“ใจเย็นๆ ก่อนท่าน มีเรื่องใดมารึ”
ดังชีปราดเข้าไปดูเด็กหนุ่มนอนหายใจรวยรินที่ถูกหามมาวางบนแคร่หน้าโรงหมอ ชาวบ้านหลายคนต่างตีวงเข้ามามุ่งดูอย่างใคร่รู้
“เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นบุตรของท่านใช่ไหม” เลจูโบกมือไล่ทุกคนออกห่าง มิใช่การรังเกียจแต่เพื่อป้องกันมิให้ติดเชื้อโรค “เขาอาการเช่นไร”
“ตอนแรกเขาก็บ่นปวดหัวอย่างหนักแล้วก็ถ่ายท้องมากกว่าปกติ คลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรง”
“ท้องเสียรุนแรง”
อังค์เนสเอ่ยเหมือนจะบอกกับตนเองมากกว่า เธอปราดเข้าไปดูคนป่วยที่ร่างกายผายผอมซูบเซียว ตามข้อมีอาการบวมอยู่ด้วย และผิวหนังมีแผลผุผองน่ากลัว
“ทำไมถึงมีแผลเหล่านี้” ดังชียื่นมือจะสัมผัสแต่อังค์เนสปัดมือของดังชีออกอย่างรวดเร็ว
“พิษเข้ากระแสโลหิต” อังค์เนสประกาศ “ต้องแยกให้เขารักษาต่างหากไม่อย่างนั้นจะแผ่กระจายเชื้อโรคไปยังผู้อื่น”
ถ้อยคำของอังค์เนสทำให้ชาวบ้านที่มุงดูถอยกรูออกห่างหญิงสาวส่ายหน้าระอา เมื่อครู่อยากรู้อยากเห็นแต่พอบอกว่าเป็นโรคนี้แผ่กระจายได้ก็หวาดกลัวขึ้นทันที
“พี่ดังชี...ท่านอย่าสัมผัสน้ำเหลืองชายผู้นี้โดยตรง โปรดหาผ้าสัมผัสกายของเขาก่อนเคลื่อนย้าย ข้าจะไปตระเตรียมห้องรักษาให้เขาที่ด้านหลังโรงหมอของเรา ท่านปู่เลจูท่านก็โปรดเตรียมสมุนไพรสำหรับการรักษาเถิด ชายผู้นี้ขาดน้ำอย่างรุนแรง เขาอาจจะเพ้อเห็นเทพแห่งความตายก็ได้”
พูดจบหญิงสาวในร่างหนุ่มน้อยก็วิ่งปราดไปด้านหลังโรงหมอเพื่อจัดเตรียมสิ่งที่ตนต้องการ ท่านหมอเลจูส่ายหน้าน้อยๆ เดี๋ยวนี้ผู้เป็นหลานกล้าออกคำสั่งกับหมออย่างเขาแล้ว เลจูหันไปพยักหน้ากับดังชีเพื่อให้เขาทำตามที่อังค์เนสสั่ง แล้วตนเองจึงเดินไปเอายาสมุนไพรในห้องเก็บยามาปรุงยา
“ท่านหมอจะรักษาบุตรชายของข้าได้หรือไม่” ชายผู้นำร่างอ่อนระโหยโรยแรงของเด็กหนุ่มเอ่ยด้วยแววตามีหวัง ดังชีส่ายหน้าไปมาขณะเคลื่อนร่างหนุ่มน้อยไปที่พักที่ถูกจัดเตรียมเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นห้องขนาดเล็กและมิดชิด
“เทพอนูบิสจะบอกท่านว่าบุตรชายของท่านอยู่หรือไม่” ดังชีวางร่างหนุ่มน้อยลงบนเตียง “เจ้าออกไปก่อนเถิด ให้ท่านหมอลองรักษาดูก่อน”
“พี่ดังชีก็ออกไปก่อนเถิด ท่านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยละ”
อังค์เนสสั่งยามเมื่อเธอกลายเป็น ‘หมอวิเศษ’ นั่น ท่าทางกิริยาผิดกับอังค์เนส-เด็กสาวที่แสนใสซื่อคนนั้น ดังชีเผยอยิ้มน้อยๆ แล้วเดินออกมาอย่างรู้ดีว่าระหว่างการรักษาทั้งท่านปู่เลจูและอังค์เนส ต้องการสมาธิอย่างสูงมิต้องการให้ผู้ใดมารบกวน แต่เมื่อร่างสูงใหญ่บึกบึนของดังชีออกจากระท่อมรักษาผู้ป่วยพิเศษ ก็พบบุรุษแปลกหน้ายืนพิงกรอบประตูด้วยท่วงท่าผ่อนคลายอยู่ก่อนแล้ว
