ภาพในคืนนั้น เป็นคืนที่ให้ความสุขสมและรวดร้าวกลับมาเป็นของแถม อันเฝ้าหลอกหลอนเธอเรื่อยมา รินรดาใช้มือแตะน้ำตาที่ซึมออกจากหางตานั้น ความจริง...จะโทษเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะเธอเองก็ใจง่ายที่ยอมมีอะไรกับเขาเอง แต่ ...เศษเสี้ยวในจิตใจของปุถุชนเช่นเธอก็ยังมีความโกรธ เกลียด และรักเธอก็ยังมีต่อเขาอยู่
หญิงสาวจูบลงบนหน้าผากมนของลูกสาวตัวน้อย พลางคร่ำครวญอยู่ในใจไปด้วยว่า เมื่อไหร่นะ เมื่อไหร่ที่ชื่อนี้จะเลือนหายไปจากใจ ไปจากชีวิตของเธอเสียที...จอมไตร!
เสียงไก่ขันแว่วลอยมาตามสายลมแต่เช้าตรู่ ค่อย ๆ ปลุกหญิงสาวให้ลุกจากที่นอน เธอเหลียวมองคนตัวเล็กที่ยังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนที่นอนแล้วยิ้ม ลูกสาวคนนี้เป็นคนนอนดิ้นมาก เมื่อคืนกว่าเธอจะได้นอนก็ต้องคอยตื่นมาคลำหา มีแขนขาพาดไปทางนั้นทางนี้บ้าง มาก ๆ เข้าก็กลัวจะตกเตียงนอน ทำเอาคนเป็นแม่นอนหลับไม่ค่อยสนิทนัก แต่แม้จะเป็นความเหนื่อยล้าของคนเป็นแม่ แต่ก็เป็นความเหนื่อยล้าที่ปนความสุข ยามเห็นลูกน้อยนอนหลับอย่างเป็นสุขเช่นนี้
รินรดาเหลียวมองนาฬิกา อีกตั้งนานกว่าพระท่านจะมาบิณฑบาต เดี๋ยวค่อยกลับมาปลุกให้คนตัวเล็กตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตา เตรียมตักบาตรด้วยกันก็ได้ หญิงสาวก้มลงจูบกับแก้มนุ่มของลูกสาวอีกครั้ง จากนั้นก็ค่อย ๆ เปิดประตูห้องนอนแล้วเดินออกไป
หลังจากพาลูกสาวตักบาตรเรียบร้อยแล้ว รินรดาถือถาดสำรับข้าง มืออีกข้างก็จูงลูกสาวตัวน้อยเดินกลับเข้าบ้านด้วยความเปี่ยมสุขทั้งคู่ โดยมีตาและยายของหลานตัวน้อยมารอรับด้วยกิริยาเบิกบานด้วย ต่อจากนั้นคนทั้งสี่ก็ทานอาหารเช้าร่วมกันที่ชานเรือนของบ้าน อันมีร่มเงาของต้นไม้ใหญ่บดบังอยู่ เวลานั้นเองผู้เป็นแม่จึงถามลูกสาวด้วยเรื่องหนึ่งขึ้นมา
"ริน...ช่วงนี้คุณหมอเขายุ่งหรือลูก แกถึงไม่ค่อยเห็นมาที่บ้านเลย"
หญิงสาววางช้อน เงยหน้าจากจานแล้วตอบ "ค่ะ ช่วงก่อนเห็นว่าไปดูงานที่ต่างประเทศค่ะ กลับมาแล้วก็บอกว่าไม่สบายนิดหน่อย รินเองก็ยุ่งกับงานบัญชีที่ไร่ เลยไม่ได้ถามว่าเป็นไงบ้าง"
"อ้าว... ไม่คอยถามเขาหน่อยหรือลูก ป่านนี้ไม่รู้หายหรือยัง"
โดนสายตาเขม็งของมารดามองแกมตำหนิ รินรดาจึงจำใจวางส้อมลงตาม คว้าแก้วน้ำขึ้นมากลั้วคอ ก่อนจะพูดว่า "เดี๋ยวรินโทร. ไปถามให้ก็ได้ค่ะแม่ ไม่เห็นจะต้องมองแรงแบบนี้เลย"
หญิงสาวเอ่ยแกมบ่น หยิบมือถือได้จึงเดินออกไปโทร. หาคนที่มารดาเธออยากรู้ความเป็นไป ก่อนจะกลับมาที่โต๊ะ ทรุดลงนั่ง ไม่ทันจะได้เอ่ย มารดาเธอก็รีบถามด้วยความอยากรู้ทันที
"ว่าไงลูก"
"แหม...ห่วงว่าที่ลูกเขยเหลือเกินนะ" คนเป็นพ่อแซว รินรดาอ้าปากจะค้าน แต่ก็ไม่ทันเพราะแม่พูดแทรกก่อน
"นี่พ่อ…พูดอะไรอย่างนั้น" หยุดพูดเพื่อมองไปทางลูกสาวที่นั่งทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรอยู่ แล้วหันมาทางสามีตนอีกครั้ง "คนไปมาหาสู่กันตลอด จู่ ๆ ก็มาเงียบหายไป จะไม่ให้ห่วงเขาได้ยังไง ถึงจะยังไม่เป็นถึงขั้นว่าที่ลูกเขยก็เถอะ แต่ที่ถามเพราะห่วงจริง ๆ อีกอย่าง คุณหมอก็ดีกับเรา กับลูกเราและหลานเรามากนะ"
