เพราะบุรุษอีกคนคือ จิงจวินหวงซีซวนจึงยอมเดินตามบ่าวไปอย่างธรรมชาติ เก็บสีหน้าอย่างรวดเร็ว บรรยากาศเสียงน้ำตกอบอวลไปด้วยพลังลมปราณ ทำให้จิตใจขุ่นได้รับการสะสางอย่างรวดเร็ว
แม้จะทำเป็นมองไม่เห็นหรือไม่รู้ แต่ทั้งไป๋เจียเจียและจิงจวิน ต่างรู้จักหวงซีซวนเป็นอย่างดี จึงชำเลืองมองตามหลังเล็กน้อย หญิงสาวเบ้ปากยิ้มเยาะอีกฝ่ายดูแล้วไม่งามแม้แต่น้อย
จิงจวินไม่รู้จักไป๋เจียเจียเป็นการส่วนตัวเขามาที่นี่เพราะน้องสาวเจินไป๋เจียของเขาขอร้องให้เขามาช่วยดูแลหอไผ่หยกชา
“ข้าขออภัยแม่นางไป๋ ไม่ทราบว่าน้องสาวของข้าเจินไป๋เจียอยู่ที่นี่หรือไม่”
“พี่สาวให้ข้ามาดูแลท่านและฝากขออภัยท่านด้วย"
จิงจวินจึงได้เพียงพยักหน้ารับรู้
“ข้าอยากให้ท่านดูสิ่งนี้ เราจะสร้างนวัตกรรมใหม่ด้วยกัน ทว่าก่อนอื่นเราต้องรวบรวมผู้คนเสียก่อน"
ไป๋เจียเจียคลี่ภาพวาดออก สิ่งนั้นมีลักษณะคล้ายนกตัวโต หากมองจากโลกในอดีตของเจียไป๋เจียก็คือเครื่องบินนั่นเอง
“มันคือหงส์ชนิดใดกัน” จิงจวินเอ่ยถามขึ้น
“นี่ไม่ใช่หงส์เจ้าค่ะ ข้าให้ชื่อมันว่า เรือดาว เพราะมันจะสามารถโบยบินไปในนภาเปล่งประกายวับวาบดุจดวงดาวในท้องฟ้า”
ในขณะที่พูด ดวงตาของไป๋เจียเจียก็ระยิบระยับสะท้อนให้เห็นภาพดวงดาวที่เปล่งประกายในท้องฟ้าชัดเจน
“ข้าไม่เคยเป็นช่างหลอมเหล็กมาก่อน” จิงจวินเอ่ยบอก
“ท่านไม่ใช่บอกว่าอยากสร้างตระกูลจิงหรอกหรือ พี่จิงจวินท่านทำได้ ข้าจะอธิบายให้ท่านฟังต่อ”
แม้ภายในใจจะแย้ง ทว่าน้ำเสียงของไป๋เจียเจียกลับทำให้ใจของจิงจวินเชื่อฟังและคล้อยตาม เขาจึงยิ้มอย่างละมุนแล้วพูดขึ้น
“เอาล่ะ เจ้าอธิบายต่อเถิด” ฟังนางให้จบเสียก่อน
“ท่านมีลมปราณธาตุไฟ เรื่องหลอมเหล็กคงไม่ใช่เรื่องยาก ทว่าสิ่งที่เราต้องการคือคนธาตุลม”
“ธาตุลมรึ" จิงจวินคิ้วขมวดเล็กน้อย
ในขณะบุคคลธาตุน้ำ ไฟ ดิน ต่างได้รับการยกย่องจากคนในดินแดนแห่งนี้ ทว่าคนธาตุลมกลับไม่ใช่เช่นนั้น เหตุเพราะคนธาตุลมจะมีบุคลิกอรชร อ้อนแอ้น บอบบาง พวกเขาสามารถบินและล่องลอยไปกับสายลมได้ ส่วนมากจะทำงานเป็นผู้ส่งสาร ส่งของ และสร้างหอวสันตฤดูให้คนมาหลบลมหนาวในช่วงเหมันต์ฤดู ซึ่งนั่นก็ไม่จำเป็นเท่าใดนัก
นานวันกลับกลายเป็นสตรีธาตุลมบางคนก็กลายเป็นนางโลม บุรุษต่างชื่นชอบพวกนางเพราะทำให้ชีวิตได้ล่องลอยสุขสมอย่างสุขล้น
แม้จะมีสตรีธาตุลมที่ได้รับเกียรติตบแต่งเป็นฮูหยินเอก แม้จะเก่งกาจและได้รับความรักจากสามี ทว่าสุดท้ายพวกเขาก็พูดถึงเพียงแค่เรื่องในห้องหอเท่านั้น
“ท่านดูสิ่งนี้” ไป๋เจียเจียลุกขึ้นแล้วหยิบกระดาษขึ้นมานางพับเป็นเครื่องบินแล้วขว้างให้มันล่องลอยเหมือนตอนที่นางเคยเล่นในวัยเด็ก
จิงจวินมองอย่างสนใจเพราะนัยน์ตาคมอันเฉลียวฉลาดของไป๋เจียเจียทำให้เขาอยากรู้อยากเห็นว่าหญิงสาวจะเอ่ยอะไร
“ท่านเห็นหรือไม่ กระดาษแผ่นนี้ความจริงแล้วมันลอยเพราะลมที่อยู่ใต้ปีก 2 ข้าง ดังพญาอินทรีย์บินถลาล่องลม พญาอินทรีย์กระพืบปีกไม่กี่ครั้งเอง”
“ลมใต้ปีก??”
