บรื้นน~ บรื้นน~ ผมบิดรถออกมาจากบ้านเพื่อตรงไปที่ร้านคาเฟ่ของแม่ผม วันนี้แม่ผมขอให้ผมเข้าไปช่วยงานที่ร้านซึ่งผมก็เข้าไปช่วยบ้างเป็นครั้งคราว เพราะผมเพื่อเสียงคนจ่อกแจ่กกัน โดยเฉพาะเสียงกรี๊ดของผู้หญิง -_- “ทุกครั้งที่ผมไปร้านคนก็จะแน่นเป็นพิเศษกว่าปกติ ถ้าให้พูดกันตามตรงคือแม่ผมใช้ผมในการเรียกลูกค้าเข้าร้านนั่นเอง
“วันนี้ลูกค้าก็เยอะนี่ครับแม่ ทำไมเรียกผมมาล่ะ” ผมถามแม่ทันทีที่เดินเข้ามาข้างในครัวของร้าน ตอนผมเดินเข้ามาผมก็เห็นลูกค้านั่งอยู่แทบจะเต็มทุกโต๊ะทั้งตรงสวน ทั้งโซนหน้าร้าน หรือแม้กระทั่งในร้าน แล้วให้ผมมาทำไมเนี่ย -_-*
“ก็เพราะลูกค้าเยอะน่ะสิแม่ถึงต้องให้มาช่วย วันนี้พนักงานแม่ป่วยกระทันหันน่ะ แม่เลยต้องเรียกลูกมาช่วยนี่ไงจ๊ะรีบไปเปลี่ยนชุดเลยลูกเดี๋ยวลูกค้ารอนาน”
แม่ตอบผมแต่ มือและสายตายังง่วนอยู่กับการแต่งหน้าเค้ก ผมเอาของไปเก็บที่ล็อกเกอร์พนักงานแล้วหยิบยูนิฟอร์มร้านไปเปลี่ยนเพื่อที่จะไปช่วยพี่พนักงานรับออเดอร์ลูกค้าอีกแรง ปกติแม่ผมจะจ้างพนักงานไว้เกือบสิบคนเพื่อนช่วยงานทั้งรับออเดอร์ เสิร์ฟ และทำเครื่องดื่ม แต่วันนี้พี่พนักงานเสิร์ฟลาป่วยพร้อมกันถึงสามคน ทำให้จำนวนพนักงานไม่เพียงพอต่อการบริการลูกค้า
“น้องเลโอมาพอดีเลย ช่วยเอาถาดนี้ไปส่งให้โต๊ะสามโซนสวนด้วยนะคะ ตอนนี้ออเดอร์เยอะมากพี่ไม่ว่างไปเดินเสิร์ฟเลยค่ะ” พี่พนักงานที่รับหน้าที่ชงเครื่องดื่มพูดขึ้นทันทีที่ผมเดินเข้าไปหา
“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมเอาไปเสิร์ฟเอง” ผมพยักหน้ารับแล้วยกถาดเดินออกไปเสิร์ฟให้ลูกค้าที่โต๊ะทันที
“ออเดอร์ที่สั่งได้แล้วครับ..” ผมพูดขึ้นก่อนจะวางเครื่องดื่มและขนมลงไว้ที่โต๊ะของลูกค้า
“ขอบคุณค่ะ... เห้ย นายมาอยู่นี่ได้ไงอ่ะ”
เสียงลูกค้าคนนึงในโต๊ะที่ผมไปเสิร์ฟดังขึ้นทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมองดูก็พบกับยัยนั่นและเพื่อนอีกสองคนเพื่อนของยัยนั่นหันมามองผมแบบงงๆ ในขณะที่ยัยนั่นที่นั่งอยู่เก้าอี้ข้างผมเอาแต่ก้มหน้าเม้มปาก สงสัยใกล้จะเป็นใบ้จริงๆ แล้วล่ะยัยนี่น่ะ -_-”
“เธอเป็นใบ้เหรอ?”