รินรดาเหลียวมองดูทางพ่อทีแม่ทีเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้น เพราะ 'คุณหมอ' ตัวเลือกที่พ่อและแม่หมายตาให้เขาตกอยู่ในฐานะลูกเขยมากที่สุดในตอนนี้ แต่สำหรับเธอแล้วนั้น... ความรู้สึกที่มีต่อเขา ยังไม่ล้ำลึกถึงขนาดนั้นเสียหน่อย อีกอย่างด้วยความที่เธอเองก็ไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ แถมมีลูกน้อยติดตามตัวเช่นนี้ รินรดาจึงคิดมาตลอดว่า เธอเองไม่มีคุณสมบัติที่จะควรคู่กับชายหนุ่มผู้แสนดีไปหมดทั้ง ฐานะ หน้าที่การงาน หน้าตา และนิสัย ด้วยปมในเรื่องนี้ เธอจึงสงวนท่าทีกับเขาเรื่อยมา
แต่คนเป็นทั้งพ่อและแม่ไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย…
หลังจากฟังพ่อและแม่พูดถึงชายหนุ่มอีกคนอยู่ รินรดาจึงตัดสินใจเอ่ยแทรกขึ้นเพื่อยุติบทสนทนาที่ทำท่าจะยืดเยื้อนี่เสียที "พี่หมอป่วยค่ะ ตอนนี้นอนที่โรงพยาบาลของพี่หมอนั่นแหละค่ะ"
"อ้าว!" บุพการีทั้งสองอุทาน ก่อนจะหันมามองลูกสาวเป็นตาเดียว
"พรุ่งนี้รินก็เลยจะเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปเยี่ยมพี่หมอ"
"ดีแล้วลูก" เสียงคนเป็นแม่สำทับ เห็นด้วยอย่างที่สุด
รินรดาบอกแล้ว จึงชำเลืองไปที่คนตัวเล็กสุดตรงโต๊ะกินข้าว ตอนนี้กำลังตักข้าวต้มเข้าปากพร้อมกับเคี้ยวตุ้ย ๆ อยู่ แล้วจึงหันกลับมาทางพ่อกับแม่เพื่อบอกว่า "รินจะพายัยหนูไปด้วยนะคะ
"อ้าว! แล้วกัน" พ่ออุทาน เพราะค่อนข้างติดหลาน จึงไม่อยากให้หลานห่างตัว
รินรดาจึงรีบอธิบายเหตุผลว่า ทำไมจึงต้องพาลูกกลับไปที่นั่นด้วย แม้ภายในใจลึก ๆ จะไม่อยากกลับไปที่กรุงเทพฯ อีกก็ตาม เนื่องจากเธอมีความฝังใจที่เลวร้ายกับที่นั่น "พี่หมออยากเจอแกน่ะค่ะ คู่นี้เขาติดกันอย่างกับอะไรดี พ่อกับแม่เองก็รู้"
รินรดาพูดแล้วพานให้นึกถึงความผูกพัน ระหว่างชายหนุ่มที่เอ่ยถึงกับลูกสาวตัวน้อยว่า คนทั้งสองมีความผูกพันกันมาเสียตั้งแต่ยัยหนูยังอยู่ในท้องเธอเมื่อสามเดือนแรกด้วยซ้ำ
ตอนนั้น...ถ้าเขาไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือเธอที่กำลังแบกท้องอ่อน ๆ ข้ามถนนแล้วเป็นลมล้มลงไป...ป่านนี้ทั้งเธอและลูกสาวที่น่ารัก จะยังมีชีวิตกันอยู่หรือเปล่า ก็ไม่รู้
หลังจากเห็นบุพการีทั้งสองส่งสายตาละห้อยไปทางหลานตัวน้อย รินรดาจึงตัดสินใจเอ่ยสรุปอีกครั้ง "ถ้าอย่างนั้น ตามนี้นะคะ"
คนเป็นแม่จึงพยักหน้าอย่างเห็นดีเห็นงามด้วย "ก็ดี งั้น...แม่จะให้คนเก็บผลไม้ที่สวนไว้ให้นะ รินจะได้เอาไปฝากคุณหมอเขาด้วย ยิ่งมะยงชิดคุณหมอชอบมาก แม่จำได้"
รินรดาไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เพียงแค่นั่งทานข้าวเงียบ ๆ พลางหันไปมองลูกสาวตัวน้อย ที่ยังเอร็ดอร่อยกับอาหารในจานรูปหมีพูห์ใกล้ ๆ สุดท้ายจึงถอนหายใจหนัก ๆ ราวกับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
...และก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมเธอจึงต้องรู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้ด้วย
เสียงเคาะประตูที่ดังอยู่สองสามครั้ง ทำให้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังง่วนอยู่กับการอ่านหนังสือในมือเงยหน้าขึ้น เขาหันไปทางประตูห้องพัก ไม่นานประตูจึงค่อย ๆ เปิดออก และสิ่งที่เห็นหลังจากประตูถูกเปิด คือ เด็กผู้หญิงตัว น้อยในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อน เอวนั้นผูกโบว์ไว้ด้านหลัง อะไรก็ไม่สะดุดสายตาของชายหนุ่มได้เท่ากับปีกบางใสที่ติดอยู่ด้านหลัง ที่เรียกว่า… ปีกของนางฟ้า…