จิงจวินแววตาเริ่มมีเปล่งประกายลุกวาว
ไป๋เจิียเจียเห็นเช่นนั้นรีบเอ่ยถาม
“ท่านเข้าใจแล้วใช่หรือไม่” นางนั่งลงจ้องมองจิงจวินรอคำตอบด้วยความตื่นเต้น นางมีเพียงไอเดียความคิดทว่าสร้างแบบไหนอย่างไร นางล้วนไม่เข้าใจ จิงจวินเป็นบุรุษที่ได้รับอบรมในฐานะผู้นำแคว้น ได้รับการยกย่องจากเหล่าขุนนางว่าคือนักปราชญ์แห่งยุค
ใบหน้ายิ้มน้อย ๆ ของไป๋เจียเจียเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ซุกซน ทำให้จิงจวินยิ้มมุมปากเอ่ยพูดขึ้น
“เจ้าคงคำนวณรายได้ ไว้หมดแล้วกระมัง”
“ใช่แล้ว ท่านคิดว่ามีโอกาสสำเร็จใช่ไหมเจ้าค่ะ"
“ข้าจะลองดู หลังจากออกแบบเสร็จค่อยหาคนธาตุลม”
เมื่อจิงจวินรับปาก ไป๋เจียเจียมั่นใจทันทีว่า โครงการสร้างเรือบินของนางย่อมสำเร็จแน่นอน
ต่อไปนางจะสร้างบ้านบินด้วย นางจะไปอยู่บนฟ้า บินไป ท่องเที่ยวไปทั่วหล้า
บรรยากาศของทั้งสองฝ่ายช่างแตกต่างกัน หวงซีซวนนั่งชันเข่าจิบชาภายในซุ้มเพียงลำพัง เสียงบรรเลงพิณดังแว่วมาเป็นเพลงที่เขาค่อนข้างคุ้นหู สายตาเขาจ้องมองไปยังศาลากลางน้ำ มองเห็นร่างบางของไป๋เจียเจียที่กำลังเดินไปมา โดยที่จิงจวินนั่งมองด้วยสายตาละมุน
แววตาเยียบเย็นคมกริบของเขาดูโหดเหี้ยม กลิ่นอายชวนเสียวสันหลังบ่าวไพร่ต่างก้มหน้าลงต่ำเรื่อย ๆ แต่ก็มีคนไม่กลัวสิ้นชีพ เหล่าบัณฑิตที่กำลังเดินผ่าน หนึ่งในนั้นก็มีคนเอ่ยทักทาย
“อ่า..ไม่น่าเชื่อว่าบุรุษหน้าหยกแห่งแคว้นจะนั่งเดียวดายเพียงลำพังได้”
กู้หยางบุตรชายคนรองแห่งตระกูลกู้ ตอนนี้บิดาเป็นอัครเสนาบดีกุนซื้อคนสำคัญของราชสำนัก ฮ่องเต้ยกย่องตระกูลกู้ถือว่าเป็นแบบอย่างของปัญญาชนที่เน้นใช้สติปัญญาแก้ปัญหา และเขาไม่ชอบพฤติกรรมหยาบคายของหวงซีซวนมาโดยตลอด เจอเมื่อไรก็อดพูดจาประชดไม่ได้
หวงซีซวนหรี่ตามองอย่างไม่พอใจ ในใจที่กำลังเดือดดาล สิ่งที่บุรุษคนนี้ขาดแคลนมากที่สุดคือความอดทน ตั้งแต่เกิดเขาเกิดมาคือเป็นคุณชายผู้ร่ำรวยและเอาแต่ใจ
ฉับพลันเปลวเพลิงก็พุ่งเข้าหากู้หยางทันที
ตูม!! พร้อมเสียงกรีดร้องของเหล่าบ่าวไพร และตื่นตระหนกของเหล่าบัณฑิต องค์รักษ์ของตระกูลกู้รีบต้านพลังทันที
ไฟต้านไฟ องค์รักษ์ของตระกูลที่ติดตามนายไม่อาจจะต้านทานเพลิงโลกัณต์ของแม่ทัพประจำทิศอุดรได้ พวกเขาต่างได้รับบาดเจ็บ
ไป๋เจียเจีย หันมองตามเสียงนางตวัดมือส่งมวลน้ำต้านลูกเพลิงของหวงซีซวนที่กำลังจะทำร้ายอีกฝ่ายซ้ำ .