ผมไม่ได้สนใจคำถามของผู้หญิงคนนั้นเลย ผมนั่งลงข้างเก้าอี้ของยัยนั่นแล้วหันหน้าไปถาม ยัยนั่นก็ยังก้มหน้าเม้มปากแน่นเหมือนเดิม
“หรือว่าหูหนวกด้วย?” ผมถามย้ำอีกรอบยัยนั่นก็ยังนิ่งเงียบอยู่ท่าเดิมจนผมเริ่มโมโหแล้วคำพูดของไอ้นิวเยียร์ที่บอกว่าสนใจเธอจะรุกจีบเธอก็วนเวียนขึ้นมาในหัวผมเต็มไปหมดแล้วยัยนี่ยังมานั่งนิ่งเงียบแบบนี้ผมก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
“เวลาฉันถามเธอควรจะหันมามองหน้าคนถามนะ” ผมใช้มือจับคางเธอให้หันหน้ามาทางผม แต่ยัยนั่นก็ยังหลุบตาลงต่ำ นั่นยิ่งทำให้ผมโมโหกว่าเดิมจนเผลอออกแรงบีบคางเธอแรง จนเธอหน้าเบ้ ผมเลยรีบผ่อนแรงลงทันที บ้าเอ๊ย!
“เห้ย นายทำอะไรน่ะ ปล่อยเพื่อนฉันนะ!!” เพื่อนของยัยนั่นคนนึงลุงขึ้นมาพยายามที่จะดึงมือผมออกจากคางเพื่อนตัวเองแต่ก็ไม่เป็นผลและ...
ซ่าาาาา เพื่อนของยัยนั่นที่ชื่อฮันนี่สาดน้ำที่ผมเอามาเสิร์ฟเมื่อกี้ใส่หน้าผม ยัยบ้าเอ๊ย! เปียกหมดแล้วเนี่ย!
“เธอ!!” ผมลูบหน้าเอาน้ำหวานและน้ำแข็งออกจากหน้าก่อนจะลุกขึ้นจ้องหน้า ส่วนยัยคนที่สาดน้ำใส่ผมก็ลุกขึ้นมายืนถลึงตาใส่ผมเหมือนกัน
“ว๊ายตาย! แล้วน้องเลโอ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะคะ เกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย” พี่พนักงานที่รับผิดชอบงานเสิร์ฟด้านนอกเดินเข้ามาดูเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ขอโทษด้วยนะคะคุณลูกค้า ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นเหรอคะถึงขั้นได้สาดน้ำใส่กันแบบนี้” พี่พนักงานถามกับยัยนั่นที่ทำสายตาโมโหใส่ผม
“พี่ก็ถามพนักงานของพี่เองสิคะว่าเกิดอะไรขึ้น!” ยัยนั่นพูดเสียงดังก่อนจะเดินมาผลักผมแล้วดึงบราวนี่ที่ยังคงก้มหน้านิ่งเงียบไปอยู่ข้างตัวเอง
“เกิดอะไรขึ้นคะ ฉันเป็นเจ้าของร้านนี้เอง พนักงานเราทำอะไรให้คุณลูกค้าไม่พอใจเหรอคะ” แม่ผมพูดขึ้นในขณะที่กำลังรีบเดินเข้ามาที่โต๊ะ
“พนักงานของคุณทำร้ายร่างกายเพื่อนของเราค่ะ ดูสิกรามร้าวแล้วมั้งแดงช้ำขนาดนี้”
ยัยนั่นยังคงเสียงดังอยู่แล้วชี้ไปที่คางบราวนี่ที่เป็นรอยแดงจากมือของผมอยู่ ผมเหลือบตามองไปที่คางในบราวนี่แล้วแอบรู้สึกผิดอยู่ในใจยิ่งเห็นยัยนั่นนิ่งเงียบแบบนั้นในหัวผมมันก็มีแต่หน้าไอ้นิวเยียร์กับคำพูดของมันตอนที่พูดถึงยัยนี่อยู่เต็มไปหมด ผมสลัดภาพนั้นคำพูดนั่นออกจากหัวไม่ได้เลยจริงๆ แล้วยังเผลอโมโหแล้วบีบคางยัยนี่แรงไปจนเป็นรอยแดงขนาดนั้น....