แถมศีรษะเจ้าตัวน้อยยังประดับไว้ด้วยมงกุฎอันเล็ก ๆ และในมือกลมป้อมที่เห็นยังก็ถือคฑารูปดาวอีกด้วย
"ต๊ะเอ๋!" เจ้าตัวส่งเสียงหลังจากยื่นหน้าโผล่พ้นประตูห้องเข้ามา
ชายหนุ่มในชุดผู้ป่วยยิ้มกว้าง พลางวางหนังสือในมือลง "โอ้โห...นางฟ้าที่ไหนเนี่ย ดูซิ สวยจังเลย"
"นางฟ้าแสนใจดีค่า"
"สวัสดีคุณลุงหมอรึยังลูก"
เสียงหวานนั้นดังตามเด็กผู้หญิงตัวน้อยติด ๆ ทำให้ชายหนุ่มคนเดิมเลื่อนสายตาขึ้นไปมอง "ริน"
"ซาหวัดดีค่า ลุงหมอสุดหล่อ"
ชายหนุ่มหัวเราะหึ ๆ กับคำทักทายนั่น พลางยกมือรับไหว้
"มาแบบพร็อพเต็มตัวเชียวนะ" เขาว่าแล้วก็ยื่นมือไปจับเบา ๆ ที่ศีรษะเด็กน้อย ยามที่เจ้าตัวได้เดินมายืนใกล้ ๆ เตียงผู้ป่วย
"ถ้าไม่ได้แบบนี้ แกจะไม่ยอมออกจากห้องค่ะ รินก็เลยให้แกแต่งตัวเต็มที่อย่างที่เห็นนี่แหละ แกบอกว่าวันนี้จะเป็นนางฟ้า จะได้มาเสกพรวิเศษให้ลุงหมอหายป่วย รินเลยต้องตามใจ ตอนเดินเข้ามาที่นี่ ใครต่อใครเห็นต่างก็ขอมาถ่ายรูปด้วย กว่าจะมาถึงห้องนี้ก็ช้าอย่างนี้แหละค่ะ"
ชายหนุ่มรับฟัง อย่างไม่ตื่นเต้นกับการปรากฏตัวของแม่ลูกคู่นี้เท่าไหร่นัก เพราะก่อนหน้า เขาได้คุยกันทางโทรศัพท์แล้วว่าเธอจะเยี่ยมเขาที่นอนป่วยอยู่โรงพยาบาล แต่ก็แปลกอยู่บ้างว่าทำไมจึงมาถึงล่าช้า พอรินรดาอธิบาย เขาจึงยิ้มละมุนให้กับนางฟ้าตัวน้อยอีก "แบบนี้แหละน่ารักดี เป็นนางฟ้าของลุงต้องใจดีและเชื่อฟังลุงและแม่นะครับ"
"ค่า" คนตัวเล็กรับคำด้วยรอยยิ้มแป้นแล้นแล้ว จึงเดินไปแย่งกระเป๋าเป้ใบหนึ่งจากมือของแม่ เดินกลับมาที่เตียงผู้ป่วย พลางยื่นกระเป๋าเป้ของตัวเองให้คนที่นั่งบนเตียงดู
นายแพทย์ชนรรทน์เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น สบตาหญิงสาว เธอเพียงแค่ยิ้ม ให้เขารับกระเป๋าจากมือกลมป้อมไปดูเอง
จากนั้นเธอจึงเดินตรงไปยังโต๊ะกลางห้อง เพื่อเอาสัมภาระทั้งหมดที่หิ้วติดมือมาวางลงไป
คุณหมอหนุ่มรับของจากมือเด็กน้อย รูดซิปกระเป๋าดูของข้างใน ก่อนจะยิ้มอย่างเอ็นดูกับคนตัวเล็ก ที่กำลังใช้คางเกยกับขอบเตียงตอนดูเขาเปิดกระเป๋า
หนังสือนิทานสำหรับเด็กจำนวนสามสี่เล่มอยู่ข้างใน คุณหมอหนุ่มที่อยู่ในคราบของผู้ป่วยชั่วคราวเงยหน้าขึ้นมาถามนางฟ้าตัวน้อย "จะให้ลุงอ่านให้นางฟ้าใจดีฟังใช่มั้ยเอ่ย"
"ค่า คุณลุงหมอต้องอ่านหนังสือนิทานให้นางฟ้าใจดีฟังนะค๊า"
"ได้ มาขึ้นมา..." ชายหนุ่มเอ่ย พลางยื่นมือไปหาคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างเตียง
"จะดีเหรอคะ พี่หมอนรรทน์" รินรดาทำท่าจะค้าน เพราะกลัวลูกสาวจะไปรบกวนคุณหมอหนุ่ม อีกอย่างเธอกังวลว่าเขายังป่วยอยู่
"ไม่เป็นไรหรอกริน ความจริงพี่ก็หายแล้วล่ะ แต่เพราะอยากอู้งานนอนอ่านหนังสือการ์ตูนอีกสองสามวัน เลยขอนอนอย่างนี้ต่อน่ะ"
คุณหมอหนุ่มอธิบาย มองดูหนังสือการ์ตูนในยุค 90 ที่เกลื่อนอยู่บนเตียง เธอเข้าใจเลยว่า ทำไมเขาถึงอยากนอนอ่านหนังสือการ์ตูนเรื่องโปรดเหล่านี้นัก เขาเคยเล่าให้ฟังว่าการอ่านการ์ตูนเรื่องโปรดคือความสุขอย่างหนึ่งในชีวิต แต่ตั้งแต่เด็กจนโตเขาไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่กับการ์ตูนเหล่านี้บ่อยนัก นั่นเป็นเพราะว่า ความคาดหวังของคนในครอบครัว ที่อยากให้เขาได้เป็นนายแพทย์ที่เดินตามรอยของคุณพ่อที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์แพทย์ชื่อดังของประเทศนั่นเอง
