พอเห็นนายหญิงสนใจ สองสาวใช้ก็ขยับตัวเข้ามาใกล้ และส่งเสียงเบาๆ ให้ได้ยินกันเพียงแค่สามคน
“บ่าวเข้าไปใช้โรงครัวในยามวิกาลอยู่บ่อยครั้ง แต่ก่อนไม่เคยเห็นแสงไฟจากทางด้านหลังจวนมาก่อนเลย แต่นับตั้งแต่ท่านเขยหายไปเมื่อ 8 วันก่อน บ่าวกลับพบว่ามีแสงไฟเล็ดลอดออกมาจากทางนั้น บ่าวเคยแอบมองดูก็ยังเห็นมีบ่าวรับใช้ชายข้างกายของท่านเขยเดินหายไปทางนั้นด้วยเจ้าค่ะ”
“เจ้าคิดว่าท่านพี่อาจจะอยู่ในจวนมาตลอดเช่นนั้นหรือ”
สองสาวใช้ไม่กล้าตอบคำ พวกนางหันไปสบตากันแล้วก้มหน้าลง ปล่อยให้นายหญิงของตนเป็นผู้ตัดสินใจ
แวบแรกที่หยูจินเซียงได้ยินเรื่องนี้ นางคิดถึงหูอี้เหลียนขึ้นมาเป็นคนแรกอย่างไม่ตั้งใจ แต่พอทบทวนเรื่องที่รู้มาว่าเวยติ้งอันและกู้ฮูหยินไม่ได้สนับสนุนบุตรชายกับหูอี้เหลียนให้คบหากัน นางก็จำต้องตัดประเด็นนี้ทิ้ง
“เกมนี่มันต้องทำเรื่องพิลึกอะไรสักอย่างแน่ ๆ” หญิงสาวบ่นอุบ
นางตัดสินใจว่าคืนนี้นางจะลักลอบไปที่ท้ายจวน หากโชคดีเรื่องที่นางสงสัยก็อาจเป็นเพียงฉากหนึ่งในเกมที่จะทำให้เรื่องราวมันสนุกสนานขึ้น หากโชคร้ายก็คงเป็นว่าเวยหวังหย่งซุกซ่อนสตรีเอาไว้ท้ายจวนปล่อยให้นางเป็นสตรีช้ำรักเท่านั้นแล้ว
……….
กลางดึกสามนายบ่าวก็ลักลอบหนีออกมาจากเรือน ทุกวันซินอี้และซินยี่จะมานอนเฝ้าหยูจินเซียงภายในห้องนอนเป็นประจำอยู่แล้ว ส่วนสาวใช้อีกสองคนที่กู้ฮูหยินส่งมาคอยรับใช้ จะนอนอยู่ห้องพักทางด้านหลัง พวกนางจึงค่อย ๆ ย่องออกมาอย่างเงียบเชียบไม่มีผู้ใดพบเห็น
“ดับตะเกียงได้เลยเจ้าค่ะนายหญิง อาศัยเพียงแสงจันทร์ก็ยังพอมองเห็น พวกเราจะอ้อมไปทางนั้น บ่าวสำรวจเส้นทางเอาไว้แล้ว” ซินอี้และซินยี่ใช้เส้นทางระหว่างเรือนของเวยหวังหย่งกับโรงครัวเป็นประจำจนรู้ว่าตรงไหนมีบ่าวชายคอยเฝ้าเวรยามอยู่ จึงพาหญิงสาวหลบเลี่ยงมาจนถึงท้ายจวนได้
ผ่านภูเขาจำลองและสวนไม้ประดับมาอีกระยะหนึ่ง ทางด้านหลังก็เป็นป่าต้นบ๊วยหลายต้น ยังดีที่ดูเหมือนว่าบริเวณนี้ไม่ได้ถูกปล่อยทิ้งร้าง บนพื้นจึงไม่มีเศษใบไม้หรือกิ่งไม้แห้งทำให้สตรีทั้งสามยังคงเดินต่อไปได้โดยไม่มีเสียง
พ้นเขตแนวต้นบ๊วยหยูจินเซียงเห็นว่าท้ายจวนยังมีเรือนพักอยู่อีกสอง-สามหลังที่นางไม่เคยมาเยือน สภาพของเรือนท่ามกลางความมืดทำให้สตรีทั้งสามมองไม่เห็นว่ามันสมบูรณ์เพียงใด แต่ที่แน่ ๆ เวลานี้มีเรือนหนึ่งที่มีแสงตะเกียงถูกจุดอยู่ด้านใน
“คงจะเป็นหลังนั้น เจ้าสองคนรอข้าที่นี่ ข้าจะเข้าไปแอบดูเอง”