“ว๊ายตายแล้วหนูบราวนี่! ช้ำหมดแล้วเจ็บมั้ยลูก เลโอทำไมทำแบบนี้กับน้อง! น้องตัวแค่นี้เองนะลูก!” แม่ผมทำหน้าตกใจก่อนจะเดินไปดูรอยที่คางยัยนั่นแล้วหันมาจ้องหน้าผมอย่างคาดโทษ ผมเลยต้องหันหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาของแม่
“บราวน์ม...ไม่เป็นอะไรเหรอกค่ะคุณป้า” นั่นเป็นคำแรกที่ยัยนั่นพูดออกมาจากปากหลังจากที่พวกเรายืนตึงกันอยู่ตรงนี้ร่วม 10 นาทีได้ ลูกค้าโต๊ะอื่นๆ พนักงานทยอยแจ้งให้เปลี่ยนโซนที่นั่งเข้าไปด้านในร้านกันหมดแล้ว โซนสวนด้านนอกเลยมีแค่พวกเราที่ยืนจ้องหน้ากันอยู่
“ไม่เป็นใบ้แล้วเหรอ?” ผมหันหน้ากลับมาพูดกับเธอ นั่นทำให้เธอก้มหน้าลงเหมือนเดิม ท่าทางแบบนี้ของยัยนี่มันชวนหงุดหงิดชะมัด
“เลโอ!! แม่ไม่เคยสอนลูกให้เป็นคนแบบนี้นะ ขอโทษน้องกับเพื่อนๆ ซะ” แม่ของผมตะเบ็งเสียงใส่ผมสุดเสียงก่อนจะตรงดิ่งมาดึงหูผมทันที
“ไม่ครับ” ผมตอบกลับเสี่ยงนิ่ง แล้วหันไปมองกลุ่มของบราวนี่ เพื่อนอีกสองคนของยัยนั่นกอดยัยนั่นไว้แล้วหันมาปะทะสายตากับผมอย่างไม่ยอมแพ้
“เลโอ!!” แม่ตะเบ็งเสียงอีกรอบพร้อมกับออกเรียงดึงหูผมแรงขึ้นจนผมเริ่มเจ็บแล้ว
“ไม่เป็นไรเหรอกค่ะคุณป้า บราวน์ไม่เป็นอะไร บราวน์ขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ” บราวนี่พูดขึ้นพร้อมกับมองมาทางผมเล็กน้อยก่อนจะหลบตาลงต่ำ ทั้งสามคนยกมือไหว้แม่ของผมก่อนที่จะเดินออกไปจากร้าน
“เราต้องคุยกันนะ ลูกไปทำแบบนั้นกับน้องทำไมเลโอ” หลังจากที่พวกนั้นเดินออกไปจากร้านแล้ว แม่ก็นั่งลงที่โต๊ะแล้วเริ่มการซักถามผมทันที
“ผมไม่ได้ตั้งใจ...” ผมตอบความจริงออกไปอย่างแผ่วเบา เพราะตอนนี้สีหน้าเศร้าๆ ของยัยนั่นมันยังรบกวนอยู่ในหัวผมอยู่ ผมคงทำรุนแรงไปสินะ...
“แล้วลูกไปทำแบบนั้นกับน้องทำไม น้องทำอะไรให้ลูกไม่พอใจเหรอ” แม่นั่งจ้องมาที่ผมหน้านิ่ง ปกติแม่ผมจะเป็นคนสดใสและอารมณ์ดีมาก แต่พอเวลาที่มีเรื่องที่แม่โกรธจริงๆ สายตาแม่ที่มองมาก็ทำให้ผมขนลุกได้เหมือนกัน
“แม่ห็เห็นท่าทางของงยัยนั่นนี่ครับถามก็ไม่ตอบทำเหมือนไม่ได้ยินอย่างกับคนเป็นใบ้” ผมนั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามกับแม่แล้วกรอกตามองไปทางอื่น
“ก็ลูกเป็นแบบนี้ใครเขาจะไม่กลัวกัน ลูกแม่ที่เคยอ่อนโยน จิตใจดี เอาใจใส่คนอื่นตอนนั้นหายไปไหนแล้วทำไมโตมาแล้วเป็นแบบนี้ไปได้” แม่บ่นให้ผมเป็นชุด
“......” ผมเลือกที่จะนิ่งเงียบและหันมองไปทางอื่น
“เห้ออ แม่หวังว่าลูกกับน้องจะไม่มึนตึงกันแบบนี้ไปตลอดเหรอกนะวันนี้ลูกกลับบ้านเถอะลูกค้าที่ร้านไม่เยอะแล้วล่ะ”
แม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะบอกผมแล้วเดินเข้าร้านไป ทิ้งให้ผมนั่งเงียบมองสวนที่ว่างเปล่าอยู่คนเดียว ผมนั่งอยู่สักพักก่อนจะเดินเข้ามาเปลี่ยนชุดในร้านแล้วบึ่งรถออกจากร้านไปทันที
บรื้นนนน บรื้นนนนน บรื้นนนนนน ไม่รู้ว่าผมบิดรถเร็วแค่ไหนแต่ตอนนี้ในสมองผมก็ยังคงมีภาพใบหน้าและแววตาเศร้าๆ ของยัยนั่นอยู่ มันอะไรกันนักหนาทำไมทุกครั้งที่มองมาที่ผมสายตายัยนั่นต้องมีแต่ความประหม่า ความกลัว ความระแวง แล้วก็ดูเศร้าๆ ขนาดนั้น ขนาดไปโรงเรียนด้วยกันทุกวันยังไม่มีใครรู้เลยว่าผมกับยัยนั่นรู้จักกันนอกจากไอ้นิวเยียร์ที่บังเอิญเห็น ไม่อยากรู้จักผมขนาดนั้นเลยหรือไง? ยัยบ้าเอ๊ย!