ม่านน้ำก่อตัวต้านเปลวเพลิงของหวงซีซวน ทำให้เขาหันมามองใบหน้างามด้วยสีหน้ากรุ่นโกรธ
ไป๋เจียเจียขบริมฝีปากเบา ๆ ความโกรธเริ่มผุดขึ้นเช่นกัน นางก้าวเดินไปอยู่ระหว่างกลาง 2 ฝ่าย ความงดงามตระการของนางขับเกลาให้บรรยากาศเหมือนกำลังทำร้ายหญิงงาม
“เก็บกวาดให้เรียบร้อย” เสียงเอ่ยเตือนบ่าวไพร น้ำเสียงของนางแผ่วเบาราบเรียบไร้อารมณ์ นางชำเลืองมองดูเหล่า ดอกไม้และเรือนรับรองไหม้ย่อยยับเต็มไปด้วยเปลวเพลิงด้วยแววตานิ่งเฉย
“เรื่องราวเป็นเช่นไรข้าไม่สนใจ เชิญพวกท่านออกไปทะเลาะกันข้างนอก ส่วนค่าเสียหายข้าให้คนไปเก็บที่จวนของพวกท่านอีกที”
หลังเอ่ยนางก็หันเดินกลับไปยังศาลากลางน้ำ ไม่เหลียวแลมองดูใด
ผู้คนไม่รู้ว่าจะตกตะลึงกับสิ่งใดก่อน
ตกตะลึงเรื่องที่หวงซีซวนโจมตีกู้หยาง หรือ
ตกตะลึงกับความงามของไป๋เจียเจีย หรือ
ตกตะลึงกับพลังลมปราณของหญิงสาวที่ดูแสนจะบอบบางแต่ต้านพลังลมปราณไฟได้ หวงซีหวงเองลืมเรื่องกู้หยางไปแล้วมองตามร่างไป๋เจียเจียคล้ายคนโง่งมอยู่ชั่วครู่
ความรู้สึกประหลาดเกิดขึ้นภายในจิตใจแม้กระทั่งเจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าคืออะไร
“ถึงกลับสามารถต้านพลังเพลิงโลกัณต์ของข้าได้”
เขายิ้มมุมบาง ๆ แววตาอ่อนโยนละมุนขึ้น และพึมพำเพียงลำพัง
“ท่านแม่ทัพหวง ไปเถิดขอรับ”
เสียงองค์รักษ์เตือนสติด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ
พวกเขานึกว่าแม่ทัพหวงจะโมโหเดือดดาลบ้าคลั่งกว่าเดิมที่โดนไล่ ทว่ากลับนั่งยิ้มอาการเช่นนี้ต้องรีบกลับจวนให้ท่านหมอตรวจดูสักหน่อย สมองอาจจะได้รับการกระทบกระเทือน
ส่วนเหล่าบัณฑิตด้วยมารยาทก็ต่างพากันออกมาแล้วรีบเขียนฎีการ้องเรียนพฤติกรรมหยาบกร้านไร้อารยธรรมของหวงซีหวน
มากมายจนฮ่องเต้เรียกนายท่านผู้เฒ่าหวงเพื่อหาทางจัดการ
เมื่อกลับมาถึงจวน เขาก็เรียกบุตรชายเข้าไปต่อว่าทันที