“นายหญิง พวกเรายังไม่รู้เลยว่าด้านในเป็นท่านเขยจริงหรือไม่ หากไม่ใช่เล่าเจ้าคะ ท่านจะเป็นอันตรายหรือไม่” ซินอี้ดึงแขนนายหญิงของตนเอาไว้ รู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่ปากเสียเล่าความให้นายหญิงฟัง ซ้ำยังสนับสนุนให้นายหญิงมาแอบจับผิดท่านเขยเสียอีก
“นี่เป็นเขตจวนสกุลเวย ต่อให้ไม่ใช่ท่านพี่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าทำอันตรายกับข้าหรอก หากถูกจับได้ข้าจะบอกว่าพวกเรามาเข้าครัวหาของว่างกินยามดึก พอดีเห็นแสงไฟเลยตามมาดู ตอบให้เหมือนกันเช่นนี้ก็ใช้ได้แล้ว”
“แต่ว่า..นายหญิงให้บ่าวไปเองจะดีกว่าเจ้าค่ะ ท่านรออยู่ตรงนี้เถิด” ซินยี่อาสา
“ไม่ได้ หากผู้อื่นพบเจ้ามีหวังเจ้าสองคนต้องถูกโบยจนหลังลายเป็นแน่ อีกอย่างข้าจะพยายามไม่เปิดเผยตัว ข้าแค่จะไปดูว่าใช่ท่านพี่หรือไม่เท่านั้น แล้วข้าจะรีบกลับมา”
หยูจินเซียงไม่หยุดรอให้บ่าวสองคนรั้วตัวเอาไว้อีก รีบใช้ผ้าคลุมผืนใหญ่ที่เตรียมมาคลุมไปที่ศีรษะเพื่อพรางตัวในความมืด นางมั่นใจว่าตัวเองคล่องแคล่วว่องไวกว่าสาวใช้สองคนอย่างแน่นอน ที่สำคัญนางอยากเห็นทุกอย่างด้วยตาตนเอง นี่เป็นเกมของนาง!
หญิงสาวซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม่ใหญ่เพื่อดูให้มั่นใจว่าไม่มีคนเฝ้าอยู่นอกเรือนแล้วจึงเคลื่อนตัวไปใกล้ยิ่งขึ้น นางหลบอยู่ที่เสานอกระเบียงต้นใหญ่ ข้างเสามีเครื่องประดับเป็นแจกันใบโตสูงเทียมเอวนางอีกหนึ่งใบเป็นที่กำบังที่ดี
นางพยายามเงี่ยหูฟังเสียงพูดคุยด้านในที่ได้ยินไม่ชัดเจนนัก แต่พอจะคาดคะเนได้ว่าด้านในมีบุรุษมากกว่าสามคนกำลังพูดคุยกันอยู่เบา ๆ
ร่างเล็กภายใต้ผ้าคลุมหันมองไปรอบๆ อีกครั้งแล้วค่อย ๆ ขยับไปใกล้หน้าต่างที่ใกล้ที่สุดหวังจะแอบดูจากรอยแยกให้เห็นชัดเจนกว่านี้ว่าในนั้นมีเวยหวังหย่งอยู่จริงหรือไม่
“พวกเราวางยาพิษมายาวนานไม่เคยมีผู้ใดพบสิ่งผิดปกติ แต่เวลานี้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเริ่มจะรู้ตัวแล้ว เขาระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน รวมทั้งเปลี่ยนคนข้างกายใหม่ทั้งหมดอีกด้วย”
“เรื่องสำคัญไม่ใช่การเอาชีวิตของอีกฝ่าย ขอเพียงส่งคนเข้าไปอยู่ข้างกายเขาแล้วทำให้เขาไว้ใจ โอกาสที่เราจะพบเจอของสิ่งนั้นก็น่าจะพอมี”
“เขารู้ตัวแล้วอย่างแน่นอน เพียงแต่พิษที่สะสมอยู่ในร่างกายยังมีอยู่ไม่น้อยจึงยังไม่เริ่มลงมือ คนที่เราส่งไปก็ถูกสังหารไปแล้ว หากใช้วิธีเดิมส่งคนไปอีกเขาจะยิ่งจับตามองเป็นพิเศษ”
หยูจินเซียงได้ยินเสียงคนด้านในพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องการวางยาพิษใครสักคน แม้จะจับใจความไม่ได้ทั้งหมดแต่หนึ่งในนั้นเป็นเวยหวังหย่งอย่างแน่นอน นางจำเสียงทุ้มที่ก้องกังวานของสามีตนเองได้ไม่ผิด
