าปากค้างแล้วกระโจนเข้าเกาะแขนของท่านปู่เลจูเขย่าแรงๆ “ทำไมละท่านปู่ ให้ข้าไปด้วยเถอะ ข้าจะได้ช่วยวินิจฉัยโรคประหลาดนั่นไง” “แล้วถ้าเจ้าไปใครจะดูแลที่นี่”        ประโยคของเลจูทำให้อังค์เนสเถียงไม่ออก ที่โรงหมอแห่งนี้มีคนเจ็บคนป่วยเข้ามารับการรักษาไม่เว้นแต่ละวัน และเธอเองก็ยอมรับว่าความสามารถของตนอาจมีไม่พอที่จะรักษาโรคประหลาดที่ยังไม่มีใครรักษาได้ “แล้วท่านปู่จะเดินทางอย่างไร” อังค์เนสพึมพำถามเบาๆ อย่างเสียดาย “ข้าเลือกคนที่จะเดินทางไปกับข้าแล้วเจ้าอย่าได้กังวลเรื่องนี้ แต่เจ้าอยู่ที่นี่ต้องเชื่อฟังดังชีอย่าดื้อกับเขานัก” “ข้าทราบแล้ว” อังค์เนสรับคำ “ท่านปู่เลิกทำเหมือนข้าเป็นเด็กเล็กๆ เสียทีเถิด” “เจ้าคิดไปเองกระมั้งว่าเป็นเช่นนั้น” เลจูหัวเราะออกมา “เจ้าไปพักผ่อนเถิด ของตรงนี้ข้าได้จัดการตระเตรียมแล้ว พรุ่งนี้เช้าข้าต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่” “ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวไปจัดการสมุนไพรที่ข้าเก็บมาได้ก่อน แล้วจะมาทานอาหารค่ำกับท่านปู่” หญิงสาวเดินออกมาจากกระท่อมของเลจู ผู้เป็นที่เคารพนับถือของทุกคนในหมู่บ้านและหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียง            กระท่อมที่พักของเลจูปลูกอยู่ใกล้โรงหมอขนาดย่อมมีลูกศิษย์ที่เคารพนับถือเลจูมาฝึกฝนวิชาแพทย์ที่นี่สามสี่คน             และไม่ไกลนักเป็นกระท่อมหลังน้อยของอังค์เนส หญิงสาวมักใช้มันเป็นห้องทดลองยาต่างๆ มากกว่าเอาไว้หลับนอนเสียอีก อังค์เนสชอบคลุมกายด้วยผ้าเก่าๆ ไม่แต่งเครื่องหน้าหรือเสื้อผ้าสวยงาม ชอบทำตัวราวหนุ่มน้อยและเอาเวลาหมดไปกับการผสมสมุนไพรทำยาชนิดต่างๆ และชื่นชอบการจับงูพิษเป็นชีวิตจิตใจ จนแทบจะเรียกได้ว่า ‘ที่ใดมีงูพิษที่นั่นมีอังค์เนส’  เมื่อเดินกลับมาที่กระท่อมของตนก็พบตะกร้าสมุนไพรแขวนอยู่หน้าบ้าน หญิงสาวยิ้มบางๆ ที่มุมปากก่อนหยิบมันมาดูอย่างทะนุถนอมราวกับพวกมันเป็นดอกไม้แสนงาม “ต้องคัดแยกสมุนไพรก่อน”          หญิงสาวสั่งตนเองแล้วถอนหายใจเบาๆ นึกเสียดายที่ไม่ได้เดินทางไปกับท่านปู่เลจูเพื่อที่จะได้ศึกษาโรคประหลาดนั่น.             ............... ลูกธนูดอกหนึ่งแหวกผ่านอากาศหมายจะปลิดชีพชายหนุ่มบนหลังม้าที่ห้อตะบึง มือใหญ่จับแส้ไว้มั่นแล้วหวดลงที่สะโพกอาชาสีขาวอย่างแรงทำให้มันพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าคมเข้มที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีรัตติกาลมีแววยิ้ม ลูกธนูดอกนั้นเฉียดฉิวผ่านศีรษะไปเล็กน้อย ทำให้มีลูกธนูพุ่งมาอีกหลายดอก แต่ชายหนุ่มก็ยังสามารถหลบหลีกได้แม้จะอยู่บนหลังอาชาก็ตาม “แผนตื้นๆ ก็ยังคิดกันได้” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดังมือข้างหนึ่งปล่อยจากบังเ**ยนแล้วชี้นิ้วไปทางหนึ่ง    “ไปเร็วโมตู จงเตรียมการอย่างที่ข้าสั่ง” “พะยะคะเจ้าชายเนเฟอร์คาเร” องครักษ์หนุ่มน้อมรับคำสั่ง “ระวังพระองค์ด้วย” “เจ้าก็เช่นกัน” เนเฟอร์คาเรห้ออาชาทะยานไปทางแสงอาทิตย์อัสดง  การเดินที่คาดว่าจะใช้สามวันแต่องค์รัชทายาทหนุ่มใช้เวลาเพียงหนึ่งคืนกับหนึ่งวันเท่านั้นก็ใกล้ถึงที่หมาย  แม้พระองค์จะลอบออกจากวังเพื่อไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ กระนั่นการเดินทางของพระ องค์ก็ยังอยู่ในสายตาริษยาของมเหสีคูอิ แต่มือลอบสังหารส่งมาจัดการเขานั้นก็ช่างอ่อนหัดเสียเหลือเกิน แม้จะเป็นอย่างที่คาดคิดไว้แต่ก็ดูไม่หนักหนาอะไรที่พระองค์จะรับมือเลยด้วยซ้ำ อาชาสองตัวแยกไปสองทาง และเหล่านักรบที่ถูกส่งมาไล่ล่านั้นติดตามอาชาขององครักษ์โมตูไป เจ้าชายเนเฟอร์คาเรกระตุกยิ้มแค่การพร่างตัวด้วยเสื้อผ้าและอาชาที่เขาเคยใช้เป็นประจำก็ทำให้คนเหล่านั้นเข้าใจผิดได้ องค์รัชทายาทหนุ่มเงยหน้ามองดวงอาทิตย์พลางภาวนาให้เทพอาเมน-รา  หรือเทพราผู้เป็นดั่งบิดาแห่งมวลมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายปกป้องดินแดนไอยคุปต์ด้วย “คืนนี้ลมแรงยิ่งนักพี่ดังชี”            มือเรียวเล็กยกขึ้นรวบผมยาวที่ถักเปียไว้หลวมๆ หญิงสาวหรี่ตาลงเมื่อรู้สึกว่าลมปะทะเข้าใบหน้าอย่างแรง แต่ดังชีกลับช่วยกระชับผ้าคลุมไหล่ผืนหนาของอังค์เนส ดวงตาเรียวของเขาจ้องมองใบหน้างดงามใต้แสงจันทร์นวล ในยามค่ำคืนอังค์เนสมักจะเปิดเผยตนเองเป็นหญิงสาวผู้แสนงดงาม ซึ่งดูเหมือนว่าเธอเองจะไม่เคยล่วงรู้ว่าตนเองมีความงามนั่นอยู่ในตัวเอง “ข้าจะเดินไปส่งเจ้า”         ดังชีเอ่ยบอกแล้วโอบไหล่เล็กๆ ของอังค์เนสให้เดินเคียงข้างสายตาของเธอที่มองเขาช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกของน้องสาวที่ชื่นชมพี่ชาย ซึ่งเขามาต้องการเลย “พี่ดังชีทำเหมือนข้าเป็นเด็กเล็กๆ” อังค์เนสหัวเราะเสียงใส “ข้าเดินกลับไปกลับมาอย่างนี้มาหลายปีแล้ว ไยพี่ดังชีต้องเอาเวลาพักผ่อนของพี่เพื่อข้าด้วยเล่า” ‘ทั้งชีวิตของข้าก็คือเจ้า อังค์เนส’ “แค่ประตู พี่ดังชี”           เสียงหวานใสทักทำให้ดังชีตื่นจากภวังค์ ดังชีมองบานประตูกระท่อมตรงหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ “พักผ่อนเถิดพรุ่งนี้เจ้ายังมีอะไรอีกมากที่ต้องทำ” “พี่ดังชีก็เช่นกัน” อังค์เนสยืนส่งดังชีสุดสายตา หญิงสาวเงยหน้ามองพระจันทร์ดวงโตกลมที่เปล่งประกายสุกใสสว่างนัก เธอกอดกายตนเองอย่างปลอบประโลม ผ่านมากี่ฤดูกาลเธอก็ไม่อาจลืมค่ำคืนนั้นได้ สายลมรุนแรงและหนาวยะเยือก เด็กหญิงวัยเก้าขวบเดินฝ่าสายลมแห่งค่ำคืนโดยมีมืออบอุ่นของดังชีจับจูงไม่ยอมปล่อย    เธอรู้ดีว่ามือคู่นี้จะไม่มีวันทอดทิ้งเธอ ‘ทำไมข้าต้องไปด้วย....ข้าอยากอยู่กับท่านแม่’ ‘มันเป็นชะตาของเจ้า อังค์เนส....’ น้ำเสียงอ่อนระโรยของมารดาเอ่ยพร้อมน้ำตานองหน้านางไร้เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นจากที่นอนด้วยซ้ำ แต่ปรารถนาสุดท้ายก่อนเทพโอซิริส เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ใต้พิภพ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยมโลกจะพรากวิญญาณไป นางก็ยังหวังจะให้บุตรสาวซึ่งเยาว์วัยได้เติบโต ‘ไปซะ ไปให้ไกลจากที่นี่...ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี’ ‘แม่...ข้าจะอยู่กับท่าน’ ‘ดังชี...น้าฝากอังค์เนสด้วย’ ‘อังค์เนส...แม่ขอโทษ...แม่...’ ‘แม่....’ อังค์เนสสะดุ้งสุดตัว         หญิงสาวตื่นจากภวังค์เหลียวมองรอบข้างหาที่มาของเสียงหวีดร้องนั่นเธอกระชับผ้าคลุมไหล่ให้มิดชิดแล้วเดินย่ำไปตามทางแสงจันทร์ ใกล้ตลิ่งมีก่อหญ้าสูงเสียงหวีดร้องยังดังก้องกลางคืน   มือเรียวแหวกก่อหญ้าออกก็พบเจ้ากระต่ายน้อยสีขาวติดกับดักอยู่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD