ทว่าสาวใช้กับบ่าวคนอื่นยังละล้าละลังไม่กล้าทำตามที่เฮียวเจาสั่ง นั่นเพราะอย่างไรเสียจวี้ชิงหรานก็ได้รับการอบรมจากฝางโหยว ผู้ซึ่งอู๋หยางเทียนให้เกียรตินาง ด้วยติดตามมารดาเขามาจากจวนไฉอ๋อง และเมื่อฝางโหยวดูแลนางก็หมายความว่า อู๋หยางเทียนพึงใจต่อแม่นางน้อย มิแน่ ภายภาคหน้า เด็กหญิงอาจก้าวขึ้นมาเป็นคนสำคัญในสกุลอู๋ เช่นนี้ใครกันที่จะโง่เขลาคิดหาเรื่องให้ตนเดือดร้อน
“เอ๊ะ หากไม่รีบโยนหินใส่มัน ข้าจะบอกพ่อบ้าน ให้แจ้งกับไท่ฮูหยิน ว่าพวกเจ้าดื่มเหล้ากันในยามวิกาล และยังเล่นการพนันในคืนแรกที่เดินทางมาถึงเมืองเจี้ยน มิหนำซ้ำสาวใช้หญิงบางคน ยังส่ำส่อน ปีนเข้าโรงนอนบ่าวชายด้วย!”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น พวกที่เป็นวัวสันหลังหวะ ต่างกลัวความผิด จึงหยิบหินกันขึ้นมาคนละก้อน แล้วโยนลงไปในน้ำ เสียงดังตูมๆ เกิดขึ้นระรอกใหญ่ หากนับว่าสวรรค์เมตตาอยู่บ้าง เพราะไม่มีก้อนหินใดถูกร่างกายเด็กหญิง
“พวกสมองกลวง โยนให้มันถูกนังหนูผีไม่ได้หรืออย่างไร โง่เง่าที่สุด!”
ภาพที่เกิดขึ้นส่งผลให้เฮียวเจาโกรธจัด นั่นเป็นเพราะอิจฉาในความงามของแม่นางน้อย และอีกฝ่ายยังปากกล้าขาแข็ง แจ้งว่าตนจะได้เป็นสะใภ้น้อยสกุลอู๋ ได้ยินเช่นนี้ ย่อมหมายความว่า เด็กหญิงไร้หัวนอนปลายเท้า ต้องการยกตนเป็นศัตรูกับเฮียวเจา อย่างไรเสียนางคือสาวใช้ห้องข้าง ดังนั้นหน้าที่สำคัญนี้ใครจะมาแย่งชิงไม่ได้ และตอนที่อู๋หยางเทียนไปช่วยเด็กหญิงในป่าทึบ เฮียวเจาแอบตามไปดู สองหูนางได้ยินการต่อปากต่อคำของพวกเขา ใจนางก็คันยิบๆ
สำหรับคนในใกล้ชิดอู๋หยางเทียน ย่อมรู้ว่าเขามิชอบคุยสนุก หรือเล่นหัว ปกติมักวางสีหน้าตึง พูดจาน้อยคำกับสาวใช้ และบ่าว แม้แต่สาวใช้เช่นนางที่ปรนนิบัติใกล้ชิด เขาแทบจะไม่กล่าวสิ่งใดให้ได้ยิน
เมื่อเฮียวเจายิ่งคิด นางยิ่งแค้น อู๋หยางเทียน พึงใจต่อนังหนูผี และอยากให้เป็นสะใภ้น้อยเยี่ยงนั้นหรือ!
เรื่องบัดซบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด และไม่ว่าที่เรือนรับรองเมืองเจี้ยน หรือจวนอู๋ในเมืองหลวง หากมีนางก็จะไม่มีสตรีอื่นใด ปีนขึ้นเตียงอู๋หยางเทียนสำเร็จ ยกเว้นสตรีเหล่านั้นมีตำแหน่งเป็นฮูหยินใหญ่ ที่ฮ่องเต้พระราชทานให้แต่งกับอู๋หยางเทียน แต่กว่าวันนั้นจะมาถึง เฮียวเจาคงให้กำเนิดทายาทแก่สกุลอู๋แล้ว สายเลือดที่นางคลอดออกมา ย่อมต้องเป็นบุตรชายที่จะทำให้นางได้ก้าวขึ้นเป็นอนุที่มีความสำคัญต่อ สกุลแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นต้าหลู
ฝ่ายจวี้ชิงหรานตัวสั่น โกรธ กลัว และเจ็บใจ นางโผล่มาในร่างเดิม แต่เหตุใดถึงต้องอยู่ในช่วงเวลาของวัยเด็ก เพราะยากเหลือเกินในการรับมือศัตรู
แต่จะให้นางตายอีกหน แล้วไปเกิดใหม่ ความคิดเช่นนั้นก็นับว่าตื้นเขินและด้อยปัญญาเกินไป เมื่อฟ้าประทานให้นางได้ย้อนกลับมาแก้ไขอดีต แม้ร่างกายเป็นเพียงเด็ก แต่สติปัญญาคือคนที่เติบใหญ่ ซึ่งนอกจากย้อนเวลามาจากอนาคต นางยังสามารถล่วงรู้ว่า จะเกิดสิ่งใดกับตน เช่นนี้แม้ไม่ใช่ผู้หยั่งรู้ดินฟ้า แต่นางจะกำหนดชะตาชีวิตตน ให้มีลมหายใจยืดยาว
กระทั่งหินอีกก้อนจากฝีมือเฮียวเจา ถูกเขวี้ยงมา คราวนี้มันถูกที่ท้ายทอยจวี้ชิงหราน และส่งผลให้ร่างเล็กๆ โงนเงนไปมา
“รังแกแม้แต่เด็กเช่นนี้ เจ้ายังเรียกตนว่าเป็นผู้ใหญ่อีกหรือ”
“เด็กที่ไหนกัน ข้าเห็นก็แต่หนูผีตัวสกปรก มันแอบเข้ามาขโมยของกินในเรือนรับรอง!”
“ฮึ เจ้ามันใจร้าย คอยดูเถิด สะใภ้น้อยสกุลอู๋ จะกลับมาแก้แค้นเจ้าให้อยู่อย่างไม่เป็นสุข”
คำขู่และสายตาอาฆาตจากจวี้ชิงหราน ทำให้เฮียวเจาขนลุกซู่ สายตานั้น น้ำเสียงนั้น ไฉนฟังแล้ว เหมือนคนโต มิใช่เด็กเล็ก
อึดใจต่อมา นางก็คว้าหินอีกหลายก้อน แล้วระดมทั้งเขวี้ยง ทั้งโยนใส่ร่างจวี้ชิงหราน และอีกฝ่ายหลบไป หลบมาอย่างเฉียดฉิว
“เจ้าจะตายอยู่ในสระแห่งนี้ ไม่มีวันได้ผุดได้เกิด และข้าจะให้นักพรตมาสะกดวิญญาณเจ้าเอาไว้เฝ้าสระ”
จวี้ชิงหรานส่ายหน้า นางไม่ยอมตายง่ายๆ อีกแล้ว ทว่าเป็นตอนนั้นที่ นางทรงตัวไม่ไหวอีกต่อไป ร่างเล็กๆ จึงค่อยๆ ถูกสายน้ำกลืนลงไป
“มันจมแล้ว ฮึๆ ๆ ดี ตายอยู่ในสระนี่แหละ”
เฮียวเจาว่าอย่างชอบใจ ก่อนหันไปสั่งทุกคนว่า
“เด็กนังหนูผี มันออกมาวิ่งเล่น ก่อนผลัดตกลงไปในสระ พวกเราลงไปงมหาแล้ว แต่ไม่พบร่างของมัน พวกเจ้าทุกคนจงเข้าใจตามที่ข้าบอก หากผู้ใดตอบเป็นอย่างอื่น รู้ตัวใช่ไหมว่า จะอยู่ร่วมโลกกับข้าไม่ได้!”
สีหน้าสีตาเฮียวเจายามนั้น แจ้งชัดว่าหากใครไม่เชื่อฟัง ย่อมเท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ
จากนั้นเฮียวเจาก็มองไปยังจุดที่ร่างของจวี้ชิงหรานจมลงไป ก่อนคิดบางสิ่งออก “พวกเจ้าสองคนไปดูที่ทางประตูน้ำทางใต้ด้วย หากเห็นร่างนังหนูผีลอยไป ก็รีบนำขึ้นมาแล้วผูกหินถ่วงขามันเอาไว้ แล้วโยนกลับลงไปในน้ำตามเดิม อย่าให้ศพมันลอยมาให้ผู้อื่นเห็นเป็นที่อุจาดตา!”
เมื่อเอ่ยจบ เฮียวจบรู้สึกโล่งใจ ซึ่งในเรือนรับรองนี้ จะมีก็แต่นางที่ได้ใกล้ชิดอู๋หยางเทียน สตรีนางใด อย่าหาญกล้าแย่งชิงตำแหน่งสาวใช้ห้องข้างไปจากนางเป็นอันขาด