เสียดายที่นางไม่สามารถมองเห็นด้านในได้เพราะบานหน้าต่างถูกปิดสนิท และนางก็ไม่กล้าพอที่จะเจาะช่องหน้าต่างเพื่อแอบดู
นางพยายามแนบหูไปกับหน้าต่างตั้งใจฟังอีกครั้ง แต่ดูเหมือนคนด้านในจะหยุดสนทนากันไปแล้ว หญิงสาวรีบถอยหลังกลับไปที่ตำแหน่งเดิมที่ข้างเสา ด้วยเกรงว่าพวกเขาจะเปิดประตูออกมาเมื่อสนทนากันจบ
‘ไม่มีเสียงของสตรี ในนั้นมีเพียงบุรุษ เช่นนี้ข้าก็ไม่ต้องสนใจก็ได้นี่ เกมนี้เป็นเกมหาคู่ หากเวยหวังหย่งไม่นอกใจ เรื่องอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ’ หญิงสาวคิดในใจ
ระหว่างที่ตั้งใจจะหลบหนีกลับไปหาสาวใช้ของตนอีกครั้ง ผ้าคลุมบนศีรษะของหยูจินเซียงเกี่ยวเข้ากับกิ่งไม้ที่ประดับอยู่ในแจกันใบใหญ่ นางรู้สึกถึงแรงดึงระหว่างผ้ากับกิ่งไม้ จะหันกลับมารับแต่ก็ไม่ทันแล้ว
“เพล้ง!!”
แจกันใบโตล้มลงมาและกระแทกเข้ากับพื้นหินจนแตกกระจายเสียงดังสนั่น
“ใครอยู่ข้างนอก!!”
คนด้านในผลักประตูออกมาอย่างรวดเร็ว เวลานี้หยูจินเซียงจึงได้เห็นเงาร่างบุรุษสี่คนอยู่ตรงหน้านาง
“เซียงเอ๋อร์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่!” เวยหวังหย่งเบิกตาโพลงเมื่อเห็นคนที่ล้มอยู่กับพื้นเป็นฮูหยินของตน
“นางได้ยินที่เราพูดคุยกันเมื่อครู่อย่างแน่นอน พาตัวนางเข้าไปด้านในก่อน!” หนึ่งในคนที่ยืนอยู่เอ่ยปากเตือนเวยหวังหย่ง
เวยหวังหย่งก้าวเข้ามาประคองร่างงามให้ลุกขึ้น แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้อ่อนโยน มือแกร่งที่จับข้อมือหญิงสาวเอาไว้ทำให้นางถึงกับต้องเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด
“ท่านพี่ เหตุใดท่านจึงอยู่ที่นี่ ท่านอยู่ในจวนแต่กลับหลบหน้าข้า ท่านกำลังคิดทำสิ่งใดอยู่” หญิงสาวรีบตำหนิเวยหวังหย่งออกมาก่อนพร้อมกับพยายามดึงมือของตนกลับ
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรจินเซียง” เวยหวังหย่งไม่ตอบ แต่กลับตั้งคำถามนางกลับ สายตาของชายหนุ่มกลับไปแข็งกร้าวดุดันตามเดิม จ้องมองภรรยาแน่นิ่ง
“ข้ากับสาวใช้พากันมาเข้าครัวยามดึก เผอิญเห็นแสงไฟอยู่ไกลๆ ก็เลยเดินตามแสงไฟมาดูเจ้าค่ะ ไม่คิดว่าจะเป็นท่าน”
“สาวใช้นางมีสองคน ออกไปหาตัวมา” เวยหวังหย่งออกคำสั่งกับคนข้างๆ
หยูจินเซียงเงยหน้ามองตามคำกล่าวของเวยหวังหย่ง เวลานี้นางก็ต้องตกใจไปอีกครั้ง เมื่อเห็นใบหน้าคนที่เหลือที่ยังมองไม่ชัดเมื่อครู่
ไหวอี้ตี่กับคุณชายลี่ที่นางได้พบครั้งหนึ่งในงานเลี้ยงเสี่ยงบุปผาก็อยู่ที่นี่! แต่นั่นมันยังไม่น่าตกใจเท่ากับคนที่นั่งอยู่ด้านหลังพวกเขา!