รินรดาจึงมาช่วยเก็บหนังสือการ์ตูนเหล่านั้นบนเตียงออก ก่อนจะอุ้มลูกสาวลงไปนั่งบนเตียงกับคุณหมอหนุ่ม พริบตาเดียวภาพของเด็กผู้หญิงตัวน้อยในสภาพนางฟ้า ก็แนบใบหน้าจิ้มลิ้มไปที่อกคุณหมอหนุ่ม ดวงตาคู่หวานจรดมองภาพประกอบแสนสวยในหนังสือนิทานอย่างสนใจ โดยมีน้ำเสียงทุ้มน่าฟังของคุณหมอหนุ่มที่คอยอ่านข้อความในหนังสือตามตลอด
รินรดาอมยิ้มน้อย ๆ ยามเห็นภาพเช่นนี้ ก่อนจะนึกถึงของฝากที่มารดาเธอตั้งใจจะฝากให้เขาขึ้นมาได้
"งั้นเดี๋ยวรินปลอกมะยงชิดให้นะคะ แม่ให้คนเก็บจากสวนเพื่อฝากให้พี่หมอโดยเฉพาะ"
คุณหมอหนุ่มละสายตาจากหน้าหนังสือนิทานขึ้นมามองหญิงสาวที่หันหลังไปทำงานของตัวตามที่อาสา จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือนิทานในมือให้กับคนตัวเล็กที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกฟังต่อ
แล้วไม่นาน...ลมหายใจของคนตัวน้อยในอ้อมกอดก็ค่อย ๆ เบาลง และสม่ำเสมอกัน เมื่อได้หลับไปในอ้อมกอดของนายแพทย์หนุ่มในที่สุด
รินรดาส่ายหน้าพลางยิ้ม ลูกสาวเธอหลับง่าย ถ้าได้ฟังนิทาน "เป็นอย่างนี้ล่ะค่ะ พอได้ฟังนิทานที่ตัวเองชอบก็หลับไปอย่างนี้ทุกที" ว่าแล้วจึงเดินไปอุ้มลูกสาวตัวน้อยจากอ้อมแขนของชายหนุ่มบนเตียง เพื่อพามานอนลงกับโซฟาตัวนุ่ม ที่รินรดาจัดที่นอนเฉพาะไว้รออยู่แล้ว
ขณะที่เธอกำลังจัดท่าทางให้ลูกสาวได้นอนอย่างสบาย ๆ นายแพทย์หนุ่มมองตามภาพนั้นอย่างชื่นชม พานให้นึกไปถึงวันแรกที่เขาได้เจอกับเธอขึ้นมา วันที่เจอกับเธอ...หญิงสาวท่าทางเหม่อลอยกำลังข้ามถนนตรงทางม้าลายหน้าโรงพยาบาลนี่
วันนั้นเขากำลังเดินข้ามถนนเช่นกัน ด้วยความที่เขาสังเกตอาการของหญิงสาวที่ผิดไปจากคนทั่วไป คือ ดูเหม่อ ๆ ซึม ๆ ทำให้เขาสนใจมองเธอเป็นพิเศษ และสุดท้ายก็ทำให้เขาสามารถเข้าไปช่วยเธออย่างทันท่วงที ยามเห็นเธอกำลังทรุดตัวล้มลงบนพื้นถนน
เธอเป็นลม...เขาจึงได้ช่วยปฐมพยาบาลจนเธอฟื้นขึ้นในที่สุด และจึงรู้คร่าว ๆ ว่าเธอกำลังตั้งครรภ์อ่อน ๆ เพราะเธอเพิ่งมาฝากครรภ์กับโรงพยาบาลแห่งนี้ จากนั้นเขาจึงอาสาพาเธอไปส่งยังที่พัก และคอยไปเยี่ยมเยือนเธอ ต่อมาจึงทำให้เขารู้ได้อีกว่า เธอตั้งครรภ์โดยที่ผู้ชายที่ทำ...ไม่รับผิดชอบ
ด้วยความเห็นใจ.... เขาจึงติดตามและมาเยี่ยมเธอบ่อย ๆ นานวันเข้า จากความเห็นใจก็กลายมาเป็นสนิทสนม... จนกระทั่ง เธอคลอดลูกและกลับไปอยู่ต่างจังหวัดกับพ่อและแม่ เขาก็ยังเทียวไล้เทียวขื่อไปเยี่ยมอยู่
จนตอนนี้วันเวลาก็ดำเนินผ่านไปถึงหกปี… หกปีที่ผ่านมานี้ นายแพทย์หนุ่มก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่า วันใดในหกปีที่ความสนิท สงสาร เห็นใจ ได้กลายมาเป็นความรักต่อเธอขึ้นมา กว่าจะรู้ตัวว่ารักเธอ เขาก็ถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว และถึงแม้เขาจะมีใจให้เธออย่างเปิดเผย แต่ทว่า รินรดาเองก็ยังไม่เปิดใจให้เขาก้าวเข้ามายืนเคียงข้างเธอในฐานะคนรักเสียที เธอยังคงสงวนท่าทีอยู่ ซึ่งเขาคิดมาเองตลอดว่า ถ้าไม่เป็นเพราะปมเกี่ยวกับตัวเธอที่มีลูกติด เธอไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ ที่ไม่คู่ควรกับเขา ก็คงเป็นเพราะผู้ชายคนนั้น คนที่เป็นพ่อแท้ ๆ ของยัยหนู
รินรดาอาจจะเจ็บซ้ำเพราะผู้ชายคนนั้นมามาก จึงทำให้ขยาดหวาดกลัวที่จะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน หรือบางทีเธออาจจะยังรักเขาคนนั้นอยู่
นายแพทย์ครุ่นคิดพลางถอนหายใจ ถ้ามันเป็นเหตุผลที่ว่าเธอเจ็บซ้ำ เข็ดขยาดกับความรัก เขามั่นใจว่าสามารถเยียวยารักษาบาดแผลในใจของเธอได้อยู่แล้วขอเพียงแต่... อย่าเป็นเพราะว่าเธอยังรักผู้ชายคนนั้น คนที่ตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าคือใครคนนั้นเลยก็แล้วกัน
"คุณนิดา เข้ามาพบผมที่ห้องทำงานด้วย"
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นมาจากเครื่องอินเตอร์คอม ปลุกให้หญิงสาวที่นั่งพิมพ์รายงานสรุปผลการประชุมบอร์ดผู้บริหารของบริษัทสะดุ้ง พอตั้งตัวได้จึงรีบกรอกเสียงตอบรับลงไป "ค่ะ คุณจอม"
ไม่นาน...นิดาเลขาฯ คนเก่งก็มายืนตัวลีบอยู่หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ โดยมีเจ้าของโต๊ะกำลังอ่านเอกสารรายละเอียดของสัญญา ที่มีต่อบริษัทแห่งหนึ่งอยู่ แล้วชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้น เพื่อถามถึงเรื่องหนึ่งที่นิดาเองก็ไม่มีข้อมูลอยู่ในหัวเลย "คุณเห็นข่าวหรือยัง?"
"คะ..." หญิงสาวขานรับอย่างงุนงง ข่าวอะไร เกี่ยวกับใคร เธอไม่ทราบเลย "ข่าวไหนคะ คุณจอม"
"เสี่ยเจริญ ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อก่อนหน้านี้ประมาณหนึ่งชั่วโมง"
"ขอโทษค่ะ นิดไม่ทราบจริง ๆ เพราะกำลังพิมพ์รายงานสรุปผลการประชุมอยู่" นิดายอมรับเสียงอ่อน ใบหน้าคมคายของเจ้านายมองเธอนิ่ง ทำให้เดาไม่ถูกนัก ว่ากำลังตำหนิเธอหรือว่าอะไร สุดท้ายเจ้านายหนุ่มจึงถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอ่ยต่อ
"เสี่ยเจริญ เจ้าของช่องทีวีดิจิตอลชื่อดัง ที่บริษัทเราเป็นผู้สนับสนุนในหลาย ๆ รายการของเขาอยู่"
จอมไตรเอ่ยเท่านี้ เธอคงจะทราบรายละเอียดทั้งหมดแล้ว "คุณช่วยเตรียมของเยี่ยมให้ผมด้วย ถึงแม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บนัก แต่แพทย์ก็ยังต้องแอดมิทเพื่อดูอาการอย่างละเอียดอยู่... คุณคงไม่ต้องให้ผมบอกหรอกนะ ว่าเสี่ยเจริญแอดมิทอยู่ที่โรงพยาบาลไหน ที่เหลือ...คุณคงหารายละเอียดได้อยู่"
เพราะข่าวการประสบอุบัติเหตุของเสี่ยคนดังเจ้าของช่องทีวีดิจิตอลชื่อดัง จะต้องเป็นข่าวดังครึกโครมอยู่ในตามสื่อต่าง ๆ แล้ว ถ้าจะค้นหารายละเอียดอื่น ๆ รวมถึงการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งของเสี่ยคนนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องง่ายแสนง่ายอยู่แล้ว
ว่าแล้วนิดาจึงรีบรับคำ "ค่ะ คุณจอม" หลังจากรับคำแล้วเธอจึงรีบออกจากห้องทำงานนี้ไปอย่างรวดเร็ว เพื่อรีบทำภาระกิจที่เพิ่งได้รับคำมอบหมายจากเจ้านายผู้ที่ซึ่งขึ้นชื่อว่าเนี้ยบที่สุดอีกคนในประเทศนี้ต่อไป
หลังจากที่เลขาฯ คนเก่งได้ออกจากภายห้องทำงานนี้ไปแล้ว ภายในห้องได้กลับมาเงียบอีกครั้ง จอมไตรจึงพิงหลังเข้ากับพนักเก้าอี้นุ่ม หลุบตามองดูกองเอกสารจำนวนมากที่รอให้เขาอ่านอย่างละเอียดบนโต๊ะทำงาน ก่อนที่จะเซ็นต์ชื่อลงไป เห็นแล้วให้พานนึกเหนื่อยหน่าย แต่เพราะภาระและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบธุรกิจของตระกูลในฐานะทายาทคนเดียวนั้น จอมไตรจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เหนื่อยก็ต้องทน ล้าก็ต้องทำ ถึงแม้ใคร ๆ จะเคยถามไถ่ว่าทำไปมากมายเพื่อใคร หรือเพื่อสิ่งใด
ชายหนุ่มถอนหายใจน้อย ๆ เขาไม่เคยตอบคำถามเช่นนี้ได้สักที นั่นน่ะสิ เขายอมเหนื่อยล้าไปมากมายเพื่อใคร หรือเพื่อสิ่งใด ถึงแม้จะยังตอบคำถามนี้ไม่ได้เขาก็รู้เพียงแต่ว่า การทุ่มเทกำลังกายและใจให้กับงานมากมาย มันทำให้ชีวิตไม่เปลี่ยวเหงา เดียวดาย เท่านั้นเอง
จอมไตรค่อย ๆ ผุดลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ หันหลังมองออกไปยังนอกห้องทำงานผ่านบานกระจก ทำให้เห็นทิวทัศน์ในส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯ อันไกลสุดลูกหูลูกตาที่เต็มไปด้วยรถรา และตึกระฟ้ามากมายตรงหน้า เวลาที่เขารู้สึกเหนื่อยล้า... ภาพทิวทัศน์ตรงหน้าสามารถช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดและเมื่อยล้าจากการคร่ำเคร่งกับงานมาเกือบครึ่งวันของเขาได้ดี
จอมไตรใช้มือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกง... ขณะที่อารมณ์กำลังดำดิ่งไปกับภาพตรงหน้าอยู่ ฉับพลัน... สองหูของชายหนุ่มราวกับได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาในห้องทำงานนี้ จอมไตรเหลียวหลังกลับมามองภายในทันที ขมวดคิ้วเข้มเข้าด้วยกันแน่น แน่ใจว่าสองหูเขาไม่ได้ฝาดไป เพราะบัดนี้เสียงหัวเราะอันสดใสยังดังกังวานอยู่ในขณะนี้
เป็นไปไม่ได้... ห้องทำงานของเขาไม่มีใครอยู่แล้วนี่ ...ชายหนุ่มกราดสายตามองดูทั้งห้องให้แน่ใจ เพราะเรื่องผีสางนางไม้ตนไม่เชื่อถือเลย แล้วเสียงหัวเราะอันสดใสนี่ดังมาจากทางไหนล่ะ
ชายหนุ่มละมือจากกระเป๋ากางเกง เมื่อจับทิศทางของเสียงได้ เขาจึงเดินตามเสียงหัวเราะของเด็ก ไปยังประตูห้องทำงานที่ปิดไม่สนิท พลางเปิดประตูออกไป
ภายนอกห้องทำงานว่างเปล่า... เลขาฯ คนเก่งของเขาไม่ได้ประจำอยู่ที่นั่ง จอมไตรจึงหลุบสายตาลง มองบนเก้าอี้ของนิดา เห็นมือถือเครื่องหนึ่งกำลังส่งเสียง...และเสียงนั้นก็เป็นเสียงหัวเราะของเด็กที่ตนได้ยินอยู่นั่นเอง
เกิดเสียงฝีเท้าเร็ว ๆ ดังขึ้น...จอมไตรจึงละสายตาจากมือถือเครื่องนั้นขึ้นมามองเจ้าของฝีเท้า...นิดานั่นเอง เธอกำลังส่งยิ้มเจื่อน ๆ มาให้ ก่อนจะรีบขอโทษแล้วเข้ามาหยิบมือถือของตนขึ้นมาเพื่อรับสาย
ขอโทษค่ะ ที่ทำให้คุณจอมตกใจ พอดีนิดาเข้าห้องน้ำเลยลืมหยิบมือถือไปด้วย"
ชายหนุ่มพยักหน้าเบา ๆ รับทราบ ก่อนจะพูดเพียงแค่ว่า "ไม่นึกว่าคุณจะใช้เสียงหัวเราะของเด็กเป็นเสียงเรียกเข้ามือถือ"
"อ้อ! นิดาว่ามันน่ารักดีน่ะค่ะ เลยใช้เป็นเสียงเรียกเข้า" เธออธิบายแล้วรีบขอตัว "นิดาขอรับสายก่อนนะคะ"
จอมไตรพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับเข้ามานั่งภายในห้องทำงานของตัวเองต่อไป
เมื่อทรุดลงนั่งกับเก้าอี้แล้ว...ให้นึกแปลกใจที่เสียงหัวเราะอันสดใสของเด็ก ยังดังก้องกังวานอยู่ในหู ตลอดทั้งภาคบ่ายที่เขาต้องทำงาน พยายามสลัดให้ออกไปจากหัวเท่าไหร่ เสียงนั้นก็ไม่ให้ความร่วมมือเลย กระทั่งตอนเย็นเขาก็ต้องออกจากบริษัท เพื่อไปเยี่ยมอาการบาดเจ็บของเสี่ยเจริญที่โรงพยาบาลดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นั่นเอง เขาจึงลืมเรื่องเสียงหัวเราะนี้ไปได้
หลังจากนอนหลับร่วมหนึ่งชั่วโมง คนตัวเล็กในสภาพนางฟ้าจึงตื่นขึ้น พอตื่นก็ออกอาการงอแง จนรินรดากลัวว่าลูกสาวกำลังจะเบื่อ อีกอย่างท่าทางของคุณหมอหนุ่มก็ดูเหนื่อยล้า เขาคงอยากพักบ้าง รินรดาจึงชวนลูกสาวไปนั่งทานขนมที่ร้านเบเกอรี่ของโรงพยาบาลแห่งนี้
ขณะที่จะออกจากห้องพัก เธอได้เปิดกระเป๋าสัมภาระทั้งหมดของลูกสาว เพื่อค้นหาของบางอย่างที่คิดว่าตนเองได้เก็บมันใส่ไว้ข้างในนี้แล้ว
คุณหมอหนุ่มเห็นสีหน้าเธอดูเครียด ๆ จึงเอ่ยถามขึ้น "รินหาอะไรอยู่ เหรอครับ"
"สายจูงเด็กค่ะ รินว่ารินหยิบใส่กระเป๋าใบนี้แล้วนะ"
หญิงสาวค้นหาอยู่ครู่ จนถอดใจเงยหน้าขึ้นจากจากถุงผ้าใบใหญ่ แล้วพูดกับนายแพทย์หนุ่มว่า "สงสัยคงอยู่ในรถ ...ช่างเถอะค่ะ"
"ระวังหน่อยก็แล้วกันนะครับ ยัยหนูของริน วิ่งเร็วอย่างกับอะไรดี พี่เคยเจอฤทธิ์แกมาแล้ว" เขาพูดแล้วพานนึกถึงครั้งหนึ่งที่พาเด็กน้อยเดินห้าง เพียงแค่เห็นร้านของเล่นชื่อดังเท่านั้น เจ้าตัวก็สะบัดมือออกจากมือหนา แล้ววิ่งเร็วรี่ไปยังร้านแห่งนั้นทันที กว่าเขาจะวิ่งตามทันก็แทบแย่เอาเหมือนกัน หลังจากนั้นเขาจึงแนะนำให้รินรดาใช้สายจูงเด็ก เพราะสายจูงเด็กนั้นมีประโยชน์มาก มากกว่าจะให้ใครหัวเราะเยาะว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด ...อย่างน้อยมันก็ช่วยในเรื่องการพลัดหลงของเด็กได้เป็นอย่างดี ยิ่งเด็กที่อยู่ในวัยกำลังวิ่งกำลังซนอย่างนี้ด้วยแล้ว
"ค่ะพี่หมอ รินจะระวัง" ว่าแล้วหันไปเรียกลูกสาวที่ยังอยู่ในชุดนางฟ้าอันเต็มไปด้วยเครื่องประดับนางฟ้าทั้งชุดอยู่
"ไปได้แล้วล่ะลูก"
"ค่า หม่ามี๊" คนตัวเล็กจึงกระโดดผลุงลงจากโซฟา ก่อนจะออกจากห้องไป ยังเหลียวมาโบกคฑารูปดาวที่อยู่ในมือให้กับคนที่ยังนั่งอยู่บนเตียง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใสว่า…
"เดี๋ยวนางฟ้าจะเสกขนมอร่อย ๆ มาให้ลุงหมอนะคะ"
ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนสบตากันโดยทันที แล้วอดยิ้มแกมหัวเราะขันขึ้นมาไม่ได้กับคำพูดเช่นนั้นของเด็กน้อย
"เดี๋ยวหนูรอแม่อยู่ตรงนี้นะคะ คนดี แม่จะไปสั่งขนมที่เคาน์เตอร์ให้" รินรดาเอ่ย หลังจากอุ้มลูกสาวตัวน้อยในชุดนางฟ้าลงกับเก้าอี้ ก่อนจะชี้ไปยังเคาน์เตอร์ที่ไม่ห่างจากโต๊ะที่เธอเลือก เพราะว่าสามารถทำให้เธอเห็นลูกสาวที่นั่งรออยู่ได้ดีนั่นเอง
พอบอกลูกสาวแล้ว รินรดาจึงเดินไปสั่งเครื่องดื่มและของว่างทันที แต่แม้เธอจะคอยมองไปที่ลูกสาวอยู่บ่อยครั้งก็ตาม ทว่า...จังหวะหนึ่งที่มีลูกค้าวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกรูเข้ามาสั่งเครื่องดื่มด้วย ทำให้เธอมองไม่เห็นลูกสาวตัวน้อยขึ้นมา
เด็กน้อยในชุดนางฟ้าหันหน้ามองออกไปด้านนอกร้าน... ที่เป็นสวนพักผ่อนขนาดเล็กของโรงพยาบาล อันถูกจัดให้อยู่ตรงระหว่างตึกของโรงพยาบาลแห่งนี้ ตอนนี้เจ้าตัวตาโตเมื่อเห็นเห็นลูกโป่งสีชมพูลูกหนึ่งลอยมาติดกับกิ่งไม้ในสวนนั่น
เด็กน้อยในชุดนางฟ้ายิ้มร่าเริง กระโดดลงจากเก้าอี้ คว้าเอาคฑารูปดาวติดมือไปด้วย เพื่อจะไปเก็บลูกโป่งมาให้หม่ามี๊และคุณลุงหมอสุดหล่อ
เมื่อรินรดากลับมายังโต๊ะพร้อมถาดเครื่องดื่มและขนม หญิงสาวงุนงงสลับกับตกใจ ยามเห็นโต๊ะทั้งโต๊ะว่างเปล่า ...เก้าอี้ที่ให้ลูกสาวนั่ง ไร้เงาของคนตัวเล็ก เธอรีบวางถาดลง กราดสายตามองทั่วร้าน หน้าซีดลงเรื่อย ๆ เมื่อแน่ใจแล้วว่าลูกสาวตัวน้อยเธอได้หายตัวไป
"ยัยหนู! ยัยหนูอยู่ไหนลูก!"
หลังจากเยี่ยมอาการบาดเจ็บของเสี่ยเจริญแล้ว จอมไตรก็รีบเดินทางกลับทันที เพราะในค่ำคืนนี้เขามีงานเลี้ยงแห่งหนึ่งที่จะต้องไปต่อ ระหว่างที่กำลังเดินผ่านสวนพักผ่อนของโรงพยาบาล ชายหนุ่มเห็นเด็กผู้หญิงตัวน้อยในชุดสีชมพู มือข้างหนึ่งที่ไม่ได้จับคฑารูปดาว กำลังจะคว้าเอาลูกโป่งลูกหนึ่งที่คงลอยมาติดกับกิ่งไม้ตรงหน้า
เขาลดฝีเท้าลง…
อะไรสักอย่าง ดลใจให้ชายหนุ่มเปลี่ยนทิศทางให้เดินตรงไปที่เด็กผู้หญิงหน้าน่ารักน่าชังคนนั้น ยิ่งเข้าไปใกล้ ยิ่งเห็นว่าเด็กน้อยมีความน่ารักน่าเอ็นดูกว่าที่เห็นในตอนแรกมากขึ้น... ด้วยผิวขาวจัด แก้มยุ้ยอมชมพู ดวงตากลมโตที่ถูกล้อมกรอบด้วยขนตาแพยาวนั่นอีก
และตอนนี้เจ้าตัวกำลังเขย่งเท้า เพื่อจะดึงเอาลูกโป่งตรงหน้าไว้ "นางฟ้าจาเอาลูกโป่ง นางฟ้าจาเอาลูกโป่ง"
เสียงเล็กใสนั้นร้องบอกออกมาอย่างนี้ จอมไตรจึงยื่นมือไปดึงเชือกที่พันกับกิ่งไม้เพื่อปลดลูกโป่งออกมา ครั้นได้แล้ว จึงโน้มตัวยื่นไปให้เด็กน้อยตรงหน้า…
วินาทีเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่น่ารักคนนี้เงยหน้า พลางฉีกยิ้มให้กลับมา จอมไตรรู้สึกเหมือนมีพลังงานอะไรสักอย่างพุ่งมาชนที่หัวใจเขาให้สั่นไหวอย่างรุนแรง และความรู้สึกรุนแรงที่ว่านั้นยังไม่เท่ากับ ตอนที่มือหนาข้างนั้นของเขาได้สัมผัสกับมือกลมป้อมของเด็กผู้หญิงตัวน้อยในชุดของนางฟ้านี่อีก
ราวกับมีกระแสไฟฟ้ากำลังมหาศาลเข้ามาซ็อตที่มือข้างนั้นเข้า …
จอมไตรสูดหายใจลึก ๆ อาการรุนแรงแบบนี้ เกิดจากอะไรก็ไม่ทราบได้ หรืออาจจะเป็นเพราะ เขาไม่เคยรู้สึกว่าเด็กคนไหนในโลกนี้ จะน่ารักเท่ากับเด็กผู้หญิงตรงหน้าคนนี้มาก่อน ก็เป็นไปได้
ตอนนี้คนตรงหน้ารับเชือกลูกโป่งไปถือเองแล้ว พลางเงยขึ้นมองเขาแล้วยิ้มจนตาหยี มือหนาข้างที่ค้างอยู่กลางอากาศจึงเลื่อนขยับเข้าไปใกล้วงหน้าจิ้มลิ้ม หมายจะเกลี่ยเบา ๆ ลงบนผิวแก้มละเอียดบางใสจนเห็นเส้นเลือดอยู่จาง ๆ ตรงหน้า ทว่าไม่ทันที่มือเขาจะได้สัมผัสผิวแก้มนุ่มนิ่มเลย…
จู่ ๆ ก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งร้องเรียกเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าดังแทรกขึ้นมา
"ยัยหนู!"
เด็กหญิงตัวน้อยเหลียวไปมองด้านหลังตามเสียงนั้นทันที "หม่ามี๊ขา!"
ทำให้จอมไตรยืดตัวขึ้นแล้วมองไปยังเจ้าของเสียงเรียกนั้นด้วยเช่นกัน...