เอี๊ยดดดด ผมเบรกรถเสียงดังก่อนจะจอดรถข้างถนนแล้วมานั่งมองวิวริมแม่น้ำที่ปกติเวลาผมเบื่อๆ ผมก็จะมาที่นี่ประจำ
“เห้ยไอ้น้อง แกเป็นใครวะ รถสวยดีนี่หว่าพี่ขอยืมไปขับสักอาทิตย์ไปเปล่าวะ” เสียงดังมาจากด้านหลังทำให้ผมหันกลับไปมองก็เจอกับกลุ่มผู้ชายที่น่าจะอายุมากกว่าผมสี่คนกำลังเดินมาท่าทางกวนตีนสุดๆ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจแล้วหันกลับมามองแม่น้ำเหมือนเดิม
“เห้ย ฉันพูดกับแกอยู่นะเว้ยหูหนวกเหรอวะ?” ผู้ชายกลุ่มนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงที่ผมนั่งอยู่ กลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่ที่ออกมาจากพวกนี้เข้าจมูกผมเต็มๆ
“เห้ยไอ้หนูมึงหูหนวกจริงๆ หรือกวนตีนวะ ห้ะ!!” หนึ่งในนั้นย่อตัวลงนั่งข้างผมแล้วจับไหล่ผม ทำให้ผมหันขวับไปมองทันที
“ออกไป...” ผมพยายามกลั้นความโมโหไว้เพราะกลัวจะเอาความโมโหของตัวเองมาลงใส่คนเมากลุ่มนี้ ท่องนะโมในใจไว้เลโอ...
“ลูกพี่มันไล่เราว่ะ มึงนี่วอนซะแล้วนะ” ผู้ชายอีกคนในกลุ่มที่ตัวผอมแห้งทำท่าง้างหมัดขึ้น ผมเงยหน้ามองแล้วตัดสินใจยืนขึ้นมาจ้องหน้าพวกเขาทุกคนอย่างไม่สบอารมณ์
“อารมณ์ไม่ดี... อย่ามายุ่....”
ผั๊วะ!! หน้าผมโดนผู้ชายอีกคนที่ตัวใหญ่กว่าต่อยเข้าเต็มๆ จนผมเซ หน้าผมสะบัดไปตามแรงหมัดกลิ่นคาวและรสชาติของเลือดคลุ้งในปาก ผมเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มข้างที่โดนต่อยเล็กน้อยแล้วหันมายืนจ้องหน้ากลุ่มคนตรงหน้านิ่งๆ
“เป็นแค่เด็กมึงมีสิทธิ์อะไรมาจ้องหน้าพวกกูแบบนี้วะ กูแค่อยากยืมรถมึงไปขับเล่นแค่นั้นเอง” ผู้ชายคนที่ต่อยผมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“หึ....” ผมแค่นหัวเราะออกมาก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก ผมพยายามแล้วนะที่จะไม่วู่วาม แต่มันก็คงจะเลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะ อีกอย่างผมไม่ได้เริ่มก่อน...
ผั๊วะๆๆ ผลั่กๆๆ ผั๊วะๆๆ ผลั่กๆ ผมรัวหมัดรัวเท้าทั้งเตะทั้งต่อยผู้ชายกลุ่มนั้นอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ จนพวกผู้ชายกลุ่มนั้นสู้ไม่ไหวแล้ววิ่งหนีไป ถ้าพวกนั้นไม่เมามีสติครบถ้วนดีๆ ผมก็อาจจะไม่แค่ปากแตกก็ได้
“1 รุม 4 ถือว่าแฟร์ดี...” ผมพูดพลางยืนหอบอยู่พักหนึ่งก่อนจะสตาร์ทรถแล้วบิดออกไปจากตรงนี้เหมือนกันเพราะเริ่มมืดแล้ว