“เจ้าลุกขึ้นได้แล้วหรือ” ดังชียอมรับว่าบุรุษผู้นี้มีใบหน้างดงามนัก เขารู้ด้วยสัญชาตญาณว่าชายผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาแม้จะแต่งกายเรียบๆ แต่ผ้าเนื้อดีก็บ่งบอกฐานะได้
“ข้าได้สติตั้งแต่พวกเจ้าสนทนากันแล้ว” ใบหน้างดงามนั้นเผยยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วขยับกายเดินตามดังชี
“เจ้าทำให้อังค์เนสเป็นกังวล” ดังชีปรายตามองเพียงเล็กน้อย
“อังค์เนส” ชายหนุ่มเลิกคิวอย่างฉงน “ท่านหมายถึงเด็กหนุ่มที่ช่วยท่านหมอทำการรักษาเมื่อครู่”
ดังชีหันหน้ามาเผชิญชายหนุ่มแปลกหน้าอย่างประเมินสถานการณ์ “ใช่เด็กหนุ่มเมื่อครู่ชื่ออังค์เนส”
“เด็กหนุ่ม” ชายหนุ่มกลั้นยิ้มแต่แสร้งทำเป็นยอมรับ “ท่าทางบอบบางเหมือนหญิงสาว”
“อังค์เนสอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ถึงได้มาอยู่กับท่านหมอเลจูทำให้ได้เรียนรู้วิชาแพทย์” ดังชีแสดงท่าทางปกป้องอังค์เนสทันที เขาไม่ไว้ใจในดวงตาสองคู่นั้น “เจ้าคงหิวตามมาทางนี้เถิด”
“ที่นี่คือสถานรักษาคนป่วยของหมอเลจูใช่ไหม” ชายหนุ่มถามขณะเดินตามซึ่งเขาไม่ค่อยได้เดินตามหลังใครเช่นนี้นัก
“ถูกต้องแล้ว” ดังชีพยักหน้ารับแล้วพาเดินผ่านเรือนพักของผู้ป่วยมาทางครัวซึ่งมีหญิงชาวบ้านผลัดกันมาทำอาหารเลี้ยงคนเจ็บที่โรงหมอแห่งนี้ คล้ายกับธรรมเนียมปฏิบัติของหมู่บ้านแห่งการรักษาแห่งนี้ไปแล้วว่า หญิงสาวที่ว่างงานหรือไร้กิจอันใดที่ต้องกระทำก็จะมาช่วยกันทำอาหารเลี้ยงคนเจ็บที่นี่
“หมอเลจูที่เลื่องชื่อว่ารักษาได้ทุกโรค” ชายหนุ่มเอ่ยถามเบาๆ และยิ้มตอบไมตรีของหญิงสาวที่ต่างพากันโปรยยิ้มให้เขา
“ถูกต้องยิ่งแล้ว” ดังชีถอนหายใจกับแม่หญิงชาวบ้านที่ต่างพาส่งตาเล็กตาน้อยให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่เคียงข้างเขา “แต่จากเมื่อครู่คล้ายว่า หนุ่มน้อยอังค์เนสทำตัวเหนือท่านหมอเลจูเสียอีก ทำเช่นนี้มิเป็นการหมิ่นเกียรติของท่านหมอผู้อาวุโสหรือ”
“ท่านมาจากต่างเมืองคงมิรู้อะไร” หญิงนางหนึ่งปราดเข้ามาเกาะแขนหนุ่มต่างถิ่นพลางโปรยยิ้มหวาน “ความรู้ของท่านหมอเลจูถ่ายทอดให้อังค์เนสจนหมดสิ้นแล้ว แถมอังค์เนสยังมีความสามารถพลิกแผลงการรักษาได้ยอดเยี่ยมกว่าท่านหมอเลจูนัก”
“ติตี้” ดังชีปราบเสียงเข้ม
“ข้าพูดเรื่องจริงที่ใครๆ ก็ล่วงรู้ “หญิงสาวผิวเข้มเส้นผมหยิกฟูทั้งศีรษะสะบัดหน้าหนี “เจ้านะหวงอังค์เนสเกินหน้าที่ของพี่ชายแล้ว”
“อ้อ! ที่แท้เจ้าเป็นพี่ชายของอังค์เนส” ชายหนุ่มยิ้มอย่างเข้าใจมากขึ้น “ทว่าใบหน้าเจ้าทั้งสองมิได้ละม้ายคล้ายกันนัก”
“นั่นมันเรื่องของข้า เจ้ากินอาหารของเจ้าซะ แล้วข้าจะมาไต่ความว่าเจ้ามาที่นี่ทำไม”
ดังชีเดินจากไปด้วยท่าทางที่หงุดหงิดแต่สิ่งนั้นกลับเรียกเสียงหัวเราะออกจากพระโอษฐ์ของเจ้าชายเนเฟอร์เคเร โอรสแห่งฟาโรห์เตติ พระองค์ประทับเสวยพระกระยาหารง่ายๆ ที่หญิงชาวบ้านนำมาถวายโดยมิรู้ว่าพระองค์คือองค์รัชทายาท
“ได้ยินว่าเจ้าโดนยาของอังค์เนสจนหมดสติไปหนึ่งราตรีหรือ?” ติตี้เบียดอกอวบของตนเข้าชิดสีข้างของอีกฝ่ายอย่างจงใจและเย้ายวน
“หนึ่งราตรี? คงเป็นเช่นนั้น”
เนเฟอร์คาเรทบทวนสิ่งที่ผ่านมา แม้พระองค์จะโกรธแค้นที่ถูกผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำร้ายได้แต่พระองค์กลับเห็นเป็นเรื่องชวนหัวร่อมากกว่า
“เจ้าพูดราวกับว่ามีคนเป็นเช่นข้าบ่อยๆ”
“ถูกต้องยิ่งนัก” ติตี้หัวเราะร่วน “อังค์เนสทำตัวแปลกประหลาดอยู่บ้างแต่ฝีมือการรักษามิเป็นรองผู้ใดจนทุกคนให้อภัย”
“แล้ว...ตงลงอังค์เนสเป็นหญิงหรือชาย”
คำถามของเนเฟอร์คาเรทำให้หญิงสาวที่ได้ยินหัวเราะคิกคัก ติตี้หัวเราะเปิดเผยเสียงดังกว่าก่อนเอ่ยตอบ “สำหรับดังชีแล้ว เขาต้องการให้อังค์เนสเป็นหนุ่มน้อยสำหรับชายอื่นหากเขาปรารถนาจะให้อังค์เนสเป็นหญิงหนึ่งเดียวของเขา”
ดวงเนตรสีดำมีแววขบขันอย่างรื่นเริงรสนิ่มจากริมฝีปากอิ่มดุจกลีบกุหลาบกำมะหยี่นั่นยังตรึงในความรู้สึกของเจ้าชายเนเฟอร์เคเร ความลับเล็กๆ น้อยๆ ที่ล่วงรู้ก็สามารถกลายเป็นกุญแจดอกสำคัญในภารกิจครั้งนี้ได้.
.............
“ท่านปู่เลจูไปพักผ่อนก่อนเถิดทางนี้ข้าจักดูแลเอง”
“เดี๋ยวนี้เจ้าเก่งกล้าสามารถขนาดออกคำสั่งของปู่เรอะ”น้ำเสียงเจือแววขบขันทำให้คนฟังทำหน้างอ
“อย่าตีความการห่วงใยของข้าเป็นอื่นซิ”
อังค์เนสถอนหายใจแล้วมองไปยังเด็กหนุ่มผู้หลับใหลเพราะฤทธิ์ยาหลายขนานที่ประเคนเข้าใส่เพื่อรักษาอาการที่เขาเป็น “นี่เป็นอาการเดียวกับผู้ที่ติดโรคระบาดจากเมืองซัคคาราใช่ไหมท่านปู่เลจู”
“เจ้าก็ดูออกอย่างนั้นหรือ” เลจูยิ้มพึ่งใจในความชาญฉลาดที่วิเคราะห์โรคได้แม่นยำของอังค์เนส
“หากรักษาแต่เนิ่นๆ ความร้ายแรงของโรคจะมิคร่าชีวิตผู้ใด” อังค์เนสพยักหน้ารับ “ทว่าเมื่อไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง นอกจากเชื้อโรคจะกระจายเข้าสู่กระแสโลหิตแล้วยังแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นจนกลายเป็นโรคระบาดที่ยากจะควบคุม”
“การวินิจฉัยของเจ้าถูกต้องยิ่งแล้วอังค์เนส” เลจูพยักหน้ารับพรางล้างมือกับน้ำอุ่นในอ่างที่เตรียมไว้
“แต่ตัวยาที่เรามีเพียงรักษาอาการที่เป็นอยู่ไม่อาจทำลายเชื้อโรคที่สิงสถิตในตัวคนให้หมดสิ้นได้”
“เจ้าคิดว่าการแพร่กระจายของเชื้อโรคนั้นมาจากทางใด”เลจูลองถามหยั่งเชิง